น้ำหวาน - พัสวี

เปิดตัวตน น้ำหวาน – พัสวี หวานใจ “นาวิน ต้าร์” กับความต่างกันสุดขั้ว แต่ลงเอยเพราะคำว่า “ใช่”

น้ำหวาน - พัสวี
น้ำหวาน - พัสวี

 

น้ำหวาน - พัสวีแล้วตกลงแต่งงานกันตอนไหนคะ

ช่วงเดือนสิงหาคม ตอนอยู่ที่สมุยค่ะ แล้วก็จัดงานที่โน่นเลย เราไม่มีการพูดคุยตกลงใดๆ ทั้งสิ้นว่าเป็นแฟนกันนะ จะเป็นแนวมาเนียนๆ แบบไม่รู้ตัว (หัวเราะ) ค่อยๆ แทรกซึมมาในกลุ่มเพื่อนน้ำหวาน อาจจะด้วยบรรยากาศที่เราสองคนอยู่ที่นั่น ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันนานเป็นอาทิตย์ แล้วเพื่อนๆ ต่างก็เชียร์ บอกว่าอย่าไปคิดมาก อายุก็ปูนนี้แล้ว จนถึงวันที่เขาขอแต่งงาน เลยตกลงปลงใจ แต่งก็แต่ง เพื่อนก็จัดการส่งข่าวถึงเพื่อนๆ ที่กรุงเทพฯ เนรมิตงานขึ้นมาที่นั่นเลย คือทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก (หัวเราะ) ทุกวันนี้ตื่นนอนมาเห็นหน้าแล้วยังถามเขาอยู่เลยว่าตกลงเป็นเรื่องจริงใช่ไหม พี่ต้าร์ก็บอกกลับมาว่า น้องคะ มันเป็นเรื่องจริง เลิกถามได้แล้ว (หัวเราะ)

ชีวิตหลังแต่งงานต้องปรับเปลี่ยนเยอะขนาดไหนคะ

เยอะพอสมควร ยิ่งช่วงหลังจากแต่งงานที่สมุย ช่วงนั้นเราใช้เวลาอีกประมาณ 3 เดือนกว่าจะปรับจูนเข้าหากันได้ ช่วงนั้นอยู่ด้วยกันทุกวัน ผูกติดกันตลอด ทั้งกิน นอน ก็ยากนะ ช่วงแรกๆ เหนื่อยมาก คิดว่าช่วงนี้แหละถ้าผ่านไปได้แสดงว่ารอด แต่ถ้าไม่ได้ก็คงไม่ใช่ เพราะเรามาคนละแนวกันเลย โดยเฉพาะเรื่องคำพูด บางทีเราพูดแล้วเขาเข้าใจไปอีกแบบ หรือเวลาเขาพูด เราก็เข้าใจอีกแบบ เหมือนสื่อสารกันไม่รู้เรื่อง ช่วงแรกๆ ต้องมีเพื่อนคอยเป็นล่าม อย่างเช่น น้ำหวานพูดว่า พี่คะ งานพี่นี่สบายๆ เนอะ ไม่ต้องคิดมากเรื่องเวลาเลย พี่ต้าร์ก็จะเข้าใจว่าเราไปว่า หาว่าเขาไม่ตรงเวลา ซึ่งความจริงไม่ใช่เลย เราแค่พูดให้ฟังว่างานเขาสบาย ไม่ต้องเครียดเหมือนงานเรา ไปช้าแค่นาทีเดียวก็โดนมองหน้าแล้ว คือเหมือนว่าเรามองคนละมุมกันตลอดเวลา พอตอนหลังก็เริ่มเข้าใจแล้วว่าแต่ละคนหมายถึงอะไร

เวลาโกรธส่วนใหญ่พี่ต้าร์จะเป็นฝ่ายง้อ แต่ถ้าน้ำหวานโกรธส่วนใหญ่จะนิ่งเงียบ ไม่พูดอะไรเลย ช่วงแรกปรับตัวเข้าหากันยาก เพราะยิ่งเงียบ พี่ต้าร์ยิ่งโมโหว่าทำไมเราเหมือนกวนประสาท เซ็งมากที่ทำไมเราไม่เข้าใจกันสักที คงเพราะเรามีเวลาเรียนรู้กันน้อยเกินไป แต่พี่ต้าร์ก็จะพูดตลอดว่า คนเราถ้าใช่ก็คือใช่ ไม่ต้องเรียนรู้กันเยอะ จะรู้ด้วยจิตวิญญาณอยู่แล้วว่าถ้าใช่ก็จบ ไม่ต้องคิดเยอะ โชคดีที่ผ่านมาได้ เริ่มเข้าใจกันมากขึ้น

น้ำหวาน - พัสวี

แต่งงานปุ๊บมีน้องปั๊บเลยนะคะ 

ใช่ค่ะ เพราะพี่ต้าร์แพลนมาตั้งแต่ตอนที่อยู่สมุยแล้วว่าอยากมีเลย เพราะด้วยอายุที่มากขึ้น แล้วเขาก็เป็นห่วงน้ำหวาน ถ้ามีลูกอายุเกิน 35 ปีจะต้องเจาะตรวจน้ำคร่ำ วุ่นวาย คิดเป็นสเต็ปๆ ไว้ให้เลย ซึ่งพอหลังแต่งงานพี่ต้าร์ก็ซื้อหนังสือแม่และเด็กมาอ่านหมดทุกอย่าง จนน้ำหวานไม่ต้องทำอะไรเลย งานนี้พี่ต้าร์จะขอเป็นคุณแม่เอง พี่ต้าร์บอกให้ปั๊มนมเก็บไว้ แล้วเขาจะเป็นคนให้เอง ยอมลดงานลง แต่ให้เราไปทำงานตามปกติ เขาวางแผนเป็นคุณแม่เอง (หัวเราะ) คือเขารู้ว่าเราชอบทำงานมาก แล้วถ้าเราต้องเปลี่ยนตัวเองไปเยอะๆ เขาก็กลัวว่าเราจะไม่มีความสุข คือเราไม่ได้เป็นคนคิดเยอะเกี่ยวกับอนาคต แค่วันนี้โอเค ทุกอย่างก็โอเค แล้วค่อยว่ากันในอนาคต แต่พี่ต้าร์จะวางเป็นสเต็ปๆ ไว้หมดแล้ว ตอนนี้ดูแม้กระทั่งโรงเรียนลูก

ชอบผู้ชายคนนี้ตรงไหนคะ

สารภาพเลยว่าภาพที่น้ำหวานมองเขาตอนแรกดูน่ากลัว เพราะดูเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ เลยไม่ค่อยกล้าคุยกับเขา เพราะเหมือนคำพูดที่เขาสื่อสารเป็นเลเวลที่คุยกับคนปกติไม่รู้เรื่อง ดูเนิร์ดๆ หน่อย แต่พอตอนหลังที่ลองได้มาอยู่ด้วยกัน จริงๆ แล้วเขาเป็นคนอ่อนโยนและเซ้นสิทีฟมาก เหมือนทุกคำพูดของเรา เขาจะให้ความสำคัญหมด

ด้วยความที่เราเป็นคนพูดตรง แล้วไม่ค่อยสนใจอะไรมากมาย บางทีพูดอะไรไป เขาก็แอบไปนั่งซึมคนเดียว ซึ่งเราไม่ได้ตั้งใจ หรือบางทีพูดถึงคนทั่วๆ ไปก็คิดว่าต่อว่า คือปกติเวลาอยู่กับก๊วนเพื่อนก็มีทั้งผู้ชายและผู้หญิง เราก็จะเมาท์มอยคุยเล่นกันปกติ แต่พี่เขาไม่รู้จักการพูดเล่น ทุกอย่างดูจริงจังไปหมด แล้วเราก็เพิ่งมารู้ตอนหลังว่าเขาไม่เข้าใจว่าการพูดเล่นคืออะไร เราก็แอบนึกในใจว่า อุ๊ย! ซวยละ (หัวเราะ) เพราะสำหรับเขา ทุกอย่างคือเรื่องจริง ช่วงแรกๆ เลยคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง

แสดงว่าไม่มีมุมเล่นๆ เลยเหรอคะ

คือด้วยความที่ทำงานมาหนักแล้ว ถ้าจับกลุ่มกันก็คือไร้สาระเลย แต่เขาจะไม่มีฟีลนี้ ทุกอย่างต้องจริงจัง นั่งวิเคราะห์คำพูดต่างๆ นานา เราก็พยายามบอกว่า พี่คะ อย่าเครียด พี่ต้องเหมือนคนปกติที่เขาสบายๆ ขำๆ เวลาอยู่กับเพื่อนฝูง เขาก็ถามกลับมาทันทีว่า คนปกติคืออะไรคะน้อง พี่ไม่ได้เป็นคนบ้านะคะ ช่วงแรกต้องมีพจนานุกรมไว้เลย คำพูดนี้แปลว่าแบบนี้ (หัวเราะ) ณ ปัจจุบันเริ่มเล่นเป็น คือเข้าใจว่าเขาไม่ได้เป็นคนขี้เล่น แต่เทคแคร์ดี ตอนนี้เริ่มรู้แล้วว่าเรื่องไหนเป็นการแซวเล่น เป็นมุก

Praew Recommend

keyboard_arrow_up