หมิง-สุวรา

เลิฟสตอรี่ หมิง-สุวรา & รัชกฤต วิศวผลบุญ รักแรกพบ หลงรักทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกัน

Alternative Textaccount_circle
หมิง-สุวรา
หมิง-สุวรา

เลิฟสตอรี่ของ หมิง-สุวรา & ฮิโระ-รัชกฤต คู่รักบุพเพสันนิวาสที่แม้จะมีเหตุให้เกือบต้องร้างไกล แต่เมื่อต่างฝ่ายต่างเป็นคนที่ใช่ทุกอย่างจึงลงตัว

“ความรัก” ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัวที่จะบ่งบอกว่าเมื่อสองคนพบกันแล้วจะเป็นจุดเริ่มต้นของความรัก  หรือจะเกิดสายสัมพันธ์ที่ยืนยาวเสมอไปเพราะมีแค่ว่าเมื่อใดที่เคมีของสองฝ่ายลงตัวจึงจะทำให้ทั้ง “เขา” และ“เธอ” ได้เป็นเหมือนดั่งเจ้าหญิงและเจ้าชายของกันและกัน เช่นเดียวกับคู่รักบุพเพสันนิวาสของ สุวรา สนิทวงศ์ณ อยุธยา & ฮิโระ-รัชกฤต วิศวผลบุญ ฝ่ายหญิงมาจากครอบครัวคนไทยขนานแท้  ฝ่ายชายเป็นหนุ่มลูกครึ่งไทย- ญี่ปุ่น  แม้จะมีเหตุให้เกือบต้องร้างไกล แต่เมื่อต่างฝ่ายต่างเป็นคนที่ “ใช่” ทุกอย่างจึงลงตัว

เลิฟสตอรี่ หมิง-สุวรา & รัชกฤต วิศวผลบุญ รักแรกพบ หลงรักทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกัน

หมิง-สุวรา

Love Storm

คุณหมิงเริ่มเรื่องให้ฟังว่า “หมิงกับคุณฮิโระยูกิรู้จักกันตั้งแต่ปี2012  เพราะเพื่อนเขาเป็นลูกเพื่อนสนิท คุณแม่ (คุณหญิง ม.ล.อรจิตรา  สนิทวงศ์) ซึ่งหมิงมารู้ทีหลังว่าเพื่อนคนนี้ถึงกับวางแผนให้เราสองคนพบกัน (ยิ้ม) เขาคงกลัวว่าเพื่อนจะเหงามั้ง และรู้ว่าหมิงไม่ค่อยออกไปพบใครง่ายๆ จึงบอกหมิงว่าคุณฮิโระสนใจอยากทำน้ำหอมสำหรับหมาวางจำหน่าย ความที่เราชอบทำน้ำหอมอยู่แล้ว จึงนัดคุยและทานข้าวกันสามคนที่ร้านอาหารญี่ปุ่นย่านสุขุมวิท

“พอไปถึงร้าน คุณฮิโระไม่คุยกับหมิงสักคำ นั่งตัวเกร็งเชียว (ยิ้ม)  ไม่มีใครแตะอาหารที่สั่งมาเลยจนทุกจานชืดหมด หลังจากนั้นต่างฝ่ายต่างไม่ได้สานต่ออะไร น้ำหอมหมาก็ไม่ได้ทำ ต่างคนต่างแยกย้ายกันไ  มีแค่ว่าคุณฮิโระขอเป็นเพื่อนหมิงทางเฟซบุ๊ก ช่วงนั้นหมิงเรียนจบปริญญาตรีด้านเภสัชฯแล้ว จึงเดินทางไปเรียนต่อปริญญาโทเกี่ยวกับการทำน้ำหอมที่ฝรั่งเศส จากนั้นไปเรียนต่อบริหารธุรกิจที่อิตาลี ต่อด้วยการฝึกงานที่สหรัฐอเมริกา กว่าจะกลับมาเมืองไทยก็ปี2016”

คุณฮิโระยูกิเล่าบ้าง “ความที่ผมช่วยคุณพ่อ (ชยนนท์  วิศวผลบุญ) ทำธุรกิจเกี่ยวกับเหล็ก ท่านไปทำงานที่ไหน ผมต้องไปด้วยตลอด ทำให้ไม่มีแฟน พอดีตอนนั้นงานอดิเรกของผมคือการเพาะพันธุ์หมาชเนาเซอร์ส่งประกวด จึงบอกเพื่อนว่าอยากทำแชมพูหรือน้ำหอมหมา เพื่อนแนะนำให้รู้จักน้องหมิง

เผื่อว่าจะได้ทำธุรกิจร่วมกัน  ซึ่งพอเห็นเขาครั้งแรกผมก็ชอบเลย จะเรียกว่าเป็นรักแรกพบของผมก็ได้นะ รู้สึกว่าเขาเรียบร้อย  มารยาทดีมาก พูดเพราะ  เป็นกุลสตรี  ผมหลงรักทั้งที่เรายังไม่ได้รู้จักกัน  และไม่เคยลืมเขาเลย แต่ความที่รู้สึกเขิน  ทำให้ผมไม่กล้าคุยด้วย ผมมาคิดทีหลังว่า…ทำไมวันนั้นเราถึงไม่คุยกับเขานะ รู้สึกเหมือนตัวเองปล่อยโอกาสให้หลุดไป

“ได้แต่กดไลค์ให้เขาทางเฟซบุ๊ก ไม่กล้าคอมเมนต์อีกต่างหาก จนวันหนึ่งเฟซบุ๊กเตือนขึ้นมาว่าเป็นวันเกิดเขา  ผมจึงส่งข้อความไปอวยพร  ซึ่งเขาก็ตอบขอบคุณกลับมา เห็นแล้วดีใจมาก จึงขอเบอร์โทรศัพท์และโทร.หาทันที  เพื่อขอบคุณที่ส่งข้อความมา  ตอนนั้นผมบอกตัวเองว่าจะไม่ปล่อยให้พลาดอีก”

ฝ่ายหญิงช่วยสรุปให้ว่า “เขานัดหมิงไปทานข้าว รอบนี้ดูรู้ว่าเขาพยายามคุยกับเรามากขึ้น  พอดูออกแหละว่าเขาจะจีบ  แต่เขาขี้อาย  ตอนนั้นเราเองเพิ่งกลับมาไทย จึงลองเปิดโอกาสให้เขาดูด้วยการนัดพบกันมาเรื่อยๆ ซึ่งตลอดระยะเวลาที่คบกัน  เราไม่เคยพูดตกลงว่าเป็นแฟนกันนะ หมิงเองก็ไม่เคยบอกที่บ้านว่าเขาเป็นแฟน  แต่ที่บ้านจะรู้โดยปริยาย เพราะเขาเคยพบคุณพ่อคุณแม่มาแล้ว เวลาหมิงไปไหนจะบอกคุณแม่ตลอด เช่น ไปทานข้าวกับพี่ฮิโระนะ ซึ่งบางครั้งก็ชวนพี่สาว (สุภมาส  สนิทวงศ์ณ อยุธยา) ไปด้วย เขาเจอพี่สาวหมิงครั้งแรกตอนที่พวกเราจะไปเล่นเซิร์ฟบอร์ดกัน เขาก็ตามไปเล่นด้วยนะ ทั้งที่ปกติเขาไม่ทำกิจกรรมแนวนี้เลย คือเล่นเซิร์ฟบอร์ดวันนั้นเป็นครั้งแรก  ปรากฏว่าเนื้อตัวเขาถลอกช้ำหมดเลย” เธอเล่าขำๆ พลางใช้มือลูบแขนคนข้างๆ  แซวเบาๆ “ผิวบางนะเนี่ย”

ปกติผมเล่นเทนนิส  ไม่เคยเล่นกีฬาโลดโผนน่ะ  ขณะที่พี่มาสเล่นเซิร์ฟบอร์ดเก่งมาก  เราก็อยากโชว์หล่อ  เลยลองเล่นดู  ทำเอาไหล่เกือบหลุด”(หัวเราะ)

คุณหมิงเล่าต่อ “เวลาหมิงกับพี่สาวไปทำกิจกรรมด้วยกัน  เขาก็ไปคอยดูแลเราเสมอต้นเสมอปลาย อย่างนั่งรถแกร็บไปหาหมิงที่ทำงาน  เพื่อขับรถพาหมิงกลับบ้าน พอส่งเราเสร็จ  เขาถึงค่อยนั่งรถแกร็บกลับบ้านตัวเอง เป็นอย่างนี้ทุกวัน แล้วเขาทำอาหารญี่ปุ่นอร่อยมาก  รู้ว่าหมิงชอบอาหารญี่ปุ่น เขาก็จะทำให้ทานบ่อยๆ  โดยเฉพาะโซบะฝีมือเขาอร่อยกว่าบางร้านอีก ความน่ารัก
ของเขาคือเขาไม่ได้น่ารักกับเราคนเดียว  แต่เผื่อแผ่ไปถึงคนในครอบครัวและเพื่อนที่ทำงานหมิงด้วย พอเราย้ายที่ทำงาน  เขาก็พยายามปรับตัวให้เข้ากับเพื่อนที่ทำงานแต่ละแห่ง เราไปไหน เขาก็ไปกับเราได้”

รัชกฤต วิศวผลบุญ

Surprise!

เมื่อมีคำถามถึงโมเมนต์พิเศษ  คุณหมิงเล่าว่า  “แต่ก่อนเขาชอบทำเซอร์ไพร้ส์ ซื้อโน่นนี่มาให้ตลอด มีครั้งหนึ่งเขาซื้อโทรศัพท์มือถือ ซึ่งก็คือรุ่นเดิมที่หมิงมีอยู่แล้ว จนหมิงต้องบอกว่า ‘ไม่เอานะ  คุณเอาไปคืนร้านเลย’ กลายเป็นเขาเซอร์ไพร้ส์กว่า” (ยิ้ม) แล้วคุณฮิโระเอาไปคืนที่ร้านจริงๆเหรอ…เราถาม

“ต้องคืนสิครับ ไม่งั้นเป็นเรื่อง!” ฝ่ายชายตอบเสียงอ่อยอีกฝ่ายหัวเราะชอบใจก่อนเล่าต่อ  “หลังจากนั้นเขาไม่เซอร์ไพร้ส์หมิงอีกเลย  หมิงบอกเขาว่าถ้าอยากได้อะไรเดี๋ยวบอกเอง เรื่องของเรื่องคือเสียดายเงินไงคะ  เพราะบางอย่างเราก็ไม่อยากได้  เช่น  ดอกไม้  ช่วงคบแรกๆเขายังไม่ค่อยรู้ใจ  ก็มีซื้อให้บ่อย จนตอนหลังเขาเริ่มรู้ใจมากขึ้น  ก็เปลี่ยนเป็นพาไปทานข้าวแทน  คราวนี้ถูกใจเลย”

คุณฮิโระยูกิจึงล้อว่า “แต่มีของบางอย่างที่ผมสามารถซื้อมาเซอร์ไพร้ส์เขาได้ตลอดเวลา  ทุกโอกาส  ซื้อแล้วมั่นใจได้ว่าไม่ต้องเอากลับไปคืนร้านแน่นอน คือ‘เพชร’  จะเม็ดเล็กเม็ดใหญ่  หน้าตาเป็นแบบไหน  หมิงชอบหมด”  เขาเล่าพลางหัวเราะชอบใจคุณหมิงแก้เขินว่า  “ก็เพชรถือเป็นการลงทุนอย่างหนึ่งนี่คะ”  แล้วเปลี่ยนเรื่องคุย

“บางทีก็ยอมรับว่าเราเจ้าอารมณ์ใส่เขานิดหนึ่ง  พอไม่ได้ดั่งใจก็จะมีฉุนเฉียวเล็กน้อย  จนบางทีเขามีตัดพ้อว่าทำไมหมิงดุจัง  คือบางทีเรายุ่งกับงานก็จะฝากเขาซื้อโน่นนี่ให้หน่อย  ซึ่งเขาก็ดีมากนะ  ช่วยซื้อให้  แต่โดนดุเพราะซื้อผิดหรือซื้อเกินที่สั่ง  ประมาณว่าทำเกินหน้าที่  จนคนรอบข้างสงสารเขาที่อุตส่าห์ซื้อของให้แล้วยังโดนดุอีก (หัวเราะ)  เขาเป็นแบบนี้บ่อย  จนทุกวันนี้ก็ยังเป็น  เช่น  ที่บ้านอยู่กันแค่สองสามคน  แต่เขาซื้อของกินมาให้เหมือนอยู่กัน 5-6 คน  เพราะเขาคิดว่าเหลือดีกว่าขาด”

คุณฮิโระยูกิช่วยเสริมว่า  “พอได้มาสนิทกับครอบครัวหมิงแล้ว  ผมพบว่าครอบครัวเขาอบอุ่นมาก  ทุกคนน่ารัก  เราก็อยากดูแล  เพราะฉะนั้นเวลาซื้ออาหารมาทาน  ผมจะคิดเผื่อด้วยไง”

ความเหมือน VS ความต่าง

คุณหมิงเล่าถึงความเป็นหยินหยางของทั้งคู่ว่า  “สิ่งที่เราเหมือนกันคือ ชอบทานทั้งคู่  ไม่ต้องหรูก็ได้  แต่ขอให้อร่อย  ชอบใช้ชีวิตเรียบง่าย  ไม่ชอบเที่ยวกลางคืน  และรักสุนัขเหมือนกัน  ส่วนเรื่องความต่างน่าจะเป็นเวลา  ด้วยความที่เขาเป็นลูกครึ่ง  คุณแม่เป็นคนไทย (คุณรัดเกล้า  กิตติรัต)  คุณพ่อเป็นคนญี่ปุ่น  ซึ่งค่อนข้างมีวินัย  เพราะฉะนั้นคุณฮิโระจะค่อนข้างมีระเบียบมาก  ถ้ามีนัด  เขาจะเผื่อเวลาไว้ค่อนข้างเยอะ  และติดนิสัยวางแผนล่วงหน้า  อย่างทานข้าวก็ต้องโทร.จอง  ซึ่งหมิงกับครอบครัวจะขอแค่ตรงเวลาพอ  ไม่ต้องเผื่อมาก  และถ้าไปถึงร้านแล้วไม่มีที่นั่งก็เปลี่ยนร้านได้  ซึ่งการที่เขาชอบวางแผนและเตรียมอะไรล่วงหน้าก็ดีอยู่นะคะ  แต่บางทีเราอยากสบายๆบ้าง  จนต้องบอกเขาว่าวันนี้เรานัดแบบไทยบ้างนะ  สบายๆ  ชิลๆ…ไม่ต้องรีบ (หัวเราะกันรอบวง)

“หมิงจะเป็นพวกที่นึกอยากไปไหนก็ไป  ไม่ต้องมีแผน  เช่น  อยากไปเที่ยวจังหวัดนั้น  รุ่งขึ้นไปเลย  ความที่เราตื่นเช้า  ไม่อยากเสียเวลารอไปเปล่าๆหนึ่งวันช่วงแรกคุณฮิโระตกใจว่ายังไม่ได้วางแผนเลย  จะไปได้อย่างไร  จนตอนหลังพอเราทำบ่อย  เขาก็เริ่มชิน”

“หมิงแอ๊คทีฟมากครับ  ไม่ค่อยชอบอยู่เฉยๆ  อายุน้อยกว่าผม 6 ปีก็จริงแต่มีความเป็นผู้ใหญ่มาก  เช่น  บางทีผมมีปัญหาเรื่องการทำงานแล้วเล่าให้เขาฟังเขาจะให้แง่คิดอีกมุมหนึ่ง  เช่น  ควรจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้หรือเปล่า  เมื่อก่อนผมค่อนข้างคิดมาก  ใครพูดอะไรนิดหนึ่งก็จะเก็บมาคิด  แต่หมิงจะมีวิธีพูดที่ทำให้เราฉุกคิดและเข้มแข็งมากขึ้น  ถ้าผมผิด  เขาจะบอกว่าผิด  ไม่มีการเข้าข้างกันหรือถ้าผมทำอะไรที่ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกคนอื่น  เขาก็จะดุเลย  เรียกว่าเขามีทั้งความประนีประนอมและคิดถึงใจคนอื่นด้วย  แต่เวลาเขามีความเป็นเด็กง้องแง้งพูดอ้อนๆนี่ผมชอบนะ”

“เวลา” พิสูจน์รักแท้

‘เวลา’ เป็นสิ่งที่ช่วยพิสูจน์คนได้จริงค่ะ  เพราะทีแรกคุณฮิโระเขาจะขอหมิงแต่งงานตั้งแต่สองปีแรกที่คบกัน  คือเขาพูดตรง ๆว่าขอแต่งงานได้ไหม เราก็บอกว่ายังไม่พร้อม  ขออีกสักสองปี  ซึ่งยิ่งคบนาน  เขาก็ดูแลเราเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน  ต่างคนต่างเป็นห่วงกันและกันมาก  นอกจากความเสมอต้นเสมอปลายในการดูแลเราและครอบครัวแล้ว  สิ่งที่เขาชนะใจหมิงคือเรื่องที่เขายอมตลอดต่อให้เราดุ  เขาก็ไม่บ่นไม่เถียง  จนบางครั้งเรารู้สึกผิดแล้วต้องขอโทษเขาทุกครั้งเรียกว่าความนิ่งของเขาสยบเราได้จริงๆ

“จากนั้นพอเวลาผ่านไปอีกสองปี  เขาถามเรื่องแต่งงานอีก  จึงบอกให้ไปขอพ่อแม่แล้วกัน  เพราะรู้ว่าเขาขี้อายมาก  แต่ถ้าเขาอยากแต่งกับเรา  เขาต้องก้าวข้ามตรงนั้นไปให้ได้  ปรากฏว่าเขาทำจริงๆ  คือวันนั้นหมิงไปขี่ม้ากับพี่มาส  ส่วนเขา
รออยู่ที่บ้าน”

คุณฮิโระยูกิซึ่งยังจำเหตุการณ์วันนั้นได้ดีย้อนเรื่องราวให้ฟังว่า  “ทีแรกผมเดินเข้าไปบอกคุณแม่ก่อนว่าผมมีเรื่องอยากจะขอปรึกษา  คุณแม่บอกให้รอคุณพ่อ (พล.ต.อ.อิสระพันธ์  สนิทวงศ์ณ อยุธยา) ก่อน  ผมก็รอด้วยใจเต้นมากๆพอคุณพ่อมาถึง  ท่านถามผมเลยว่า ‘จะมาขอลูกสาวแล้วใช่ไหม’  ผมตกใจเลยว่ารู้ได้อย่างไร  คุณพ่อตอบแค่ว่า ‘เออ’  ส่วนคุณแม่ถามผมว่า ‘แน่ใจแล้วหรือ’ ผมบอกว่าแน่ใจ  คุณแม่จึงบอกให้ผมไปพูดขอทุกคนในบ้านด้วย  ผมจึงเริ่มจากพี่ชายหมิง (สิทธิพันธ์ สนิทวงศ์ณ อยุธยา)  ซึ่งเขาก็ถามผมกลับเหมือนกันว่า

‘แน่ใจแล้วหรือ’  พอถึงตอนขอกับพี่สาว  ผมตื่นเต้นมากกว่า  เพราะเราสนิทกัน  พี่มาสถามเช่นกันว่า ‘แน่ใจแล้วหรือ’  ผมบอกว่า ‘มั่นใจแล้วครับ’ พี่ทั้งสองจึงบอกว่ายินดีด้วย  ส่วนคนสุดท้ายที่ผมขอคือพี่เลี้ยง (บรรจง ทิพย์จร) ที่เลี้ยงหมิงมาตั้งแต่เด็ก  เป็นการขอแต่งงานที่ผมประทับใจมาก”

Once in a Lifetime

ส่วนเรื่องพิธีหมั้นและพิธีแต่งงาน ฝ่ายหญิงเล่าว่า “เราจัดพิธีหมั้นแบบไทยไปเมื่อเดือนตุลาคม 2562  และจัดพิธีแต่งงานช่วงปลายปีที่แล้วแบบเรียบง่าย แต่มีกลิ่นอายความเป็นญี่ปุ่น ในงานจึงออกแบบเป็นสวนญี่ปุ่น มีนกกระเรียนสัญลักษณ์ของความโชคดี ความเป็นคู่กันมีเต่่า และเวลาคนญี่ปุ่นอวยชัยให้พรกันต้องมีการตอกถังสาเกเสิร์ฟแขก เราจึงมีพิธีตอกสาเกในงานแต่งงาน
ของเราด้วย

“แพลนของเราสองคนหลังจากนี้คือยังอยากใช้ชีวิตเดินทางท่องเที่ยวกันสองคนไปก่อน อยากให้เปิดน่านฟ้าเร็วๆ จะได้เดินทางไปบ้านคุณฮิโระที่ญี่ปุ่นได้เพราะครอบครัวเขามีศาลเจ้าของตัวเองอยู่ที่เมืองเอฮิเมะ เกาะชิโกกุ ซึ่งตามธรรมเนียมญี่ปุ่น เมื่อแต่งงานแล้วต้องไปไหว้ศาลเจ้า เหมือนเป็นการไปเคารพบรรพบุรุษและบอกให้รับรู้ว่าเราแต่งงานกันแล้ว”เราขอให้พวกเขาเปรียบเทียบคู่ของตัวเองว่าเปรียบเหมือนอะไรคุณหมิงตอบว่า “คู่เราเป็นเหมือนกระต่ายกับเต่า  คุณฮิโระใจเย็น  เน้นชัวร์
ให้เขาเป็นเต่า”

“หมิงคล่องแคล่วว่องไว  ถ้าเปรียบเป็นกระต่าย  ก็เป็นกระต่ายที่ฉลาดและขยันมาก”  คุณฮิโระพูดพร้อมกับส่งยิ้มหวานให้ภรรยา…


 

Praew Recommend

keyboard_arrow_up