สังเกตอาการ 'โรคหลอดเลือดสมอง' ตามหลักการ BEFAST รู้ไว ปลอดภัยกว่า
โรคหลอดเลือดสมอง

สังเกตอาการ ‘โรคหลอดเลือดสมอง’ ตามหลักการ BEFAST รู้ไว ปลอดภัยกว่า

Alternative Textaccount_circle
โรคหลอดเลือดสมอง
โรคหลอดเลือดสมอง

โรคหลอดเลือดสมอง (Acute Stroke) เป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 2 และพิการเป็นอันดับ 3 ของคนทั่วโลก แม้จากการสำรวจจะพบว่าโรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคที่ร้อยละ 80 ของผู้ที่มีความเสี่ยงและสามารถป้องกันได้ โดยพบว่าในปี 2563 มีประชากรโลกป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมองกว่า 80 ล้านคน มีผู้เสียชีวิตประมาณ 5.5 ล้านคน และพบผู้ป่วยใหม่เพิ่มขึ้นถึง 14.5 ล้านคนต่อปี 1 ใน 4 เป็นผู้ป่วยที่มีอายุ 25 ปีขึ้นไป ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้นมาก 

สำหรับข้อมูลในประเทศไทยในปี  2563 พบผู้ป่วยที่เป็น โรคหลอดเลือดสมอง มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไป และอัตราการเกิดโรคประมาณ 328 รายต่อประชากรหนึ่งแสนคน ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้น และตามมาด้วยภาวะทุพพลภาพเพิ่มขึ้นอย่างมาก โรคหลอดเลือดสมอง มักเกิดขึ้นเฉียบพลันถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีอาจถึงชีวิต หรืออาจจะต้องอยู่ในภาวะทุพพลภาพไปตลอดชีวิต ซึ่งทำให้เกิดความยากลำบากทั้งต่อตัวผู้ป่วยเองและผู้ดูแล

นพ.วัชรพงศ์ ชูศรี อายุรแพทย์สมองและระบบประสาท กล่าวว่า โรคหลอดเลือดสมอง เกิดจากหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมองเกิดตีบ อุดตัน หรือแตก ทำให้เกิดภาวะสมองขาดเลือดและเนื้อสมองถูกทำลาย ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคอ้วน ขาดการออกกำลังกาย บริโภคอาหารไม่เหมาะสม สูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 

ผลที่ตามมาหลังจากการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ได้แก่ ภาวะอ่อนแรงของร่างกายซีกใดซีกหนึ่งหรือทั้งสองข้าง ทำให้เกิดการพูดลำบาก กลืนลำบาก สำลักอาหารได้ง่าย ภาวะการรับรู้สติที่แย่ลงในโรคหลอดเลือดสมองทั้งตีบและแตกที่มีขนาดใหญ่ทำให้เกิดภาวะสมองบวมและเกิดภาวะแทรกซ้อนซึ่งอาจจะจำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดนอกเหนือจากการใช้ยา ซึ่งกลุ่มบุคคลหรือผู้ป่วยเหล่านี้ท้ายที่สุดอาจมีโอกาสเสียชีวิตหรือทุพทลภาพอย่างถาวรได้ 

โรคหลอดเลือดสมอง 1

โรคหลอดเลือดสมอง สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท

1.Ischemic Stroke เป็นภาวะหลอดเลือดสมองตีบตัน หรือ ภาวะสมองขาดเลือด พบได้ประมาณ 80% ของโรคหลอดเลือดสมอง มีสาเหตุมาจากการเสื่อมสภาพของหลอดเลือดจากการสะสมของคราบไขมัน หินปูน ที่ผนังหลอดเลือดชั้นในจนหนานูน แข็ง ขาดความยืดหยุ่น ทำให้ผนังหลอดเลือดด้านในค่อยๆ ตีบแคบลง ส่งผลให้ประสิทธิภาพของการลำเลียงเลือดลดลง หรืออาจเกิดจากลิ่มเลือดจากหัวใจ หรือการปริแตกของผนังหลอดเลือดหลุดมาอุดตันหลอดเลือดในสมอง 

2.Hemorrhagic Stroke เป็นภาวะหลอดเลือดสมองแตก หรือ ภาวะเลือดออกในสมอง ส่งผลให้เซลล์สมองได้รับบาดเจ็บจากการมีเลือดคั่งในเนื้อสมอง ทำให้เนื้อสมองตายมักพบในผู้ที่มีความดันโลหิตสูง ทำให้หลอดเลือดมีความเปราะและโป่งพอง นอกจากนี้ สาเหตุอื่นที่พบได้ เช่น ภาวะโป่งพองของหลอดเลือดสมอง ผู้ที่มีการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ เช่น โรคเลือด โรคตับ การรับประทานยาต้านการแข็งตัวของเลือด การได้รับสารพิษ การใช้สารเสพติด เป็นต้น 

3.Transient ischemic attack (TIA) เป็นภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว มีอาการคล้ายโรคสมองขาดเลือด แต่มีอาการชั่วคราวมักเป็นไม่เกิน 24 ชั่วโมง ประมาณ 15% ของผู้ป่วยที่มีอาการสมองขาดเลือดชั่วคราว จะมีภาวะโรคหลอดเลือดสมองตามมาจึงถือเป็นภาวะเร่งด่วนที่ต้องรีบส่งโรงพยาบาล เพราะมีโอกาสเสี่ยงที่จะทำให้เกิดอัมพฤกษ์ อัมพาตได้

โรคหลอดเลือดสมอง 2

แม้โรคหลอดเลือดสมองมักเกิดขึ้นเฉียบพลัน แต่ก็สามารถสังเกตอาการเตือนได้ตามหลักการ BEFAST รู้ไว ปลอดภัยจากโรคหลอดเลือดสมอง 

  • B : Balance : ทรงตัวไม่ได้ เวียนศีรษะ 
  • E : Eyes : ตามัวมองไม่เห็น เห็นภาพซ้อน 
  • F : Face : ปากเบี้ยว หน้าเบี้ยว ด้านใดด้านหนึ่ง 
  • A : Arm : แขนขาอ่อนแรง ด้านใดด้านหนึ่ง 
  • S : Speech : พูดติดขัด พูดไม่ชัด นึกคำพูดไม่ออก 
  • T : Time :  รีบไปโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด 

สิ่งที่ต้องเน้นย้ำและสำคัญอย่างมากเมื่อเกิดโรคหลอดเลือดสมองแล้ว คือ ความรวดเร็วในการเข้ารับการรักษา เมื่อเกิดอาการของโรคผู้ป่วยต้องได้รับยาละลายลิ่มเลือดภายใน 4.5 ชั่วโมง นับจากเริ่มมีอาการ หรือ Stroke Onset และกรณีที่จำเป็นต้องทำการใส่สายสวนเอาก้อนเลือดที่อุดตันออกจากเส้นเลือดสมอง (Endovascular) ภายใน 6 ชั่วโมง ซึ่งจะเห็นได้ว่า เวลาถือเป็นหัวใจสำคัญในการตัดสินความเป็นความตายในการรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้ ก่อนที่สมองจะเสียหายจากการขาดเลือด จึงนับว่าเป็นช่วงเวลาที่มีค่าที่สุดสำหรับผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง  

เพราะการป้องกันเป็นการรักษาโรคหลอดเลือดสมองที่ดีที่สุด ควรตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี ตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมระดับความดันโลหิต ไขมันและระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เลิกสูบบุหรี่ ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงอาหารหมักดอง อาหารรสจัด และอาหารที่มีไขมันสูง รับประทานผักและผลไม้ ควบคุมน้ำหนัก และออกกำลังกายสม่ำเสมอ พฤติกรรมเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงได้ 


ข้อมูล : นพ.วัชรพงศ์ ชูศรี อายุรแพทย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลกรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล
ภาพ : Pexels

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Praew Recommend

keyboard_arrow_up