8 ปี บนเส้นทางมายา 'เจมส์-จิรายุ' ไม่ยึดติดบทพระเอก พร้อมบรรเลงตามจังหวะชีวิต

8 ปี บนเส้นทางมายา ‘เจมส์-จิรายุ’ ไม่ยึดติดบทพระเอก พร้อมบรรเลงตามจังหวะชีวิต

Alternative Textaccount_circle
8 ปี บนเส้นทางมายา 'เจมส์-จิรายุ' ไม่ยึดติดบทพระเอก พร้อมบรรเลงตามจังหวะชีวิต
8 ปี บนเส้นทางมายา 'เจมส์-จิรายุ' ไม่ยึดติดบทพระเอก พร้อมบรรเลงตามจังหวะชีวิต

อัพเดตชีวิต 8 ปี บนเส้นทางสายบันเทิงของ ‘เจมส์-จิรายุ ตั้งศรีสุข’ ซุป’ตาร์ที่ไม่ยึดติดบทพระเอก พร้อมเปลี่ยนแปลงตามจังหวะชีวิต

จากคำว่าซูเปอร์สตาร์สายฟ้าแล่บที่ได้มาจากความดังแบบพลุแตกในละครเรื่องแรก สุภาพบุรุษจุฑาเทพ ปี 2556 ตามด้วยผลงานสร้างชื่ออีกมากมายในวงการบันเทิง พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าทั้งหมดนั้นไม่ใช่โชคช่วย แต่มาจากความพยายาม ความตั้งใจ และฝีมือ

“สองเดือนที่ผ่านมาเป็นการได้พักแบบยาวๆ ครั้งแรกในรอบหลายปีของผมเลย” เจมส์เปิดบทสนทนากับ แพรว เล่าถึงช่วงกักตัวจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ทำให้เขาได้เข้าสู่โหมดพักผ่อนอย่างจริงจัง หลังจากทำงานหนักมาหลายปี

8 ปี บนเส้นทางมายา 'เจมส์-จิรายุ' ไม่ยึดติดบทพระเอก พร้อมบรรเลงตามจังหวะชีวิต

ช่วงอยู่บ้านทำอะไรบ้างคะ

“นอนครับ จริงๆ นะ (หัวเราะ) เหมือนผมได้เวลาพักผ่อนมาแบบบังเอิญ เพราะก่อนหน้านี้ถ่ายละครต่อเนื่องตลอด ทำงานหนึ่งเรื่องใช้เวลาเกือบปี จึงไม่ได้มีช่วงว่างมากนัก แต่พอได้รับเวลาว่างมาแบบงงๆ วันแรกๆ ก็ไม่ชินนะครับ (หัวเราะ) แต่พอผ่านไปสักพักก็ปรับตัวได้ แล้วผมไปช่วยงานช่อง 3 ระดมทุน เพื่อจัดซื้ออุปกรณ์ทางการแพทย์ จึงไม่ถึงกับว่างแบบ 100 เปอร์เซ็นต์

“ช่วงที่อยู่บ้านก็พักผ่อนแบบเต็มที่ นอนยาวๆ เลย ซึ่งปกติเวลาที่เราเจอกันนี่ (11.30 น.) ผมยังไม่ตื่นนะ ต้องประมาณเที่ยงไปแล้ว (หัวเราะ) นอกจากนั้น สิ่งที่ดีมากคือมีเวลากลับมาออกกำลังกายแบบจริงจังขึ้น กับได้อัดคลิปทำกิจกรรมต่างๆ ให้แฟนๆ ดูบ้าง”

เพิ่งได้พักนานสุดตอนนี้เลยเหรอ

“ใช่ครับ 7 ปีแล้ว ตั้งแต่เล่นละครเรื่องแรก แต่ถ้านับตั้งแต่เข้าวงการจริงๆ ก็น่าจะ 8 ปีครับ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ดีนะ มองย้อนกลับไปผมคิดว่าตัวเองเปลี่ยนไปค่อนข้างเยอะ ทั้งจากวัย ประสบการณ์ โอกาสที่เข้ามา และงานที่ได้ทำ”

อย่างวิธีเลือกรับงาน พอโตขึ้นมีวิธีคิดที่เปลี่ยนไปไหมคะ

“ยังคงเหมือนเดิมครับ คือผมไม่ได้ตั้งกติกาอะไรไว้ เปิดให้กับโอกาสที่จะ เข้ามา อย่างทำงานกับช่อง 3 ผู้ใหญ่จะเลือกให้ว่าผมเหมาะกับละครเรื่องอะไร ซึ่งเมื่อได้รับโอกาส ผมก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด เวลามีคำถามว่าผมอยาก เล่นบทแบบไหน ก็ต้องบอกตรง ๆ ว่าผมไม่มีไอเดีย เนื่องจากบทที่ผู้ใหญ่พิจารณา เลือกมาให้ก็ค่อนข้างมีความหลากหลายอยู่แล้ว เพราะไม่อยากให้เราเล่นแบบซ้ำ ๆ ตัวละครเดิม ๆ เรื่องราวเดิม ๆ ผมจึงได้เปลี่ยนบทบาทไปเรื่อย ๆ ซึ่งพองานเข้ามา แบบไม่ซ้ำเลย มันก็ทำให้ผมรู้สึกสนุกกับทุกบทบาทที่ได้รับจริง ๆ แล้วพอเริ่มงาน ใหม่ก็แปลกอีก สนุกอีก ผมจึงไม่ต้องเฟ้นหา…ผมสรุปออกมาได้แบบนี้ครับ

“เวลาทำงานผมก็ไม่ได้ใช้เทคนิคพิเศษอะไร นอกจากอ่านบทแล้วพยายาม หาจุดต่าง ๆ ของตัวละครให้เจอ ศึกษาชีวิตของตัวละครในแต่ละด้านจนเข้าใจ คือไม่ถึงกับทำการบ้านแบบหนักหน่วง แต่จะพยายามหาไอเดียจากสิ่งรอบตัว ในชีวิตประจำวัน อย่างถ้าตัวละครนั้นมีอาชีพอะไร ผมก็จะไปค้นความเป็นอาชีพ นั้น ๆ ให้ลึกซึ้ง เพื่อดูว่าเราจะสร้างตัวละครนั้น ๆ ขึ้นมาในรูปแบบไหนได้บ้าง คือ นำข้อมูลมาปรับใช้กับตัวละคร เพื่อให้ได้ความสมจริง มีมิติ”

8 ปี บนเส้นทางมายา 'เจมส์-จิรายุ' ไม่ยึดติดบทพระเอก พร้อมบรรเลงตามจังหวะชีวิต

คิดว่าอะไรในความเป็นเจมส์จิที่ทำให้ได้รับโอกาสดีๆ อยู่ตลอด

“อืม…(หยุดนึก) น่าจะเป็นบุญเก่า (หัวเราะ) จริง ๆ นะ คงเป็นแต้มบุญ ที่ผมสะสมมา เพราะถ้าบอกว่าคือความตั้งใจทำงาน ผมว่าทุกคนก็คงจะพยายาม และตั้งใจทำงานที่ตัวเองได้รับมาอยู่แล้ว แต่สิ่งที่ไม่เหมือนกันคือโอกาสดี ๆ ที่ เข้ามาหาแต่ละคนไม่เหมือนกัน”

ถ้าเป็นความเก่งล่ะ เจมส์เก่งเรื่องอะไรที่สุด

“คงไม่ที่สุด (ยิ้ม) ผมรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้มีส่วนที่เก่งเป็นพิเศษ ซึ่งพอคิด แบบนี้ก็เลย…ทำให้ผมพยายามพัฒนาตัวเองในทุก ๆ ด้าน เพื่อทำงานให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ คือเราอาจจะไม่ได้เก่งอะไรสักทาง แต่จะใช้ความพยายามให้ดีที่สุดสำหรับใน ทุก ๆ อย่างที่เข้ามา ส่วนที่หลังจากได้รับโอกาสแล้ว ทำแล้วชอบอะไร หรือเก่ง ด้านไหนมากที่สุด…ตอบยากมากเลย เพราะผมชอบทุกอย่างที่ตัวเองทำน่ะ”

แล้วอะไรที่เจมส์ไม่ถนัดที่สุด

“…ไม่ชอบเต้นครับ ผมเขินตัวเอง (ยิ้มเขิน) หลายคนบอกว่าเจมส์เต้นได้ จากภาพที่เห็นในคอนเสิร์ตหรือตามงานต่าง ๆ ซึ่งเจมส์ก็เต้นได้จริงครับ แต่ ในใจจะรู้สึกตะขิดตะขวงนิด ๆ เขินหน่อย ๆ (ยิ้ม) แม้จะผ่านมาหลายงาน แต่ ทุกวันนี้เวลาที่ต้องเต้นก็ยังเขินอยู่ตลอดเลยครับ”

ชีวิตในวัยใกล้ 27 ปีของเจมส์เป็นอย่างไร

“โห…ผมจะ 27 แล้วเหรอ (ทำเสียงตกใจจริงจัง) ผมไม่เคยคิดถึงตัวเลข ของอายุ ซึ่งถ้ามองตัวเลข 27 อาจจะบ่งบอกถึงศักยภาพหรือสมรรถภาพทาง ร่างกายมากกว่า (หัวเราะ) และตอนนี้ผมก็ไม่ได้ซีเรียสกับชีวิตว่าเราโตขึ้นขนาดไหน แล้ว เป้าหมายในอีก 10 ปีคืออะไร

“แต่เมื่อ 3 ปีที่แล้วผมเคยตั้งเป้าไว้เหมือนกันนะว่าเราต้องเก่งในเรื่องนี้ให้ได้ เช่น ต้องเก่งการแสดงให้มากกว่านี้ หรือต้องเล่นดนตรีให้ได้ ต้องทำงาน ให้ดีขึ้นจากเดิม เพราะช่วงนั้นเหมือนค้นหาความหมายของชีวิต ซึ่งผมคิดว่า หลายคนที่อยู่ในช่วงอายุประมาณ 20 – 30 ปีก็น่าจะรู้สึกคล้าย ๆ แบบนี้ ประมาณว่าชีวิตจะไปทางไหนต่อ จะทำอะไรดี เราต้องเป็นคนแบบไหน บวกกับ ผมค่อนข้างเป็นเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์ ฉะนั้นสิ่งที่ตามมาคือความกดดันและความ เครียดในตัวเอง

“ช่วงนั้นผมอ่านหนังสือหลายเล่ม จนที่สุดเริ่มตกผลึกว่าบางเรื่องเราก็ ไม่จำเป็นต้องหาคำตอบก็ได้นะ อย่างมีการทดลองหนึ่งเขาให้คนกลุ่มนี้ไปหา ความหมายของชีวิต ส่วนอีกกลุ่มไปหาความสุขในชีวิต ซึ่งผลสรุปที่ได้คือ จริง ๆ แล้วความสุขไม่ใช่สิ่งที่จะตามหาได้ แต่เป็นผลจากการกระทำของเรา สุดท้าย ผมจึงถามตัวเองว่า แล้วเราจะตั้งเป้าหมายนี้ไปเพื่ออะไร หรือจริง ๆ แล้วชีวิต ไม่ต้องมีเป้าแบบชัดเจนขนาดนั้นก็ได้ แค่เรามีความสุขก็น่าจะเพียงพอแล้วมั้ง

“ผมจึงเลือกจะใช้ชีวิตไปกับความสุขเล็ก ๆ ในทุก ๆ วัน ไม่ต้องมองภาพไกลมาก ซึ่งความสุขของผมคือการที่ได้มีโอกาสทำงาน ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยการ แบ่งปันความรู้และความสุขให้กับคนรอบตัว ผมว่าแค่นี้แหละ…โอเคแล้ว

“สำหรับ 7 ปีในวงการบันเทิง ชีวิตผมเปลี่ยนไปหลายเรื่องเลยครับ อาจ จะไม่ได้ใช้แค่คำว่าโตขึ้น แต่ถ้ามองภาพรวม ผมคิดว่า…ผมมีความสุขมากขึ้น (ยิ้ม) มีความสุขกับการทำงานที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากช่วงแรกที่ผมเข้าวงการบันเทิง แล้วได้เล่นละครเรื่องแรก ทำให้มีคนรู้จักเพิ่มมากขึ้น หลังจากนั้นช่วงปีแรก ๆ ตอนทำงานเยอะ ๆ ผมรู้สึกว่าเหนื่อยจัง…แต่พอเวลาผ่านไป เมื่อผมเข้าใจอะไร มากขึ้นก็เริ่มสนุกกับการทำงานและมีความสุขมากขึ้นในทุก ๆ ช่วงชีวิต คือ ก็ยังมีเหนื่อยบ้าง แต่มีความสุขครับ” (ยิ้ม)

8 ปี บนเส้นทางมายา 'เจมส์-จิรายุ' ไม่ยึดติดบทพระเอก พร้อมบรรเลงตามจังหวะชีวิต

มองภาพตัวเองในวงการบันเทิงจากนี้ไว้อย่างไร

“ไม่ได้ปักธงไว้ชัดเจนครับ ผมเชื่อว่าความคิดของเราจะเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ ตามโอกาสและยุคสมัย ผมอาจจะทำงานในวงการบันเทิงไปจนแก่ก็ได้ แต่เปลี่ยน ตำแหน่งหน้าที่ จากเป็นพระเอกไปเล่นเป็นตัวละครอื่นบ้าง หรือไปทำนู่นทำนี่อยู่เบื้องหลัง หรืออาจจะเป็นผู้กำกับ เป็นผู้จัดฯก็ได้ แล้วแต่โอกาส จังหวะ รวมถึงความคิดและไอเดีย ณ ตอนนั้นครับ”

ไม่ยึดติดกับความเป็นพระเอก

“ผมเคยอ่านเจอว่า ความทุกข์มี 2 แบบ แบบแรก ความทุกข์เฉียบพลัน ซึ่งเกิดง่ายมาก คือการใช้ตัวเองเป็นที่ตั้ง แล้วไปเปรียบเทียบกับคนอื่น แบบนั้นทุกข์แน่นอน แบบที่สองคือ การยึดติดหรือคาดหวังกับอนาคต ก็เกิดความทุกข์แน่นอนเช่นกัน เพราะเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง แต่เราพยายามไปเคร่งเครียด หมกมุ่นอยู่กับมัน

“ซึ่งบางทีการที่เรายึดติดอยู่กับอนาคตก็อาจจะทำให้เราได้ผลงานที่ดีก็ได้ เพราะเราเต็มไปด้วยความคาดหวัง ซึ่งไม่ผิดนะครับ แต่บางทีมันก็ทำให้ความสุขระหว่างทางหายไป กว่าเราจะไปถึงเป้าหมายนั้นได้

“ผมจึงเลือกมีความสุขกับปัจจุบัน ไม่เอาตัวเองไปยึดติด แค่ว่าสิ่งไหนดี สิ่งไหนควรทำ เราก็แค่วางแผนแล้วลงมือทำ สมมติผมมีไอเดียว่าอยากนำเสนอเนื้อหาแบบนี้ ผมก็จะไม่คิดไปถึงภาพใหญ่โตว่าถ้าทำสิ่งนี้แล้วจะได้อะไรกลับมาบ้าง แล้วจากนั้นควรทำอะไรต่อ ซึ่งการที่คิดใหญ่ไว้ก่อนมันก็ดีนะ แต่คิดบาง ๆ ได้บางครั้งก็ดีกว่าครับ (ยิ้ม) คิดบาง ๆ ของผมคือ แค่ทำสิ่งนั้นให้ดี ยังไม่ต้องไปกังวลถึงอนาคต”

8 ปี บนเส้นทางมายา 'เจมส์-จิรายุ' ไม่ยึดติดบทพระเอก พร้อมบรรเลงตามจังหวะชีวิต

แสดงว่าทุกอย่างที่ทำมาจากความชอบจริงๆ

“ใช่ครับ สำหรับในตอนนี้นะครับ จะมาจากความรู้สึก ความชอบ ทำในสิ่งที่ผมรู้สึกว่าโอเค มันดีต่อตัวเรา ดีต่อคนอื่นด้วย และไม่ได้ทำร้ายใคร

“อย่างตอนนี้ผมชอบนอนที่สุดเลยนะ (หัวเราะ) ล้อเล่นครับ ผมจะยกตัวอย่างการถ่ายภาพที่เป็นอีกหนึ่งอย่างที่ผมชอบ ทั้งชอบถ่าย ชอบแต่งรูป และชอบซื้ออุปกรณ์ด้วย ตัวนี้ออกใหม่ รุ่นนี้ลิมิเต็ด จนตอนนี้น่าจะมีราว ๆ 30 ตัว แล้วครับ คือทั้งสนุกที่ได้ถ่ายและได้ซื้อ (ยิ้ม) แต่ก็พยายามจะหยุด ไม่ซื้อแล้วละ…พยายามอยู่จริง ๆ นะครับ (หัวเราะ)

“เมื่อก่อนผมพกกล้องติดตัวตลอดเวลา ถ่ายแทบทุกอย่าง เพราะผมไม่ได้มีอะไรที่ชอบถ่ายเป็นพิเศษ ถ่ายทุกอย่าง ทั้งวิว คน ไม่มีหมวดหมู่ จนมาถึงช่วงที่พกไว้เฉย ๆ แต่ไม่ถ่ายอะไรเลย คือแบกกล้องจนปวดไหล่ไปหมด (หัวเราะ) จึงเริ่มคิดว่าเพราะอะไรที่ทำให้เราเริ่มเบื่อหรือไม่อยากถ่าย ก็เลยคิดโปรเจ็กต์สนุก ๆ มาเติมสีสันให้ตัวเอง แพลนไว้ว่าในอนาคตอยากทำโปรเจ็กต์ถ่ายรูป ทุกวันเวลาออกไปทำงาน เจอเพื่อน พอครบ 1 ปีก็มานั่งดูภาพทั้งหมด เราคงได้เห็นเรื่องราวระหว่างทางมากมาย เป็นการรวบรวมความสุขในระหว่างทาง”

เวลานึกถึงเจมส ์ ภาพที่เห็นคือรอยยิ้ม ความสดใส เคยมีมุมเครียดๆ บ้างไหม

“ไม่ค่อยมีเลยครับ…ผมค่อนข้างสบาย ๆ ชิล ๆ (หยุดนึก) นึกไม่ออกจริง ๆ ครับว่าผมเคยโกรธใครหรือโมโหเรื่องอะไรจริงจัง คงเพราะผมปล่อยผ่านได้ง่าย ซึ่งจริง ๆ แล้วไม่ดีนะครับ เพราะบางเรื่องก็ไม่ควรปล่อย ไม่ได้หมายความว่าเราต้องไปเอาเรื่องใครเขานะ เพียงแต่อาจจะต้องจัดการอะไรบ้าง แต่ผมสามารถยอมรับได้ด้วยความรู้สึกว่า ‘ไม่เป็นไร’ คือคนทั่วไปเขาต้องฝึกตัวเองไม่ให้โมโห
ใช่ไหมครับ แต่ผมพยายามฝึกตัวเองให้โมโหเป็นอยู่ครับ” (ยิ้มหวาน)

8 ปี บนเส้นทางมายา 'เจมส์-จิรายุ' ไม่ยึดติดบทพระเอก พร้อมบรรเลงตามจังหวะชีวิต

ดูแลตัวเองอย่างไรจึงดูเด็กและสดใสอยู่ตลอด

“น่าจะเป็นแต้มบุญอีกเช่นกัน (หัวเราะ) โชคดีที่หน้าเด็ก จึงยังดูเด็กอยู่ แม้อายุจะเพิ่มขึ้น แต่ผมก็พยายามดูแลตัวเองให้ดีเท่าที่ทำได้นะ อย่างนอนเยอะ ๆ ไง (ยิ้มกวน) วิ่งออกกำลังกาย เพราะอย่างอื่นไม่ถนัดครับ”

เวลาอยู่กับแก๊งเพื่อนๆ เป็นอย่างไรบ้าง

“สนุกครับ อย่างวันนี้ดีใจมากที่ได้มาทำงานกับพี่เต้ยอีก เพราะเราสนิทกันมานานแล้วครับ ประมาณ 5 ปีแล้ว ช่วงไหนไม่ได้เจอก็โทร.คุยอัพเดตเรื่องราวจะได้รู้ความคืบหน้าว่าเป็นอย่างไรบ้าง คุยตั้งแต่เรื่องทั่วไปจนถึงชีวิตช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้างครับ (ทำเสียงจริงจัง)

“แต่ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวจะไม่ค่อยแชร์กันนะ เพราะอย่างพี่เต้ย พี่แต้ว (ณฐพร) สองคนนี้เป็นผู้หญิงแกร่ง สายสตรองมาก ถ้านึกภาพตามก็คือผู้หญิงที่ยกเวตกล้ามใหญ่ๆ (ยิ้ม) ซึ่งไม่ต้องเป็นห่วงเลยครับ เขามีมุมมองในการใช้ชีวิตที่ดีมาก ๆ และหลายครั้งที่ผมได้คำแนะนำในการใช้ชีวิตจากพี่ ๆ เป็นความรักที่เรามีให้กัน (ยิ้ม) ผมคิดว่ามิตรภาพและความรักเป็นสิ่งที่ดีมาก ๆ ทุกคนจำเป็นต้องมีความรัก ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ครอบครัว เราทุกคนเติบโตได้ด้วยความรักครับ”


ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 960

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

เปิดดวง12 ราศีครึ่งปี 2563 กับพยากรณ์หนุ่มสุดหล่อ”หมอแชมป์”เงิน งาน ความรัก ปังหรือแป้ก!

ชีวิตบนความคาดหวัง เผยแผลศัลยกรรมตาสองชั้นของ ‘หมอรวงข้าว’

ฝันให้ไกลไปให้ถึง “มีมี่ เทา” ไม่สนคำคน พกฝันสู่รันเวย์ระดับโลก

Praew Recommend

keyboard_arrow_up