คุณหมอนพรัตน์

ผ่าชีวิตศัลยแพทย์พันล้าน หมอนพรัตน์ย้ำชัด “ผมจะจำเขาแต่ภาพที่ดี”

คุณหมอนพรัตน์
คุณหมอนพรัตน์

เพิ่งจะอยู่ในสเตตัสโสดมาได้ไม่นาน หลังจากที่หย่ากับอดีตภรรยาไป ชีวิตตามประสาหนุ่มโสดของ คุณหมอนพรัตน์ หรือนายแพทย์นพรัตน์ รัตนวราห ก็ยังคงเดินหน้า พร้อมกับข่าวต่างๆ ออกมาเป็นระยะ ความโสดที่เข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัว ทำให้ชีวิตของ คุณหมอนพรัตน์ เปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง วันนี้ Exclusive Talk แพรวดอทคอม จึงขอพามาผ่าชีวิตของเขากันแบบเต็มๆ

ชีวิตประจำวันของคุณหมอตอนนี้ใช้เวลาไปกับอะไรบ้าง

หมอนพรัตน์ : ทุกวันนี้ก็ทำงานนี่แหละครับ แล้วก็ดูแลตัวเองมากขึ้น ออกกำลังกายฟิตหุ่นหน่อย และผมจะเป็นคนประเภทชอบทำกิจกรรม ก็มีออกไปขับรถเล่นบ้าง หรือไม่ก็พาครอบครัวไปเที่ยวต่างประเทศ คือตอนนี้ชีวิตแฮ็ปปี้ดีครับ

คุณหมอนพรัตน์

เคยได้ยินมาว่าชีวิตคุณหมอสมัยก่อนก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไร

หมอนพรัตน์ : ใช่ครับ บ้านผมฐานะปานกลางนะ คุณพ่อทำงานป่าไม้ คุณแม่เป็นครูอยู่ที่แพร่ ผมเองก็เด็กต่างจังหวัด ก็ค่อนข้างตั้งใจเรียนและทำกิจกรรมเยอะ เคยเป็นนักกีฬาว่ายน้ำระดับเขตด้วยนะ (ยิ้มอย่างภูมิใจมาก) คือทำกิจกรรมไปด้วยเรียนไปด้วยตลอด และผมมีเป้าหมายก็คืออยากเป็นหมอ ก็ตั้งใจ ขยันเรียนมาเรื่อยๆ จนสอบติด

ตอนนั้นก็ลำบากพอสมควร เพราะเราไม่ชินกับการอยู่กรุงเทพฯเลย ขึ้นรถเมล์ไปนั่นนี่ก็ต้องประหยัดที่สุด แต่ตอนนั้นเข้ามาปีหนึ่งผมก็ยังได้เป็นนักกีฬาของมหาวิทยาลัยด้วย มีรับจ๊อบสอนพิเศษว่ายน้ำบ้าง สอนภาษาอังกฤษบ้าง คือวิชาไหนที่เราพอมีความรู้ก็จะรับสอนหมด ผมเริ่มทำงานเก็บเงินเรื่อยๆ เอามาช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายในชีวิตตัวเองและค่าเทอมบ้าง ซึ่งจริงๆ ตอนนั้นคุณแม่ก็ยังส่งเรียนอยู่ครับ ยังไม่ได้ถึงขั้นส่งตัวเองเรียน

ห้องรับแขก
บรรยากาศภายในบ้านหมอนพรัตน์ บริเวณโซนห้องรับแขก

อาชีพนี้ก็ทำให้กลายเป็นศัลยแพทย์พันล้านด้วย

หมอนพรัตน์ : คือต้องบอกว่าก่อนที่ผมจะมาทำศัลยกรรมตกแต่งความงาม ผมเองผ่านงานด้านศัลยกรรมทั่วไปมาเหมือนกัน ช่วงที่ผมเรียนหมอก็เริ่มเรียนรู้แล้วว่ามันมีหลายสาขาเฉพาะทางอีก ตอนนั้นก็คิดว่ามีหมออะไรบ้างที่เหมาะกับตัวเราที่สุด ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่าตัวเองชอบงานเกี่ยวกับด้านผ่าตัด อะไรก็ตามที่เกี่ยวกับเรื่องการผ่าจะชอบเป็นพิเศษเลย และทำคะแนนได้ดีด้วย ส่วนตัวก็เป็นคนชอบงานศิลปะด้วย เลยมุ่งไปที่การผ่าตัดจริงจัง จนช่วงที่ต้องใช้ทุนที่โรงพยาบาลที่เชียงใหม่ เราก็เรียนด้านผ่าตัดศัลยกรรมทั่วไปพร้อมกันเลย

คุณหมอนพรัตน์

คือเราก็รู้สึกว่าการผ่าตัดศัลยกรรมเพื่อความสวยงามจะไม่เครียดหรือกดดันเท่าผ่าตัดหัวใจหรือสมอง ยิ่งเห็นคนที่ก่อนทำรูปลักษณ์อย่างหนึ่ง พอออกมาปุ๊บ เปลี่ยนไปในลักษณะที่ดีขึ้น ก็รู้สึกว่าชอบการผ่าตัดแบบนี้ ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องการผ่าตัดเพื่อความสวยงามอย่างเดียวเท่านั้น อย่างผู้ป่วยปากแหว่งเพดานโหว่ บาดเจ็บ อุบัติเหตุ ใบหน้าเสียโฉม กระดูกแตก คือเรารู้สึกว่าพอได้ทำแล้วชอบ พอเห็นว่าผลการผ่าตัดออกมาแล้วมันเปลี่ยนแปลง ทำให้ชีวิตเขาดีขึ้น ก็เลยมุ่งมั่นที่จะเรียนต่อทางด้านศัลยกรรมตกแต่ง ช่วงนั้นผมก็ทำงานทุกวันด้วย ไม่มีหยุดเลย

ทำงานด้านนี้ เลยเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้มาพบกับเรื่องความรักด้วย

หมอนพรัตน์ : ถ้าจำไม่ผิดก็ประมาณ 9 ปีมาแล้ว เพื่อนผมรู้จักกับอดีตภรรยา ไม่ได้เชิงว่าจะพามาศัลยกรรม เหมือนพามารู้จักกันมากกว่า ตอนนั้นเราก็ฉีดโบท็อกซ์ด้วย ก็เลยฉีดให้ ตอนนั้นรู้สึกว่าเขาน่ารักดี ยังวัยใสๆ เรียนมหาวิทยาลัยอยู่เลย ก็คุยผ่านแชตมาเรื่อยๆ หลังจากนั้นก็เริ่มค่อยๆ ทำศัลยกรรมให้เขา แต่เขาเป็นคนขอให้ทำนะครับ มีแต่ผมห้าม เพราะผมรู้ว่ามากไปมันไม่ดี อันไหนที่ผมเห็นว่าเขาควรทำ ผมก็จะทำให้

คิดว่ามีส่วนไหมที่ทำให้หลายๆ อย่างเริ่มเปลี่ยนไป

หมอนพรัตน์ : คือมันก็อาจจะมีความเป็นไปได้ แต่สำหรับเคสผมคงไม่ใช่ ผมว่ามันเป็นเรื่องของการที่เราเข้ากันได้หรือไม่ได้มากกว่า

ห้องเก็บของที่ระลึก
ห้องเก็บของที่ระลึกจากทั่วโลก ที่คุณหมอซื้อมาจากการไปเที่ยวต่างประเทศ

เคยลองถามตัวเองไหมว่าเราทำผิดหรือไม่ดีตรงไหนหรือเปล่า

หมอนพรัตน์ : ถ้าให้ผมมองตัวเอง อย่างในช่วงที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัว ผมมีเคสผ่าตัดเยอะ เคยทำขนาดว่าข้ามคืนไปอีกวันก็เคยเป็นมาแล้ว คือก่อนแต่งงานเราก็มีเวลาเจอกันน้อยมากในช่วงนั้น แต่จริงๆ ผมว่าเราก็สามารถจูนกันได้นะ เพราะเขาเองก็ทำงาน ไม่ได้มีเวลาให้ผมมากเหมือนกัน และช่วง 4 ปีหลัง ก่อนที่จะตัดสินใจแต่งงาน เราก็ไว้ใจมากขึ้น ไม่ได้ตามอะไร ซึ่งผมก็แฮ็ปปี้ที่เห็นเขาออกไปทำงานนอกบ้าน

 แต่มีประเด็นออกมาว่าคุณหมอเป็นคนจุกจิก ตรงนี้จริงหรือเปล่า

หมอนพรัตน์ : อาจจะเป็นที่คนอื่นคิด แต่ที่ผมมองก็คือ อย่างเรื่องภาพลักษณ์ของเขา ผมค่อนข้างเป็นห่วงว่าคนอื่นจะมองเขาไม่ดี ก็ไม่รู้ว่าเขามองว่าเราไปบังคับเขาหรือเปล่า แต่ส่วนตัวผมคือแค่พูดเฉยๆ ไม่ได้จะไปบังคับอะไร และผมก็ไม่เคยห้ามไม่ให้เขาไปไหนนะ แต่เอาจริงๆ คือช่วงที่คบ ผมว่าเราเป็นคู่ที่ทะเลาะกันน้อยมาก ถ้าจะงอนกันก็ไม่เกินวันสองวันก็ดีกันแล้ว

คุณหมอนพรัตน์

คาดหวังกับความรักครั้งต่อไปไว้อย่างไรบ้าง

หมอนพรัตน์ : คงไม่คาดหวังอะไรมากมาย ตัวเราเองไม่ได้คาดหวังว่าต้องเป็นยังไง ตัวเลือกก็คงไม่เยอะ เพราะอายุเราก็มากแล้ว ผมก็ทำงานไปวันๆ ขอแค่ว่าเข้ากันได้ แต่จะใช่หรือเปล่าก็บอกไม่ได้ แต่ก็ไม่ซีเรียสว่าต้องได้นะครับ ปล่อยให้เวลาเป็นตัววัดดีกว่า ถ้ามีใครเข้ามา จูนกันได้ อยู่ด้วยแล้วมีความสุขก็โอเค แต่คงไม่คาดคั้นว่าคุณต้องอยู่กับเราตลอดชีวิต

ยังอยากแต่งงานอีกครั้งไหม

หมอนพรัตน์ : ก็ยังอยากนะ ผมคิดไว้นานแล้วว่าอยากมีลูก คือมันเป็นเรื่องสำคัญนะ ถ้าเป็นช่วงหนุ่มๆ ก็มีลังเลว่าจะมีดีไหม แต่ในระยะยาวผมว่าอาจจะอยากมีลูก เพราะก่อนแต่ง ช่วงที่เราสร้างเนื้อสร้างตัว สร้างบ้าน เราก็วางไว้แล้วว่า เออ จะมีห้องสำหรับลูกด้วยนะ มีสระว่ายน้ำนะ มีตรงนั้นตรงนี้ไว้ให้ลูกนะ

ตอนนี้เริ่มศึกษาคนใหม่บ้างหรือยัง

หมอนพรัตน์ : ก็มีครับ แต่ก็ไม่ได้พัฒนาความสัมพันธ์อะไรมากกว่านั้น ผมเองก็ระวังเรื่องของการเป็นข่าวด้วย เพราะก่อนหน้านี้จะไปไหนทีก็จะเป็นข่าวว่าเราใช้ชีวิตลั้นลามาก ซึ่งจริงๆ มันก็เป็นการพักผ่อนของเราเท่านั้นเอง คือเราไม่ใช่หมอที่เอาแต่ทำงานอย่างเดียว ส่วนตัวก็มีไลฟ์สไตล์อย่างอื่นด้วย ผมยังมีโหมดปาร์ตี้ มีโหมดขับรถเที่ยว เอนจอยกับการใช้ชีวิตในบ้าน ไปล่องเรือยอช์ต พักผ่อนอะไรแบบนี้ ก็เลยระวังไม่ให้เป็นข่าวอะไรไม่ดีว่าเราเป็นคนเสเพล

มีคนเข้ามาเยอะไหม

หมอนพรัตน์ : ก็มีมาเรื่อยๆ แต่ไม่ได้สนใจอะไร เพราะเราเองก็รู้ว่าแบบไหนมันใช่หรือไม่ใช่ บางคนที่เราเองแอบชอบแอบปลื้มเขาด้วยเหมือนกัน แต่ผมจีบผู้หญิงไม่เป็น ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไงด้วย แต่ถ้ามีใครเข้ามาจริงจัง คุยแล้วใช่ ผมก็คงคบเป็นแฟนเลย

ห้องนั่งเล่น
ห้องนั่งเล่นที่อยู่ภายในห้องนอนของคุณหมอ

เรื่องนี้ถือว่าหนักที่สุดในชีวิตแล้วหรือยัง

หมอนพรัตน์ : สำหรับผมคงไม่ใช่ จริงๆ เรื่องที่หนักที่สุดในชีวิตคงเป็นเรื่องคุณพ่อมากกว่าครับ พ่อผมป่วยเป็นมะเร็งปอดตอนผมเรียนอยู่ปี 5 – 6 คือรู้สึกเลยว่าชีวิตมันมืดไปด้านหนึ่งเลย เพราะเราอยากให้พ่อหาย ตอนนั้นผมก็คิดว่ายังไงก็ต้องรักษาพ่อให้ดีที่สุด ก็ดูแลทุกอย่าง สมัยนั้นก็ยังไม่ได้มีเงินเยอะอะไร เคยไปซื้อยาให้พ่อแล้วเงินไม่พอก็มี ก็ประคับประคองกันมาตลอด

จนกระทั่งวันที่คุณพ่อเสียชีวิต ตอนนั้นก็ให้น้ำเกลือคุณพ่ออยู่ ส่วนผมก็นั่งปูเสื่อกินข้าว สักพักพยาบาลเข้ามาวัดชีพจรตามปกติ ดูเขารีบๆ ลุกลี้ลุกลน เราก็ตกใจเก็บข้าวเลย เพื่อนผมเองที่เป็นคนรักษาคุณพ่อก็เข้ามาตรวจเช็กอาการ คือเราเองก็เป็นหมอ ก็พอรู้ว่ามันกำลังเกิดอะไรขึ้นกับคุณพ่อ ซึ่งตามหลักคือญาติต้องออกไปข้างนอก แต่เราอยู่ข้างใน เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง และคอยช่วยทีมที่รักษาคุณพ่อ ผมเองก็เป็นคนปั๊มหัวใจให้คุณพ่อด้วย ตอนนั้นผมรู้สึกว่ามันนานมาก เราก็ทำเต็มที่ในฐานะหมอคนหนึ่งที่ต้องช่วยชีวิตผู้ป่วยให้ได้ คือถ้ากะเวลาไม่ผิด ผมรู้สึกว่าผมปั๊มหัวใจให้พ่อร่วม 40 นาที ซึ่งจริงๆ ตามหลักทางการแพทย์ ครึ่งชั่วโมงถ้าไม่ฟื้นก็คือเสียชีวิต

แต่ตอนนั้นทุกคนที่อยู่ในห้องปล่อยผมปั๊มไปเรื่อยๆ คือไม่มีใครบอกให้ผมหยุด แต่เราดูจากสภาพร่างกายของพ่อบวกกับเวลา เราก็รู้สึกว่ามันนานละ มันไม่ใช่ละ และพ่อผมเองเขาป่วยหนักเรื้อรังมานาน เขาไปอาจจะสบายกว่า เราก็เลยหยุด คือทุกคนที่อยู่ในนั้นจริงๆ ก็รู้อยู่แล้วว่ามันควรต้องหยุด อารมณ์ตอนนั้นเราก็รู้สึกว่าเราคือหมอที่รักษาคนไข้คนหนึ่งอยู่ ก็ยังเฉยๆ สักพักก็มาค่อยๆ ไตร่ตรองว่า เออ นี่พ่อเราเสียแล้ว

อ่านต่อหน้า 2

Praew Recommend

keyboard_arrow_up