เช็คอาการและความต่างระหว่าง 'สมองเมาแผ่นดินไหว' และ 'สมองหลอนแผ่นดินไหว'
เช็คอาการและความต่างระหว่าง 'สมองเมาแผ่นดินไหว' และ 'สมองหลอนแผ่นดินไหว'

เช็คอาการและความต่างระหว่าง ‘สมองเมาแผ่นดินไหว’ และ ‘สมองหลอนแผ่นดินไหว’

Alternative Textaccount_circle
เช็คอาการและความต่างระหว่าง 'สมองเมาแผ่นดินไหว' และ 'สมองหลอนแผ่นดินไหว'
เช็คอาการและความต่างระหว่าง 'สมองเมาแผ่นดินไหว' และ 'สมองหลอนแผ่นดินไหว'

เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่ผ่านมา ขณะเกิดเหตุหลายคนหลงคิดว่าตัวเองหน้ามืด ตาลาย เวียนหัวเหมือนบ้านหมุน เพราะทำงานหนัก ไม่มีใครคิดว่าแผ่นดินไหวเลย นั่นเพราะไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าวันหนึ่งจะประสบพบเจอแผ่นดินไหวในประเทศไทย ซึ่งหลังจากเหตุแผ่นดินไหวสงบ นอกจากความตื่นตระหนก และวิตกกังวลที่เกิดขึ้นกับคนทั่วไปแล้ว ข้าวของและสิ่งก่อสร้างบางที่ก็ได้รับความเสียหาย รวมถึงมีอาการตอบสนองต่อร่างกายยังไม่จบเป็นอาการต่อเนื่องด้วย ซึ่งกลุ่มอาการต่อไปนี้ที่ญี่ปุ่นอาจเป็นเรื่องปกติในการรับมือเพราะเกิดแผ่นดินไหวบ่อย แต่ในไทยที่เพิ่งเกิดเหตุแบบนี้ครั้งแรก ก็ต้องเตรียมการรับมือไว้ ในการสังเกตตัวเองว่าจะมีอาการอะไรบ้าง ที่อาจเกิดต่อร่างกาย จิตใจหลังแผ่นดินไหว

เช็คอาการและความต่างระหว่าง ‘สมองเมาแผ่นดินไหว’ และ ‘สมองหลอนแผ่นดินไหว’

คนจำนวนไม่น้อยที่ยังคงมีอาการเวียนหัว โยกคลอน ใจสั่น ถึงแม้เหตุการณ์จะผ่านไปแล้ว สาเหตุหลักมาจาก โรคสมองเมาแผ่นดินไหว (Earthquake Drunk) กลุ่มอาการวิงเวียนหลังแผ่นดินไหว หรือ Post-Earthquake Dizziness Syndrome หรือ PEDS) ที่จะรู้สึกเหมือนยังคงเคลื่อนไหวอยู่ คล้ายกับความโคลงเคลงที่รู้สึกหลังจากลงจากเรือ ซึ่งบางครั้งเรียกว่า “อาการป่วยจากแผ่นดินไหว” หรือ “จิชิน-โยอิ” (แปลตรงตัวว่า “เมาแผ่นดินไหว” ในภาษาญี่ปุ่น) การศึกษาชี้ว่าอาการนี้อาจเกิดจากการรบกวนในระบบการทรงตัว (vestibular system) ซึ่งเป็นส่วนของหูชั้นในที่ควบคุมความสมดุล การเคลื่อนไหวที่ไม่คาดคิดจากแผ่นดินไหวสามารถทำให้ระบบนี้เสียสมดุล ส่งผลให้สมองพยายามปรับความรู้สึกให้กลับมาปกติอย่างยากลำบาก บางคนอาจมีอาการคลื่นไส้ เวียนศีรษะ หรือรู้สึกไม่สบายตัวร่วมด้วย และอาการนี้อาจรุนแรงขึ้นในคนที่ไวต่อการเมารถอยู่แล้ว หรือในคนที่อยู่ในอาคารสูงระหว่างเกิดแผ่นดินไหว ซึ่งการสั่นไหวจะรู้สึกชัดเจนกว่า

ระยะเวลาของอาการทางร่างกายเหล่านี้แตกต่างกันไป ในหลายคน อาการวิงเวียนจะค่อยๆ หายไปภายในไม่กี่นาทีหรือชั่วโมงเมื่อร่างกายปรับตัวได้ อย่างไรก็ตาม การวิจัยหลังแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ เช่น แผ่นดินไหวโทโฮกุในญี่ปุ่นปี 2011 (ขนาด 9.0) หรือแผ่นดินไหวคุมาโมโตะในปี 2016 พบว่าบางคนมีปัญหาการทรงตัวนานถึงหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน การศึกษาหนึ่งพบว่า มากกว่า 42% ของผู้ที่ถูกสำรวจรายงานถึง “ความรู้สึกโคลงเคลงที่เหมือนภาพลวงตา” ในช่วงหลายสัปดาห์หลังแผ่นดินไหวคุมาโมโตะ

ส่วนอาการของ “โรคสมองหลอนแผ่นดินไหว“ หรือ “แผ่นดินไหวทิพย์” “Earthquake illusion” เป็นปรากฏการณ์ทางจิตใจที่รู้สึกเหมือนมีแรงสั่นสะเทือนทั้งที่มันไม่ได้เกิดขึ้นจริง อาจเป็นเพราะความตื่นตัวที่สูงขึ้นหรือความทรงจำจากเหตุการณ์อาการทางจิตสั่นไหว แผ่นดินไหวสามารถกระตุ้นการตอบสนองต่อความเครียดเฉียบพลัน เช่น ความวิตกกังวล ความกลัว แพนิก บางคนนำไปสู่โรคเครียดหลังเหตุสะเทือนใจ (PTSD) ซึ่งมีอาการเช่น การย้อนนึกถึงเหตุการณ์ ความตื่นตัวเกินเหตุ หรือการนอนหลับยาก กลัวการอยู่ในตึก หรือการขึ้นรถไฟฟ้าไปเลย

สาเหตุของอาการเหล่านี้ซับซ้อน น่าจะเป็นเพราะสมองพยายามประมวลผลข้อมูลทางประสาทสัมผัสที่ขัดแย้งกัน เช่น ตาบอกว่าพื้นดินนิ่งแต่ระบบการทรงตัวบอกว่าเคลื่อนไหว จนเกิดการพุ่งขึ้นของคอร์ติซอล (ฮอร์โมนแห่งความเครียด) และอะดรีนาลีน (ฮอร์โมนแห่งความตื่ตตัว) ระหว่างและหลังเหตุการณ์สามารถเพิ่มความไวต่อความรู้สึกในร่างกาย ทำให้อาการวิงเวียนหรือคลื่นไส้รู้สึกหนักขึ้น

คนที่เป็นภาวะนี้มากได้แก่ คนมีโรควิตกกังวลหรือประวัติปวดไมเกรน ยังไม่มีวิธีรักษาเฉพาะสำหรับอาการหลังแผ่นดินไหว แต่สามารถใช้วิธีจากอาการเมารถและการจัดการความเครียดได้ การมองไปที่จุดไกลๆ (เช่น เส้นขอบฟ้า) การนอนลง หรือการจิบน้ำอาจช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนในระยะสั้นได้ สำหรับผลกระทบทางจิตใจ การพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์กับผู้อื่น จะช่วยระบายหรือหลีกเลี่ยงการดูสื่อเกี่ยวกับเหตุการณ์มากเกินไป รวมถึงอาจกินยาแก้เวียนได้ 2-3 วัน และถ้ามีอาการใจสั่นจิตตก ให้ลองทำสมาธิ ไม่เสพข่าวมาก หากมียาช่วยนอนหลับ สามารถกินได้ หลังจากนั้น หากยังคงแพนิคควรปรึกษาแพทย์

ภาพ: Pexels
ขอบคุณข้อมูล: ผศ. นพ.สุรัตน์ ตันประเวช หัวหน้าหน่วยประสาทวิทยา ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (official)


 

Praew Recommend

keyboard_arrow_up