BOYY Salone Cover

FOS , OK-RM ร่วมกันออกแบบสร้างสรรค์สินค้า BOYY

BOYY Salone Cover
BOYY Salone Cover

Via Bagutta เป็นถนนลาดยาวปูพื้นหินในย่านที่ชื่อ Quadrilatero della Moda “จตุรัสทองคำแห่งแฟชั่น” ที่เปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงหัวใจ ของการช้อปปิ้งในเมืองมิลานมาตั้งแต่ยุคแรกเริ่ม หากคุณลองมองเข้าไปในร้านต่างๆ คุณจะได้เห็นตู้โชว์หรูหราประกอบจากไม้โร้สวูดราคาแพง และลิ้นชักที่เปิดปิดอย่างไร้ซุ่มเสียง เผยให้เห็นเสื้อผ้าอาภรณ์ที่ผลิตจากวัสดุคุณภาพระดับโลกมากมายที่ถูกวางโชว์ภายใต้แสงไฟสลัว คุณจะได้เห็นภาพเหล่านี้รายล้อมตลอดสองข้างทาง จนกระทั่งสองเท้าพาคุณมาหยุดที่ เลขที่ ๙ ถนน Via Bagutta และสิ่งแรกที่คุณจะได้เห็นคือผลงานเซรามิครูปมือขนาดใหญ่ที่กำลังทำสัญลักษณ์ “เท่านี้” เมื่อเห็นดังนั้นคุณอาจนึกสงสัยได้ว่า “เท่านี้” นั้น คือเท่าไหนกันแน่?

FOS , OK-RM ร่วมกันออกแบบสร้างสรรค์สินค้า BOYY

มือเซรามิคขนาดใหญ่นี้คือจุดแบ่งพื้นที่ของ B O Y Y ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เราตั้งคำถามและมอบคุณค่าใหม่ให้กับสิ่งที่เรียกว่า ‘ลักชูรี’ ผู้สร้างสรรค์พื้นที่นี้คือศิลปิน FOS ซึ่งได้ให้ความเห็นไว้ว่า “หากเราคิดถึงร้านค้า มันก็เป็นเหมือนกรวยที่ดิ่งลึกลง การออกแบบทั้งหมดจะชี้ไปสู่ตัวสินค้า เมื่อคุณมาที่นี่ ในพื้นที่นี้ คุณจะพบว่าหนึ่งในส่วนสำคัญของที่นี่ก็คือตัวสินค้าเอง” เจสซี ดอร์ซี หนึ่งในผู้ก่อตั้งแบรนด์ร่วมกับคุณ วรรณศิริ คงมั่น ได้กล่าวไว้ว่า “ผู้คนเดินเข้าร้านเรามา และพวกเขาไม่แน่ใจว่า ที่นี่คืออาร์ตแกลเลอรี่ หรือว่าเป็นร้านที่ซื้อของได้กันแน่ เราอยากให้ผู้คนที่เข้ามาอยู่ในช่วงจังหวะของความพิศวง เราต้องการสร้างแซนด์บ็อกซ์ ที่เป็นพื้นที่ของ B O Y Y เท่านั้น”

ภายในพื้นที่นี้คุณจะได้พบกับการทดลองเล่นกับสัดส่วนและน้ำหนักต่างๆ คุณจะได้เห็นกระเป๋า BOYY ใบหนึ่งห้อยไว้อย่างหมิ่นเหม่บนไม้แขวนอีกด้านถ่วงน้ำหนักด้วยถุงพลาสติกที่ใส่หัวหอมเอาไว้ การร่วมมือกับศิลปินชื่อดังครั้งนี้ได้ถูกบันทึกผ่านหนังสือภาพโดย OK-RM ดีไซน์สตูดิโอมากฝีมือจากลอนดอน “เราเลือกซูมภาพหัวหอมในถุงพลาสติกนั้นและนำมาวางไว้ข้างภาพของสินค้า BOYY เพื่อมอบความหมายของความสัมพันธ์แบบใหม่” โอลิเวอร์ ไนท์ หนึ่งในเจ้าของดีไซน์สตูดิโอแห่งนี้กล่าว “โปรเจ็คต์การสร้างหนังสือเล่มนี้เป็นเหมือนกับดักแด้ที่ห่อหุ้มไอเดียสร้างสรรค์เอาไว้” รอรี่ แม็คกราธ อีกหนึ่งผู้ก่อตั้งของ OK-RM กล่าว ซึ่งหนังสือเล่มนี้เองที่จะเป็นตัวชูโรงในอีเวนท์ที่กำลังจะจัดขึ้น ณ Salone del Mobile Milano เทศกาลดีไซน์ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีที่เมืองมิลาน

ในพื้นที่นี้คุณจะได้เห็นคอนเซปต์ของ “ลักชูรี” ที่ได้สร้างสรรค์และสืบทอดกันไว้อย่างยาวนาน ถูกทำให้บิดเบี้ยว ทั้งด้วยตาเห็นผ่านกระจกบิดเบือนตามสวนสนุกที่ถูกติดตั้งอยู่ในร้าน และด้วยวิธีที่ละเอียดอ่อนกว่านั้น พื้นพรมถูกพิมพ์ด้วยภาพสิ่งของที่เรามักพกพาในกระเป๋าในสภาพถูกเทออกกระจัดกระจาย ไม่ว่าจะเป็นแว่นขยายอันจิ๋ว ลิปสติก หรือหวีพก เมื่อถ่ายภาพดูแล้วภาพสิ่งของบนพื้นดูเหนือจริงจนราวกับใช้คอมพิวเตอร์กราฟิกสร้างขึ้นมา เส้นแบ่งระหว่างความจริงที่ดูคลุมเครือเหล่านี้ทำให้เราตั้งคำถามเกี่ยวกับการผันเปลี่ยนตัวตนให้เป็นสินค้า ที่ FOS ได้ให้ความเห็นว่า “นี่หมายถึงชีวิตร่วมสมัย เป็นการตั้งคำถามว่าทำไมเราถึงมีภาพจำในหัวว่าอะไรคือสิ่งที่แพง” โดย OK-RM สะท้อนการปั่นชั้นความคิดหลายขั้นตอนนี้ในตัวเล่มหนังสือด้วยเช่นกัน ไนท์ได้อธิบายว่า “เราใช้เทคนิค Digital Warping หลากหลายแบบด้วยกันเพื่อสร้างความซับซ้อนในการบิดเบือนไปอีกขั้น เช่น เราใช้ Blurring Tools และเขียนตัวอักษรด้วยคำสั่ง Smudge มันมีความเป็นดิจิทัลมากๆ มีการอิมโพรไวซ์เยอะมาก” แม็คกราธเสริมว่า “ท้ายสุดแล้วความไม่ลงรอยกันทั้งหมดนี้ได้สร้างความสวยงามในแบบฉบับของตัวเองออกมา”

โดยปกติแล้ว ร้านค้าระดับไฮเอนด์มักจะมีความนิ่งสงบและความถาวร ในทางกลับกัน พื้นที่ของ BOYY เลือกที่จะโอบรับความไม่จีรังเอาไว้แทน การกลับมาของ FOS ในรูปแบบที่สอง ครั้งนี้ สีของพื้นที่ได้ถูกสลับทั้งหมดเสมือนทำในโปรแกรม Photoshop ผนังที่หุ้มด้วยผ้าสีชมพูกลายเป็นสีน้ำเงิน ส่วนพรมที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นสีน้ำเงินกลับเป็นสีชมพูแทน เจสซี ดอร์ซีกล่าวไว้ว่า “มันกำลังกลายเป็นสิ่งถาวรในแบบเรียลไทม์” นี่เป็นการเปิดรับช่วงเวลาที่ยืดหยุ่นในขณะนี้ พื้นที่แห่งนี้กำลังค่อยๆเติบโตเป็นตัวของตัวเองในสภาพแวดล้อม แทนที่จะถูกสร้างขึ้นมาอย่างเสร็จสมบูรณ์

และด้วยเหตุนี้ พื้นที่แห่งความสัมพันธ์ที่เกิดจากการร่วมมือกันในครั้งนี้ได้สร้างแรงขับเคลื่อนทางความคิดสร้างสรรค์ขึ้นมา ไนท์ได้เปรียบเทียบโปรเจ็คต์ในครั้งนี้กับสิ่งที่เรียกว่า “Palimpsest” ม้วนตำราโบราณที่ถูกเขียนแล้วเขียนอีก เกิดเป็นพื้นที่ทับซ้อนทางความคิด McGrath กล่าวว่า “ความคิดได้กลายเป็นการกระทำ เหมือนกับคำกริยา คุณสามารถค้นหาการตีความใหม่ ๆ ได้อย่างไร้สิ้นจุดจบ” เจสซี ดอร์ซี ได้กล่าวว่าการทำงานร่วมกันครั้งนี้ทำให้เขาและวรรณศิริ คงมั่น “ได้รับการอัดฉีดพลังงานสร้างสรรค์อย่างมหาศาล”

Praew Recommend

keyboard_arrow_up