เชื่อว่าคนส่วนใหญ่น่าจะเคยได้ยิน ได้ฟัง หรือได้อ่านประสบการณ์การต่อสู้กับโรคร้ายโน่นนี่นั่นไหนมาบ้างไม่มากก็น้อย และท่ามกลางการต่อสู้นั้น เราเชื่ออีกเช่นกันว่าคุณจะได้พบกับคำๆ หนึ่งที่เปรียบเสมือนพรวิเศษ ปัดเป่าโรคร้ายที่น่ากลัวต่างๆให้หมดสิ้นไป คำๆ นั้นก็คือ ‘กำลังใจ’
ลิสต์นี้เราเลยมีเรื่องราวความรักของพี่น้อง 2 คู่ เป็นพี่น้องที่ในยามปกติอาจรัก หรืองอน และมีเป้าหมายในชีวิตที่แตกต่างกัน แต่เมื่อวันหนึ่งโชคชะตาส่งสาส์นท้าทายที่ชื่อว่า มะเร็ง มาตรงหน้า สิ่งที่พวกเธอเลือกทำคือ ยิ้มรับและจับมือสู้ไปด้วยกัน
มะเร็งหนึ่งในล้าน อีกก้าวที่ต้องสู้ของเบลล์-บีม
หลังจากผ่านมรสุมชีวิตลูกใหญ่ ทั้งการสูญเสียคุณพ่อดี๋ ดอกมะดัน อดีตตลกชื่อดังของเมืองไทย และเป็นหนี้นับสิบล้านไปไม่กี่ปี แต่เหมือนชีวิตของสองพี่น้อง บีม-วรานิษฐ์ และเบลล์- ชยานิษฐ์ ยังต้องเจอกับบททดสอบอีกหลายด่าน และ ‘มะเร็งเนื้อเยื่ออ่อน’ ที่ทางการแพทย์บอกว่ามีโอกาสเกิดขึ้นแค่หนึ่งในล้านคนของเอเชียเท่านั้น ก็เป็นบททดสอบอีกเรื่อง
เรื่องเริ่มต้นตั้งแต่สมัยเบลล์เรียนประถม เธอสังเกตว่าตัวเองมีแผลฟกช้ำสีม่วง ขนาดประมาณหนึ่งข้อนิ้วก้อยตรงต้นแขนด้านซ้าย ลักษณะแผลค่อนข้างแปลก มีเส้นเลือดฝอยอยู่ในแผลด้วย ทุกครั้งที่ไปหาหมอผิวหนัง มักได้รับคำตอบว่า น่าจะเป็นความผิดปกติของเซลล์คล้ายกับปานจึงไม่คิดอะไร พอโตขึ้นแผลที่ว่ายังคงอยู่ เวลาใครเห็นมักจะถามว่า เป็นแผลอะไร เธอก็ได้แต่บอกว่าไม่รู้ เนื่องจากไม่มีอาการเจ็บปวดใดๆ
เบลล์ใช้ชีวิตที่มีแผลฟกช้ำอย่างนั้นจนเรียนจบและทำงาน กระทั่งสี่ปีที่แล้วเธอสังเกตว่าแผลมีขนาดใหญ่ขึ้น จากหนึ่งข้อ นิ้วก้อยกลายเป็นใหญ่เท่าข้อนิ้วโป้ง แม้จะไม่รู้สึกเจ็บปวด แต่รู้สึกคาใจว่าผิดปกติหรือเปล่า จึงนัดหมอผิวหนังที่รู้จักกันช่วยตรวจให้ หมอบอกว่าดูด้วยตาเปล่าไม่ได้ ต้องสะกิดเนื้อเยื่อไปตรวจในแล็บ “ตอนที่หมอเดินมาบอกผลตรวจ หน้าดูกังวลมาก จนเบลล์รู้สึกว่าต้องมีอะไรผิดปกติแน่นอน เขาใช้คำว่าเนื้อเยื่อชิ้นนี้เป็นเนื้อดุ เกินความสามารถที่เขาจะรักษาได้ ต้องส่งเคสของเบลล์ไปให้หมออีกท่านตรวจ”
ผลที่ออกมาทำเอาเธอแทบช็อคด้วยไม่ทันเตรียมใจไว้จริงๆ “คุณหมอบอกว่ามะเร็งที่เบลล์เป็นมีชื่อเรียกทางการแพทย์ว่า มะเร็งเนื้อเยื่ออ่อน ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นแค่หนึ่งในล้านคนของเอเชีย มะเร็งตัวนี้ร้ายมาก เพราะจะกินเนื้อดีของเราไปเรื่อยๆ และแม้แผลจะเท่านิ้วโป้ง แต่มีรากที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น หรือสแกนดูก็เห็นได้ไม่หมด เพราะฉะนั้นเวลาผ่าจะต้องผ่าลึกลงไปเป็นสิบเท่าของแผลโดยไม่เย็บแผลปิด ต้องเปิดไว้เพื่อคอยสะกิดตรงริมแผลดูว่า ยังมีเนื้อร้ายอีกหรือไม่ ปัญหาคือเนื้อบริเวณแขนมีไม่มาก เมื่อคว้านออกไปก็ต้องใช้เนื้อที่ต้นขามาโปะแทน ซึ่งเบลล์ฟังแล้วก็รู้สึกกลัวและกังวลมาก”
เธอตัดสินใจบอกข่าวร้ายให้แม่กับพี่สาวทราบ “ตอนที่ได้ยินว่าน้องเป็นมะเร็ง บีมตกใจมาก เพราะได้ชื่อว่าเป็นโรคร้าย แล้วเราก็ไม่รู้จักโรคที่ว่านี้เลยด้วย แต่ก็ยังพอใจชื้นขึ้นเมื่อคุณหมอบอกว่ามะเร็งชนิดนี้จะไม่ลุกลามไปที่อื่น”
ห้วงเวลานั้นแม้คนเป็นพี่จะห่วงน้องมาก แต่ก็ไม่ถึงกับทุกข์ท้อใจนักเพราะประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านเรื่องราวหนักๆ มาหลายครั้งได้กลายเป็นภูมิคุ้มกันชั้นดีจนเธอไม่ได้คิดว่าเจอปัญหาชีวิตอีกแล้ว แต่กลับว่ามองว่านี่คืออีกหนึ่งบททดสอบว่าครอบครัวเธอ จะเข้มแข็งพอที่จะหาทางผ่านไปได้หรือไม่ “บีมให้กำลังใจน้อง แม่ และตัวเองตลอดว่า เราต้องผ่านมันไปให้ได้ ดังนั้นเบลล์จึงมีกำลังใจดีตลอด”
หากนับความรักในครอบครัว การจับมือสู้ไปด้วยกันคือความดี ก็ถึงเวลาที่ความดีนี้ได้รับผลตอบแทนเสียที นั่นคือข่าวที่คุณหมอแจ้งว่าเธอไม่มีเนื้อร้ายอีกแล้ว และมีเปอร์เซ็นต์เพียงเล็กน้อยเท่านั้นที่จะกลับมาเป็นอีกครั้ง
“โชคดีที่เบลล์เป็นมะเร็งหลังจากที่บ้านไม่มีภาระเรื่องหนี้สินแล้ว คนภายนอกบางคนอาจมองว่าบ้านนี้ดราม่า ทั้งที่จริงแล้วบ้านเบลล์เข้มแข็งมาก ถ้ามีคนหนึ่งอ่อนแอ อีกคนจะเข้มแข็งทันที และจะไม่ร้องไห้ให้ใครเห็น อย่างตอนคุณพ่อป่วย เบลล์ร้องไห้แค่ครั้งเดียวแล้วก็สู้ใหม่ เพราะเศร้าไปก็ไม่ได้อะไร พอตัวเองเป็นมะเร็งจึงไม่ฟูมฟายนัก คงเพราะได้ภูมิคุ้มกันจากเรื่องพ่อดี๋และ เรื่องหนี้มาแล้ว ที่สำคัญเบลล์ไม่เคยคิดว่าทำไมเรื่องร้ายๆ ต้องเกิดกับครอบครัวเราด้วย แต่กลับรู้สึกขอบคุณทุกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เพราะทำให้เราเติบโตมากขึ้น และช่วยให้ผ่านช่วงเวลาเลวร้ายได้ง่ายกว่าคนอื่น”
อ่านต่อหน้า 2 : เมื่อ 2 พี่น้องศรัทธาทิพย์ผนึกกำลังสู้กับมะเร็ง