วันนี้ แพรวดอทคอม จะเปิดบทสัมภาษณ์ที่คุณพ่อ ทิม – พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เคยให้สัมภาษณ์กับนิตยสารแพรวไว้เมื่อต้นปีก่อน (ปี 2561 ฉบับที่ 921) ถึง “พิพิม” ลูกสาวคนเดียวของทายาทธุรกิจน้ำมันรำข้าวมูลค่าพันล้านบาท ที่คุณพ่อทิม พิธา ได้ปักหมุดทางเดินชีวิตให้ “พิพิม” ไว้ค่อนข้างชัดเจนตั้งแต่ขวบปีแรก
“ผมอยากให้ลูกเข้มแข็งแบบตะวันตก และอ่อนโยนแบบตะวันออกครับ”
คุณทิม นักธุรกิจที่ตอนนี้ผันตัวเองมานั่งเก้าอี้กรรมการ บริหารของบริษัท Grab เปิดใจถึงลูกสาววัย 1 ขวบ 8 เดือนที่กำลังหัดพูดหัดเดิน แต่กว่าที่เขาจะสามารถพูดคำนี้ได้ ทั้งคู่ก็รอจนตัดใจว่าคงไม่มี แถมมาก็ยังไม่ได้เพศชายอย่างที่คาดหวังไว้ คุณต่าย ชุติมา ย้อนเล่าถึงวันที่ 18 มีนาคม สองปีที่แล้วว่า “หลังจากตั้งใจว่าจะมีลูก เราต้องรออีกเป็นปีจนเกือบตัดใจแล้ว กระทั่งกลับจากเที่ยวนิวยอร์กต่ายจึงแพ้ท้อง ตรวจเลือดก็ทราบว่าได้ลูกผู้หญิง พิพิมแข็งแรงมาก ต่ายนั่งบีทีเอสจนกระทั่งวันสุดท้ายก่อนคลอด แต่หลังคลอดพิพิมเกือบไม่ได้กินนมแม่ เพราะท่อน้ำนมต่ายเล็ก อาหารที่กินเข้าไปทำปฏิกิริยากับน้ำนมจนเกิดคราบอุดท่อน้ำนมจนตัน ต้องใช้วิธีนวดเปิดท่อน้ำนมสัปดาห์ละ 2 ครั้ง จากที่น้ำนมคัด จึงทำให้เต้านมแข็งเหมือนหิน ต้องใช้นิ้วกดแรงๆ เพื่อเค้นให้น้ำนมออกมา เจ็บกว่าคลอดลูกอีก พอนวดบ่อยเริ่มไม่ได้ผล ต้องใช้เครื่องอัลตราซาวนด์ละลายก้อนน้ำนมที่แข็งอีก 3 – 4 เดือนจึงเริ่มลงตัว พิพิมจึงได้กินนมแม่ต่อจนถึง 14 เดือน
“แม้ตอนแรกเราอยากได้ลูกผู้ชาย เพราะเป็นลูกคนแรกของบ้าน คุณทิมเองก็คงอยากได้เพื่อน แต่พอเราได้พิพิมมาก็วิเศษสุด ผู้ใหญ่เห่อ จะเรียกว่าเป็นหลานสาวรุ่นเล็กสุดของครอบครัวทั้งฝั่งต่ายและคุณทิมก็ว่าได้ ต่ายเองชอบจับลูกแต่งตัว อยากให้เป็นผู้หญิงลุย
“เดี๋ยวนี้ผู้หญิงหรือผู้ชายก็มีค่าเท่ากัน” คุณทิมเสริม “จากประสบการณ์ที่ผมชอบเดินทางท่องเที่ยว มีเพื่อนอยู่ตามประเทศต่างๆ ได้เห็นแต่ละครอบครัวทั้งตะวันตกและตะวันออกว่าเลี้ยงลูกไม่เหมือนกัน ซึ่งไม่มีผิดไม่มีถูก พ่อแม่คนไทยเลี้ยงแบบวิชาการ บางคนสุดโต่งเลย ขณะที่ผมกับต่ายชอบญี่ปุ่น มีเพื่อนญี่ปุ่นเยอะ ไปเที่ยวญี่ปุ่นกันบ่อย ยิ่งตอนนี้ผมมีคอนโดให้ชาวญี่ปุ่นเช่า เห็นเขาเลี้ยงลูกแบบเน้นระเบียบวินัย ฝึกให้รู้จักเข้าแถว ฝึกให้ช่วยเหลือตัวเอง เสาร์ – อาทิตย์พาลูกมาว่ายน้ำ ต่างกันอย่างเห็นได้ชัด ลูกคนไทยอายุ 4 – 5 ขวบมีพี่เลี้ยงช่วยเปลี่ยนชุดว่ายน้ำ ขณะที่เด็กญี่ปุ่นวัยเดียวกันใส่ชุดว่ายน้ำเองแล้วก็ถอดชุดว่ายน้ำบิดใส่ถุงเดินขึ้นห้อง ซึ่งเราอยากสอนให้พิพิมเป็นแบบนั้น มีส่วนผสมระหว่างความทันสมัยแบบตะวันตก อ่อนโยนแบบตะวันออก สิ่งดีๆ ที่คนไทยมี ไม่ว่าวัฒนธรรม ภาษา ดนตรี หรือการวางตัว การเรียนรู้มารยาทเวลาอยู่กับผู้ใหญ่ ซึ่งจะเป็นจุดแข็งของเขาในอีก 20 ปีข้างหน้า เช่น ถ้าเด็กร้อยคนเล่นเปียโน แล้วเขาเล่นขิม ก็จะโดดเด่นไปอีกแบบ ขณะเดียวกันก็ต้องไม่กลัวคนที่แตกต่าง ชีวิตจึงจะมีความสุข แล้วทำให้เขามีเสน่ห์ด้วย เพราะสมัยนี้ทุกคนคาดหวังอยากเป็นอินเตอร์ พูดไทยคำอังกฤษคำ ซึ่งผมคิดว่าไม่จำเป็น
“ตอนเด็กผมเรียนที่โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนจนถึง 11 ขวบ แล้วไปเรียนต่อที่นิวซีแลนด์ เขาเป็นผู้หญิง ก็จะให้เข้าอนุบาล 1 ที่โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย ใกล้บ้าน เพราะหากต้องใช้เวลาเดินทางไปโรงเรียนอินเตอร์ชื่อดัง เสียค่าเทอมปีละล้าน แล้วยังต้องใช้เวลาเดินทางจากบ้านไปอีก 2 ชั่วโมง ตื่นตี 5 กินข้าวแล้วหลับคาช้อน เรียนเสร็จก็ต้องนั่งรถกลับอีก 2 ชั่วโมง เพื่ออะไร หากอยากเก่งภาษา ผมก็เรียนจบปริญญาโทเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ก็พอจะสามารถสอนได้ คิดว่าให้เขาเรียนจนถึง 10 ขวบ สามารถพูดภาษาไทยชัดก่อน จากนั้นเรียนอินเตอร์หรือไปเรียนต่างประเทศก็ให้ตัดสินใจเอง แต่อย่างน้อยต้องฝึกให้มีความรับผิดชอบ ขณะเดียวกันก็ให้อิสระด้วยเพราะหากมีแต่ความรับผิดชอบอย่างเดียว ไม่มีอิสระที่จะเลือกเองเลยคงเครียด จึงเป็นโอกาสดีที่จะเลี้ยงลูกโดยตัดความคาดหวังจากบุคคลต่างๆ รอบตัวออกให้หมด ไม่ต้องเป๊ะตามตำรา ไม่ตามปู่ย่า ไม่ตามใจตัวเองมาก อะลุ่มอล่วยให้เขามีวัยเด็กที่มีความสุขดีกว่า
“ผมเชื่อในหลักคิดของญี่ปุ่นที่ว่า Positive Parenting คือ ดุให้น้อย ชมให้มาก เพราะเด็กไร้เดียงสาเกินกว่าที่จะต้องถูกดุ อย่างผมมีงานอดิเรกคือวาดภาพ ก็พาเขาไปเรียนด้วย ขณะที่ผมวาดก็ให้สมุดเขาวาดภาพไปพร้อมกัน แต่หากพิพิมจะฉีกสมุดแทนการวาดภาพ ผมก็ไม่ว่า เพราะใครจะรู้ โตขึ้นเขาอาจเป็นจิตรกรภาพโมเสกหรือภาพตัดแปะของโลกเลยก็ได้ เจ้าของธุรกิจหมื่นล้านบางคน ในอดีตก็เป็นเด็กที่ชอบเล่นเกม แต่พ่อแม่ไม่ตัดปีกจินตนาการเขา ฉะนั้นผมจึงยืดหยุ่นไม่ดุหากเขาทำอะไรแตกต่างจากเด็กคนอื่น ทั้งนี้ก็ต้องดูกาลเทศะด้วย
“ขณะที่ในมุมตะวันตกที่ผมชอบก็คือ การให้เด็กได้เรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ เช่น ไปอาร์ตแกลเลอรี่ ไปพิพิธภัณฑ์ ได้วิ่งเล่นบนสนามหญ้าโดยไม่มีใครห้าม ผมสังเกตว่าเด็กสมัยนี้ดื้อ เพราะไม่ได้ปลดปล่อยพลัง อยู่แต่ในห้องคอนโด ดูแต่ทีวี ติดมือถือ พอพ่อแม่บอกให้ทำอะไรก็อาละวาดขว้างของ เพราะฉะนั้นที่เที่ยวของลูกผมในทุกๆ วันคือสวนเบญจสิริ ผมสังเกตว่าวันไหนที่อุดอู้อยู่แต่ในบ้าน เขาจะนอนไม่หลับแล้วอาละวาด ซึ่งเขาก็บอกไม่ได้ว่าทำไมจึงนอนไม่หลับ แล้วบ้านสมัยนี้คือคอนโด บ้านผมก็เหมือนกัน
ต่อให้พื้นที่กว้าง มีสวน มีสระว่ายน้ำ แต่ยังไงก็ไม่ได้อยู่บนดิน เราจึงต้องหาโอกาสให้เขาได้เดินรับแดด เท้าแตะดิน สัมผัสอากาศบริสุทธิ์ที่ไม่ใช่ห้องแอร์บ้าง
“พอวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ก็ขับรถไปเที่ยววันเดย์ทริป เพิ่งพาเขาไปเที่ยวเขาดิน ผู้ใหญ่เสียค่าบัตรคนละ 100 บาท เด็กฟรี แค่นี้ก็มีความสุข ลูกแฮ็ปปี้ หรือไปเที่ยวตามจังหวัดใกล้ๆ กรุงเทพฯ วันหยุดยาวจึงพาไปต่างจังหวัดไกลๆ ไปต่างประเทศปีละครั้ง พิพิมได้ไปเที่ยวญี่ปุ่น 2 ครั้งแล้ว ให้เขาได้เห็นสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ ที่ไม่มีในบ้านเรา เช่น ไปดูหมีขาว ไปอควาเรียม แต่น่าจะสนองพ่อแม่มากกว่า”
“ใช่ค่ะ” คุณต่ายเห็นด้วย “อย่างที่เรามักได้ยินบ่อย ๆ ว่าเด็กคือผ้าขาว อยู่ที่ว่าพ่อแม่จะป้อนอะไรให้ เราคนไทยจะแข็งในเรื่องของมารยาท บ้านคุณทิมเป็นคนไทยก็จะเน้นที่ไปลามาไหว้ บ้านต่ายเป็นคนจีนก็ต้องสอนให้เขาเรียกอากงกับมามี้ เพราะคุณแม่ต่ายไม่อยากให้เรียกอาม่า ซ้ำกับที่ต่ายเรียกคุณยาย หากฝั่งตะวันตกคงเป็นเรื่องการขวนขวายหาความรู้ เหมือนที่คุณทิมอยากให้เขามีทั้งความรับผิดชอบและความอิสระ ก็จะปล่อยให้เขาเลือกทางเดินชีวิตเองว่าอนาคตจะกลับมาทำธุรกิจของครอบครัวหรืออยากเป็นศิลปิน
“ต่ายกับคุณทิมจะเหมือนกันคือ ชอบอ่านตำราและบทความเรื่องการเลี้ยงลูกแล้วนำมาปรับใช้ แม้มีพี่เลี้ยง แต่คุยกันแล้วว่าจะพยายามสอนให้เขาทำอะไรด้วยตัวเอง พิพิมจะถูกฝึกไม่ให้ติดพ่อแม่คนใดคนหนึ่งด้วยการแยกห้องนอน แม้คู่มือเลี้ยงลูกจะแนะนำให้นอนด้วยกัน แต่คุณทิมคิดว่าไม่เหมาะกับบ้านเรา เพราะเขาต้องตื่นแต่เช้าไปทำงาน ส่วนต่ายก็เปิดสปากึ่งคลินิกความงามชื่อ Le Blanc หากลูกมานอนด้วยแล้วเรานอนไม่หลับจะเสียสุขภาพจิตกันทั้งคู่ หงุดหงิดไปทั้งวัน ลูกมาเล่นด้วยก็อารมณ์ไม่ดีใส่ แต่หากก่อนนอนไปส่งเขา นอนด้วยกันจนเขาหลับ โดยที่เขามีพี่เลี้ยงนอนด้วย พ่อแม่ก็ได้นอนเต็มอิ่ม ตื่นเช้ามาเจอลูกด้วยอารมณ์สดใสดีกว่า รวมถึงตุ๊กตาตัวเก่ง เราก็ฝึกให้เขาสามารถมีตัวอื่นแทนได้หรือดูทีวี บางครอบครัวห้ามเลย หากยังไม่ถึง 4 ขวบห้ามดู อย่างนั้นก็สุดโต่งไป พิพิมดูได้ แต่จะตกลงกันก่อนว่าดูได้ตอนเดียว แต่มือถือยังไม่ให้เล่น เพราะมีผลการวิจัยว่า ติดเร็วกว่ายาเสพติดอีก”
คุณทิมเสริมว่า “ผมยอมรับว่า เงินทอง ทรัพย์สินมีความจำเป็นต่อชีวิต แต่หากสามารถมีความสุขได้โดยไม่มีเงินมาเกี่ยวข้องจึงจะเรียกว่าเป็นเศรษฐีที่แท้จริง เพราะฉะนั้นพิพิมถูกฝึกให้ขึ้นสุดและลงสุดเป็นสามารถทานอาหารข้างทาง ขณะเดียวกันก็ทานร้านอาหารฝรั่งเศสหรูๆ ได้ ที่สุดแล้วเขาจะเลือกเองว่าชอบแบบไหน
“ตั้งแต่มีลูก พิพิมทำให้ผมรู้ว่าความสุขที่หาไม่ได้จากที่อื่นเป็นอย่างไรขณะที่เราสอนเขา เขาก็สอนเราด้วย แค่คิดถึงภาพที่เขากินแอ๊ปเปิ้ลครั้งแรก ทำให้ผมลืมอดีตหรือความรู้สึกผิดที่ยังแก้ไขไม่ได้ ลืมอนาคต ซึ่งก็คือความกลัวที่ยังมาไม่ถึง เพราะเรามีชีวิตมากว่า 30 ปี หลงเพลินอยู่กับภาพมายาจนลืมสิ่งที่เรียบง่าย ลืมความไร้เดียงสาไป”
ที่มาและภาพ : นิตยสาร แพรว ปี 2561 ฉบับที่ 921 (10 ม.ค. 61) หน้า 130-138
ภาพ IG : tim_pita , tye_chutima