ใต้ร่มฉัตร เปิดเรื่องราวชีวประวัติ หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์ ชีวิตที่แปรเปลี่ยน (ตอนที่9)
ใต้ร่มฉัตร

ใต้ร่มฉัตร เปิดเรื่องราวชีวประวัติ หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์ ชีวิตที่แปรเปลี่ยน (ตอนที่ 9)

ใต้ร่มฉัตร
ใต้ร่มฉัตร

 

ใต้ร่มฉัตร…ชีวิตที่แปรเปลี่ยน (ตอนที่ 9)

ใต้ร่มฉัตร ตอนนี้พูดถึงการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในปี พ.ศ.2475 ที่สร้างความผันผวนอย่างมากมาย อันส่งผลกระทบกับอย่างรุนแรงกับเหล่าเชื้อพระวงศ์ รวมถึงพระชะตาชีวิตของหม่อมการวิก จักรพันธุ์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ 

ผมนึกย้อนไปถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2476 (นับศกอย่างเก่า) ณ ท่าราชวรดิฐ และพยายามสร้างจินตภาพของเรือยนต์พระที่นั่ง ‘ศรวรุณ’ ที่ทอดลำอยู่เหนือแผ่นน้ำเจ้าพระยา เพื่อรอรับการเสด็จพระราชดำเนินของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ลงประทับก่อนจะเคลื่อนออกจากแผ่นดิน

ในหลวงรัชกาลที่ 7 ทรงพระอักษรด้วยแว่นขยาย

ครั้นถึงเวลาตามหมายกำหนดการทั้งสองพระองค์จึงเสด็จฯลง ระวางเรือราชพาหนะถูกขับเคลื่อนห่างจากท่าอย่างช้าๆ ท่ามกลางสายตาของคณะรัฐบาล ข้าราชการ พลเรือน ตลอดจนทูตานุทูตต่างประเทศ และเหล่าพสกนิกรที่เฝ้าฯส่งเสด็จอย่างคับคั่ง หากในใจของพวกเขาเหล่านั้นคงไม่นึกคิดว่า การเสด็จพระราชดำเนินในวันนั้นจะเป็นการเสด็จฯอำลาจากเมืองไทยขององค์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯอย่างชั่วนิรันดร์

ข่าวในหลวงรัชกาลที่ 7 ทรงสละราชสมบัติ

แม้จะมีข่าวเล่าลือกันในตอนนั้นว่า พระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริที่ขัดแย้งกับคณะรัฐบาลของพระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) และสภาผู้แทนราษฎรทางด้านการเมืองการปกครองในหลายๆประการ ทั้งที่ทรงสนับสนุนและให้คำแนะนำบรรดา ‘คณะราษฎร’ ที่ลุกขึ้นมาก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475 อย่างเต็มที่แล้วก็ตาม…ที่สุดทรงตัดสินพระราชหฤทัยที่จะเสด็จฯไปรับการถวายการรักษาพระเนตรข้างขวาที่ประชวรต้อกระจกที่อังกฤษหลังจากที่เคยเสด็จฯไปรับการถวายการผ่าตัดพระเนตรข้างซ้ายที่สหรัฐอเมริกามาแล้วเมื่อ พ.ศ. 2474 พร้อมกันนี้มีพระราชประสงค์ที่จะเสด็จฯเยือนเพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับบรรดามิตรประเทศในยุโรปด้วย

หากเบื้องลึกของการตัดสินพระราชหฤทัยเสด็จฯออกนอกประเทศครั้งนั้น เหล่าผู้มีอำนาจคงจะทราบถึงนัยแห่งความหมายนี้…

 

สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ กับพระธิดา ประทับที่ปีนัง
สมเด็จกรมพระนครสวรรค์ฯ กับพระธิดาสองพระองค์ ประทับที่บันดุง

ระหว่างที่พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีเสด็จฯออกจากเมืองไทยแล้ว ทั้งสองพระองค์ได้ทรงนัดหมายกับบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่หลายพระองค์ และพระประยูรญาติหลายองค์ ที่จำต้องเสด็จลี้ภัยการเมืองมาประทับในแถบประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต ประทับที่บันดุง เกาะชวา สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ และสมเด็จกรมพระสวัสดิวัตนวิศิษฎ์ ประทับที่เกาะปีนัง กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธินประทับที่เกาะสิงคโปร์ ฯลฯ สถานที่ทรงนัดคือ เมืองเมดาน เกาะสุมาตรา (ประเทศอินโดนีเซีย) และประทับอยู่ราว 3 วันจึงเสด็จฯลงเรือ ‘เมโอเนีย’ ของบริษัทอีสต์เอเชียติก ที่จัดถวายเป็นเรือพระที่นั่งนำเสด็จฯสู่ทวีปยุโรป

เรือพระที่นั่งนำเสด็จถึงเมืองมาร์เซลย์ ฝรั่งเศส อันเป็นจุดหมายปลายทางในราวเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2476 (นับศกอย่างเก่า) ซึ่งผมมีโอกาสเข้าเฝ้าฯทั้งสองพระองค์ด้วยความดีใจเป็นที่สุดอีกครั้งหนึ่ง นับตั้งแต่ครั้งที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ผมตามเสด็จที่สหรัฐอเมริกาเมื่อปี พ.ศ. 2474

จากนั้นทั้งสองพระองค์ได้ทรงปฏิบัติพระราชภารกิจเยือนมิตรประเทศต่างๆอย่างเป็นทางการในฐานะแขกเมือง (STATE VISIT) อาทิ เดนมาร์ก ฮอลันดา เบลเยี่ยม เยอรมนี เชโกสโลวะเกีย ฮังการี ออสเตรีย และอิตาลี ผู้ตามเสด็จในคราวนั้นประกอบด้วย กรมหมื่นเทววงศ์วโรทัย (พระองค์เจ้าไตรทศประพันธ์) เสนาบดีกระทรวงการต่างประเทศ หม่อมเจ้าประสบศรี จิรประวัติ ราชองครักษ์ พลเรือตรี หม่อมเจ้าถาวรมงคลวงศ์ ไชยันต์ นายแพทย์ประจำพระองค์ และหม่อมครอง ไชยันต์ ณ อยุธยา นางสนองพระโอษฐ์ หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน์ และหม่อมเสมอ สวัสดิวัตน์ ณ อยุธยา พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช หม่อมราชวงศ์สมัครสมาน กฤดากร ผู้ช่วยราชเลขานุการ พระยาวิชิตวงศ์วุฒิไกร สมุหราชองครักษ์และเลขานุการในขบวนเสด็จฯ หลวงดำรงดุสิตเรข ผู้ช่วยราชเลขานุการ หลวงศิริสมบัติ (พุ่ม โชติกะพุกกะณะ) เจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน และนายรองสนิท โชติกเสถียร ในช่วงหลังของหมายกำหนดการตรงกับเวลาที่โรงเรียนปิดเทอม ผมจึงมีโอกาสตามเสด็จด้วย

เมื่อเสด็จประพาสตามหมายกำหนดการเสร็จสิ้นแล้ว จึงเสด็จฯยังกรุงลอนดอน ซึ่งทรงใช้เป็นที่แปรพระราชฐานและรักษาพระองค์ โดยทางกระทรวงวังได้เช่าคฤหาสน์โนล (KNOWLE) ณ ตำบลแครนลีห์ (CRANLEIGH) ใกล้ GUILFORD, SURREY ซึ่งเป็นบ้านมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษของนายทหารนอกราชการคนหนึ่งของอังกฤษ เป็นตึกใหญ่สีเทาๆ กว้างขวางแบบบาโร้ค (BAROQUE) อยู่ห่างจากลอนดอนไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ 35 ไมล์ไว้เป็นที่ประทับ

พระตำหนักโนล

ช่วงเวลาหลายเดือนระหว่างที่ประทับ ณ คฤหาสน์นี้ พระเจ้าอยู่หัวทรงมีข้อราชการติดต่อกับทางรัฐบาล โดยผ่านทางผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน (สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์) มาตลอด แต่ไม่อาจบรรลุข้อตกลงใดๆได้ เกิดความขัดแย้งต่างๆนานา ด้วยพระราชปณิธานนั้นทรงปรารถนาให้ประชาชนได้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์ แต่รูปการกลายเป็นว่า อำนาจการปกครองที่พระราชทานนั้นกำลังจะตกไปอยู่กับคณะผู้ที่มีอิทธิพลในขณะนั้น จึงมีพระราชดำริที่จะสละราชสมบัติ (รายละเอียดความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ผมมาศึกษาเอาทีหลังและไม่ขอเล่าในที่นี้ เพราะจะยืดยาวเกินไป) ทางรัฐบาลจึงส่งคณะผู้แทนประกอบด้วยเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ (จิตร ณ สงขลา) ประธานสภาผู้แทนราษฎร หลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ (พลเรือตรี ถวัลย์ ธารีสวัสดิ์) เลขาธิการคณะรัฐมนตรี และนายดิเรก ชัยนาม เดินทางมาเข้าเฝ้าฯเพื่อกราบบังคมทูลอัญเชิญเสด็จฯกลับเมืองไทย แต่พระเจ้าอยู่หัวทรงเตรียมพระราชบันทึกที่แสดงถึงพระราชประสงค์ต่างๆที่มีต่อรัฐบาล เป็นการเจรจาผ่านทางคณะผู้แทนมายังเมืองไทย เมื่อสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาพระราชบันทึกทั้งหมดแล้วลงมติคัดค้าน และไม่สามารถสนองพระราชประสงค์ได้ ผลที่สุดคือ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงตัดสินพระราชหฤทัยสละราชสมบัติ เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2477 นับเป็นวันสิ้นรัชกาลแห่งพระมหากษัตริย์ ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์พระองค์สุดท้าย และพระองค์แรกในระบอบประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์

ต่อมาทางรัฐบาลและสภาผู้แทนฯได้พิจารณาลงมติอัญเชิญพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ขึ้นเป็นพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่ เพื่อทรงราชย์สืบราชสันตติวงศ์ต่อไป

ในหลวงรัชกาลที่ 8 ทรงขึ้นครองราชย์

หลังจากที่ทรงสละราชสมบัติแล้ว พระองค์ท่านยังคงประทับ ณ พระตำหนักโนลต่อไป ส่วนข้าราชบริพารที่ตามเสด็จก็ได้รับคำสั่งจากกรุงเทพฯให้กลับเมืองไทยเพราะหมดหน้าที่แล้ว รัฐบาลก็ได้ยุบกระทรวงวังลงเป็นสำนักพระราชวัง เป็นอันว่าเหลือเพียงหม่อมราชวงศ์สมัครสมาน กฤดากร และนายรองสนิท โชติกเสถียร ที่ยังคงอยู่ต่อไป นอกเหนือไปจากหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ และหม่อมเสมอ ซึ่งตามเสด็จตั้งแต่ออกจากเมืองไทย และพระองค์เจ้าจิรศักดิ์ฯ กับพี่ต๊ะ-อัชฌา จักรพันธุ์ ซึ่งทรงย้ายมาจากสหรัฐอเมริกา

ในเวลาต่อมา พระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริที่จะแปรพระราชฐานจากพระตำหนักโนล เพราะมีพระราชประสงค์ที่จะประทับในที่อากาศดีกว่า เพราะพระตำหนักนี้เป็นตึกใหญ่มีลักษณะทึบ ไม่ค่อยเหมาะกับพระอนามัย ประกอบกับค่าเช่าอยู่ในเกณฑ์สูงมาก ทรงจำเป็นที่จะต้องลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้ลง และทรงหวังที่จะใช้เวลาพักผ่อนอย่างเต็มที่ด้วย

 

ในที่สุดก็ได้บ้านหลังหนึ่ง รูปทรงทันสมัยขนาดกว้างขวาง ที่ตำบลเวอร์จิเนียวอเตอร์ (VERGINIA WATER) ห่างจากตำบลแครนลีห์ลงไปทางใต้อีก พระองค์เสด็จฯมาประทับยังพระตำหนักใหม่พร้อมสมเด็จพระบรมราชินีและข้าราชการบริพารที่ยังเหลืออยู่ โดยเหตุที่บ้านส่วนใหญ่ในตำบลนี้มักจะมีชื่อ GLEN ซึ่งมีความหมายถึงหุบเขานำหน้ากัน พระองค์ท่านจึงพระราชทานนามตำหนักใหม่นี้ ด้วยพระราชอารมณ์ขันว่า ‘GLEN PAMMANT’ ในภาษาอังกฤษไม่มีความหมายอะไร ทว่าความหมายที่ลึกซึ้งอยู่ที่การกลับตัวอักษรจำนวนนั้นเสียใหม่เป็น ‘TAM PLENG MAN’ อ่านเป็นภาษาไทยว่า ‘ตามเพลงมัน’ อันหมายถึงว่า แล้วแต่อะไรจะเกิดขึ้น แสดงถึงการทอดพระอาลัยในเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นกับพระองค์ท่าน

พระตำหนักเกลน พัมมันต์

การที่ไม่ทรงใช้นามอย่างไพเราะ ดี หรู เช่น ไม่มีกังวล ภาษาฝรั่งเศสว่า ซองส์ ซูซีส์ (SANS SOUCIS) อย่างพระราชวังไกลกังวลนั้น รับสั่งว่า พอเกิดเรื่องขึ้นมา เดี๋ยวก็ถูกยึด…

 

 

Praew Recommend

keyboard_arrow_up