บททดสอบธุรกิจยักษ์ใหญ่จากพ่อสู่ลูก “อัยยวัฒน์ ศรีวัฒนประภา” ทายาทคิง เพาเวอร์

Alternative Textaccount_circle

มีบรรยากาศแบบนั้นหรือ
ชัดเลยละ ใช้คำว่าเหลิงก็ได้ เกิดความคิดว่าเราเก่ง เป็นแชมป์เก่า ผมจึงส่งข้อความเป็นนโยบายถึงทุกคนในสโมสรว่า ถ้าใครพูดเรื่องเป็นแชมป์เก่าอีก ผมจะปรับเงิน เลิกคิดเถอะ มันจบแล้ว ผมไม่ต้องการบรรยากาศนั้น ไม่มีเหตุผลที่ต้องพูดถึงเรื่องนั้น ให้คิดว่าเราเป็น Underdog หรือทีมรองบ่อนเหมือนเดิม แล้วสนุกกับการเล่นฟุตบอลดีกว่า

แต่ตอนนี้ผมไม่ได้อยู่ที่อังกฤษมากเท่าเดิมแล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 ที่คุณพ่อเปลี่ยนโครงสร้างของคิง เพาเวอร์ เพื่อหาซีอีโอมารับหน้าที่บริหาร ซึ่งพี่น้องของผมทุกคนบอกว่า ให้ผมรับตำแหน่งนี้ เนื่องจากรู้ใจคุณพ่อที่สุด ท่านจึงบอกว่า ถ้าอย่างนั้นให้ต๊อบเป็นซีอีโอ แต่ถ้าทำได้ไม่ดีก็เปลี่ยน ซึ่งผมเห็นด้วยนะครับ ถ้าทำไม่ได้ก็ให้พี่ๆ ขึ้นมาแทนเลย เราสนิทกันมาก ไม่มีปัญหาอะไรแน่นอน เพราะฉะนั้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ผมจึงกลับเข้ามาทำงานที่เมืองไทยมากขึ้น

ตารางงานของซีอีโอคนใหม่ยุ่งขนาดไหนครับ
ประชุมเยอะ ทุกแผนกอยากเจอซีอีโอกันหมด ผมทำงานตั้งแต่เช้าจนถึงดึกทุกวันตั้งแต่ต้นปีจนมาถึงตอนนี้ ปีหน้าอาจมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอีกก็ได้ เนื่องจากบริษัทเติบโตไวมาก เหมือนคนที่วิ่งด้วยความเร็วจนอาจลืมมองข้างหลังว่า พนักงานตามทันหรือเปล่า เข้าใจวิสัยทัศน์ของเจ้าของไหม เขาเข้าใจสิ่งที่ผมทำเหมือนที่เลสเตอร์เคยเข้าใจหรือเปล่า เพราะคิง เพาเวอร์มีขนาดใหญ่กว่าเลสเตอร์ที่มีพนักงานประมาณ 300 คน ขณะที่คิง เพาเวอร์ มี 10,000 คน

เรื่องที่ผมอยากพัฒนาคือ การสื่อสารภายในองค์กร ทั้งอีเมลหรือระบบโซเชียลมีเดีย เพื่อเป็นช่องทางให้ทุกคนในบริษัทตั้งแต่คนที่อยู่ล่างสุดก็สามารถส่งข้อความมาคุยกับผมได้ จะมีภาพของผมเข้าไปอยู่ในองค์กรมากขึ้นว่า ซีอีโอพูดว่าอะไร บริษัทจะเดินไปทางไหน

ทางที่คุณอัยยวัฒน์กำลังมุ่งหน้าไปคืออะไรครับ
เราอยากเป็นท็อปดิวตี้ฟรีในเอเชีย ถ้าพูดถึงเรื่องรายได้ ปี 2015 เราอยู่อันดับ 7 ของโลก ส่วนเกาหลีซึ่งเป็นที่ 1 ของเอเชียอยู่อันดับ 4 เป้าหมายของผมคือ การไปอยู่ตำแหน่งนั้นแทนเขา อย่างปีก่อน รายได้ของเราคือ 68,000 ล้านบาท ผมวางเป้าปีนี้ต้องให้ถึง 85,000 ล้านบาท ส่วนปีหน้าคือ 100,000 ล้านบาท พอผมวางวิสัยทัศน์ไว้ชัดแล้ว สิ่งที่ตามมาก็คือมิชชั่นที่ทุกคนต้องช่วยกัน

คุณวิชัยเคยให้สัมภาษณ์ถึงการเลี้ยงลูกว่าให้คิดและตัดสินใจเอง การเติบโตมาในบรรยากาศแบบนี้ส่งผลต่อความคิดและชีวิตอย่างไร
มีส่วนมากๆ ครับ คุณพ่อให้อิสระลูกทุกคนได้เลือกในสิ่งที่ต้องการ มีเรื่องเดียวที่ท่านเคยคิดบังคับคือ ไม่ให้ทำธุรกิจ คุณพ่อไม่อยากให้ลูกเดินบนถนนที่ท่านเองก็รู้ดีว่าเหนื่อยยากแค่ไหน แต่พวกเราไม่ยอม แม้แต่เรื่องเรียนคุณพ่อก็ไม่เคยบังคับ ท่านไม่คิดว่า การเรียนคือเส้นทางเดียวที่ทำให้ประสบความสำเร็จ คุณพ่อสอนเรื่องใหญ่ๆ 4 เรื่อง โดยสองเรื่องแรกที่ท่านให้ความสำคัญมากคือ ความกตัญญูต่อคนที่มีบุญคุณและตรงต่อเวลา ผมยังจำได้ว่า สมัยเด็กๆ คุณพ่อจะพาไปกินข้าวนอกบ้าน แต่ผมกับพี่สาวแต่งตัวช้า พอลงมาข้างล่าง ปรากฏว่าคุณพ่อขับรถออกไปแล้ว สองพี่น้องนั่งจ๋อย ทำอะไรไม่ถูกเลยนะ แต่ก็ถือเป็นบทเรียนครั้งสำคัญ ส่วนอีกสองเรื่องคือ เรียนรู้ให้เร็ว ถ้าทำงานก็ต้องจับประเด็นให้เร็วกว่าคนอื่น และสี่ ใช้คนให้ถูก เพราะถ้าใช้คนผิด งานจะไม่เดิน แต่ถ้าเลือกคนถูก ไม่ว่างานง่ายหรือยากจะทำได้หมด

ถ้าเก็บเรื่องงานลงกระเป๋า ผู้ชายคนนี้จะไปไหน หรือทำอะไร
คนมักคิดว่าผมทำงานเยอะ แต่จริงๆ ก็เที่ยวเยอะนะ (หัวเราะ) พอเลิกงานก็ไปกินข้าวกับเพื่อน กลับถึงบ้านเที่ยงคืน นอนตีหนึ่งแล้วตื่นแปดโมงเช้า โอเคว่าอาจไม่ได้เป็นแบบนั้นทุกวัน เพราะหลังจากเลิกงานที่คิง เพาเวอร์ ผมจะสแตนด์บายโทรศัพท์กับอีเมลจากทางเลสเตอร์ตอน 4 – 5 ทุ่ม เพราะเป็นเวลาที่ออฟฟิศที่นั่นทำงาน ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็นอนประมาณตีหนึ่ง แต่ถ้ามีอย่างช่วงซื้อขายนักเตะตอนต้นฤดูกาล มีสองวันที่ผมนอนตีห้า แล้วตื่นแปดโมงเช้ามาประชุมบอร์ดแต่สำหรับเสาร์อาทิตย์คือ พักเต็มที่ ดูหนัง ฟังเพลง เที่ยวกลางคืน เล่นกีฬา สำหรับผม งานคืองาน ถ้าตอนนั้นเพื่อนอยากเจอจะปฏิเสธ แต่ถ้ามีเวลาพักก็จะหยุด ชีวิตเกิดมาครั้งเดียว ถ้าไม่เอ็นจอยกับสิ่งที่ทำ ผมว่าตายดีกว่า เพียงแต่ผมไม่สามารถไปเที่ยวทะเลแบบ 5 – 7 วันได้ อย่างมากก็ 2 วัน แต่ผมก็มีความสุขนะ

คุณวิชัยเคยพูดว่าถ้าจะทำอะไรต้องมีความสุข ฉะนั้นแพงถูกไม่ใช่เหตุผล เหตุผลคือความชอบ แล้วคุณอัยยวัฒน์
ล่ะครับ
ผมเอ็นจอยกับสิ่งที่หามาได้ แต่ก็ใช้เงินแบบมีลิมิต ไม่ได้ซื้อแต่ของแพง ผมยังขี้เหนียวอยู่ ขนาดซื้อนักฟุตบอลเข้าทีมยังซื้อในราคาที่ไม่แพงมาก ที่หมดเงินเยอะหน่อยคือเรื่องกินกับแก็ดเจ็ต หรือถ้าเป็นของใช้ราคาแพงก็มีนาฬิกาบ้าง

สำหรับผู้ชายที่อายุ 31 ปี ถือว่าได้ทำอะไรมากกว่าคนวัยเดียวกันเลยนะครับ
ผมก็ว่าอย่างนั้นแหละ ไม่รู้ว่าคนอายุ 31 จะเจอประสบการณ์เหมือนผมไหม สำหรับงานที่เลสเตอร์ซิตี้ ผมภูมิใจที่ทำได้ งานนี้เหมือน
ลูกชายเราจบปริญญาเอก แต่เป็นเพียงบทพิสูจน์ว่า ผมทำสิ่งที่ชอบได้ ส่วนบทบาทซีอีโอที่คิง เพาเวอร์ คือของจริง นี่คือธุรกิจหลักที่ต้องทำให้ดี อาจไม่ดีเท่าที่คุณพ่อทำ แต่ควรดีในระดับหนึ่ง เพราะมีงานยากๆ ที่ต้องรับผิดชอบ จึงต้องดีดตัวเองให้เก่งขึ้น ผมยังเด็ก และเชื่อว่ายังพัฒนาได้อีก


ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 891 คอลัมน์ SPEAK OUT หน้า 174 – 181
(เรื่อง : ปารัณ เจียมจิตต์ตรง, ภาพ : กฤตธี ผ่องเสรี, ผู้ช่วยช่างภาพ : ฐปนพล ไชยพยอม, สไตลิสต์ : RHOY)

 

 

 

Praew Recommend

keyboard_arrow_up