คุณศุภมาสอิศรภักดี Cover

ซูมชีวิตหลากหลายบทบาท “ผึ้ง-ศุภมาส อิศรภักดี” หญิงเก่งบวกแกร่งแม่ผู้ไม่รู้จักคำว่าท้อ

คุณศุภมาสอิศรภักดี Cover
คุณศุภมาสอิศรภักดี Cover

อีกหนึ่งต้นแบบผู้หญิงเก่งบวกแกร่ง “คุณผึ้ง – ศุภมาส อิศรภักดี” ชื่อของเธออาจเคยคุ้นหูกันบ้างในฐานะ ส.ส.หญิงหลายสมัย จนกระทั่งปัจจุบันนี้เป็น ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ของพรรคภูมิใจไทย แต่นอกเหนือจากบทบาททางการเมือง หมวกอีกใบของเธอซึ่งมีน้อยคนได้รับรู้คือการเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ สามารถนำบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ได้ในเวลาไม่กี่ปี ส่วนหมวกใบสุดท้ายที่เธอเลือกเฟ้น ออกแบบอย่างดี และไม่เคยถอดออกเลยนั่นคือบทบาทของความเป็น “แม่” ที่ยึดโยงตัวตนและจิตวิญญาณของเธอเอาไว้เป็นแกนกลางหมวกแต่ละใบกว่าจะได้มานั้นต้องทุ่มเทอย่างมาก แต่ไม่ว่าหมวกกี่ใบที่สวมอยู่จะหนักสักเท่าไหร่ ก็ไม่เคยมีคำว่า “ท้อ” อยู่ในพจนานุกรมของผู้หญิงนักสู้คนนี้เพราะเธอมีลูกเป็นดั่งดวงอาทิตย์คอยให้พลังงานแก่เธออยู่ตลอดเวลา

จุดเริ่มต้นที่ทำให้คุณผึ้งสนใจการเมืองคืออะไรคะ

“พอผึ้งจบปริญญาตรี คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็เรียนต่อปริญญาโทด้านวิศวกรรรมจากมหาวิทยาลัยวอร์ริก ประเทศอังกฤษ (เกียรตินิยม และปริญญาโทอีกใบจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) แล้วเข้าทำงานเป็นวิศวกรของบริษัทในเครือ ปตท. ผึ้งถือเป็นเด็กจุฬาฯคนเดียวในรุ่นที่เลือกไปทำงานที่ระยอง อาจเพราะร้อนวิชา อยากไปทำงานในโรงงานที่ทาง ปตท.เปิดรับอยู่พอดี หลังจากทำได้ 4 – 5 ปีก็ขอลาออก เนื่องจากคุณแม่ป่วยเป็นมะเร็งเต้านม ซึ่งเป็นจุดที่ทำให้ผึ้งอยากทำงานที่ไม่ต้องตอกบัตรทุกเช้า – เย็น เพราะต้องดูแลแม่และทำงานไปด้วย

“ตอนนั้นปี 2543 เป็นช่วงที่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ปี 2540 เพิ่งออกมาไม่นาน จึงมีคนรุ่นใหม่ให้ความสนใจมาทำงานการเมืองกันมาก ประกอบกับมีคนแนะนำว่านักการเมืองเป็นอาชีพอิสระ สอดคล้องกับความต้องการของผึ้งพอดี และได้ทำงานเพื่อสังคมไปด้วยพร้อมกัน จึงตัดสินใจไปสมัครเป็นผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคไทยรักไทย”

ไปสมัครทั้งที่ไม่มีฐานเสียงอะไรเลยหรือคะ

“ต้องบอกว่าผึ้งไม่รู้เรื่องอะไรเลยดีกว่า เป็นแค่ลูกคนธรรมดา ไม่ได้เติบโตในครอบครัวนักการเมือง พอดีว่าช่วงนั้นพรรคไทยรักไทยภาค กทม.กำลังมองหาผู้หญิงรุ่นใหม่และไม่เคยเป็นนักการเมืองมาก่อน แต่ผึ้งต้องผ่านด่านสัมภาษณ์แบบอรหันต์หลายรอบมาก โดยมีผู้ใหญ่ของพรรคอย่างคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ คุณเสนาะ เทียนทอง นำทีมสัมภาษณ์ ความที่ผึ้งเป็นเด็กก็คุยไปตามสไตล์ตัวเอง จึงไม่ค่อยได้รับความสนใจนัก แต่ผึ้งโชคดีที่มีรุ่นพี่คณะวิศวะที่จุฬาฯเป็น ส.ส.รุ่นพี่ช่วยผลักดัน จำได้ว่ามีคำถามหนึ่งตอนสัมภาษณ์ว่า ทำไมจึงอยากเป็น ส.ส. ผึ้งตอบว่า ถ้าผึ้งยังทำงานอยู่ที่ ปตท. จุดสูงสุดที่ทำได้ก็แค่เป็นผู้ว่าฯ ปตท. แต่ถ้าเรามาเป็น ส.ส. สูงสุดคือได้เป็นรัฐมนตรี ได้สร้างประโยชน์ให้สังคมมากกว่า ทีมสัมภาษณ์ในวันนั้นมาเล่าให้ฟังทีหลังว่าประทับใจคำตอบนี้มาก เขารู้สึกว่าผึ้งมีจิตวิญญาณของนักการเมือง ไม่เฟค จึงช่วยกันเชียร์ให้ผึ้งผ่านเข้ารอบ

“แต่หลังจากสอบสัมภาษณ์ไปประมาณ 10 รอบ ทางพรรคก็ยังนัดไปคุยอีก นั่งรอตั้งแต่แปดโมงเช้าถึงหนึ่งทุ่มก็ยังไม่เรียก คือคงไม่ได้รับความสนใจ เพราะผึ้งหน้าใหม่มากจริงๆ”

ตอนนั้นท้อบ้างไหมคะ

“ไม่เลย เพราะคิดว่าทำเต็มที่ และมุ่งมั่นเหมือนที่เคยทำกับทุกอย่างในชีวิตที่ผ่านมา มันย่อมสำเร็จ แค่รู้ว่าต้องสัมภาษณ์ก็ไปนั่งรอเป็นอย่างนั้นร่วมเดือนค่ะ จนวันหนึ่งผู้ใหญ่ในพรรคมาบอกว่าให้ผึ้งลงสมัคร ส.ส.ในนามพรรคไทยรักไทย เขตหลักสี่ วินาทีนั้นรู้สึกว่า Mission Completed แล้ว”

คุณผึ้งมีกลยุทธ์หาเสียงอย่างไรคะ

“คนในพรรคแนะนำให้รู้จักกับ ส.ก. และ ส.ข.เขตหลักสี่ เขาช่วยแนะนำให้รู้จักพื้นที่ ความท้าทายคือเราเป็นผู้สมัครหน้าใหม่ในพื้นที่ จะทำอย่างไรให้เป็นที่รู้จักของประชาชนได้เร็วที่สุด ผึ้งจึงคิดกลยุทธ์ว่าทุกวันประมาณตีห้าครึ่งจะไปยืนแนะนำตัวที่หน้าทางเข้าหมู่บ้านใหญ่ๆ ประมาณ 8 แห่ง แล้วยกมือไหว้รถทุกคัน ที่ออกมา โดยมีทีมงานคอยถือป้ายหาเสียงเป็นระยะๆ ทำอย่างนั้นสลับไปวันละหมู่บ้านจนครบก็วนกลับมาใหม่”

เสียงตอบรับเป็นอย่างไรคะ

“ดีมากค่ะ เพราะเขาคงไม่เคยเจอว่าขับรถออกจากบ้านตอนเช้าแล้วเจอผู้สมัครยืนรอ สร้างความฮือฮาพอสมควร ผึ้งยืนไหว้จนถึงประมาณ 8 โมงเช้า จากนั้นไปตามตลาด เพื่อพูดคุยกับพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนที่อยู่แถวๆ นั้น ตอนสายเข้าไปในชุมชนตามแฟลต เที่ยงไปแจกบัตรแนะนำตัวผู้สมัครตามโรงอาหารของหน่วยงานต่างๆ ในศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ บ่ายเข้าชุมชนต่อจน 4 โมงเย็นก็เปลี่ยนไปเดินกดกริ่งตามบ้านในหมู่บ้าน พอคนในบ้านออกมา ผึ้งก็ยกมือไหว้ ‘สวัสดีค่ะ ผึ้งเป็นผู้สมัครเบอร์ 7 พรรคไทยรักไทย ขอโอกาสมารับใช้ที่นี่นะคะ’ ทำให้คนพูดปากต่อปากว่าผู้สมัครคนนี้ขยันมาก สุดท้ายผึ้งก็ได้รับเลือกเป็น ส.ส.เขตหลักสี่ในวัยเพียง 26 ปี ถือว่าอายุน้อยที่สุดในสภา” (ยิ้ม)

การเป็น ส.ส.หญิง แล้วยังอายุน้อยมาก ในสมัยนั้นคุณผึ้งต้องฝ่าฟันอะไรบ้างคะ

“ยุคนั้น ส.ส.มักทำงานต่อเนื่องมานานหลายสมัย เราเป็นเด็กรุ่นใหม่ ก็เป็นความชาลเลนจ์ที่ต้องพิสูจน์การทำงานของตัวเองให้ได้รับการยอมรับ ผู้สมัครเก่าๆ หรือหัวคะแนนจากพรรคอื่นคอยจับตาตลอด อย่างเวลาไปร่วมงานศพ เขากันไม่ให้ผึ้งเป็นประธานในงาน แต่ให้ผู้สมัครที่สอบตกเป็นแทน ผึ้งไม่ได้สนใจที่โดนดิสเครดิตแบบนี้ อาจเพราะเขาไม่คุ้นกับการที่มี ส.ส.เป็นผู้หญิง ผึ้งจึงต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยการทำงาน เช่น ประสานกับหน่วยงานราชการในการของบประมาณเข้าพื้นที่ มีงานอะไรในพื้นที่ ผึ้งไปหมด อย่างงานวันเด็กถือเป็นวันที่โหดที่สุด เพราะในพื้นที่มีการจัดงานถึง 93 งาน ผึ้งสามารถไปครบทุกงานนะคะ (หัวเราะ) เพราะเตรียมการไว้ก่อน โดยทีมงานจะนำของไปร่วมงานล่วงหน้าหนึ่งวัน แล้วบอกเจ้าภาพว่า ส.ส.ผึ้งจะมานะ พอไปถึงก็อยู่ร่วมงานครู่หนึ่งแล้วรีบไปต่ออีกงาน”

ชีวิตช่วงที่เป็น ส.ส.สนุกไหมคะ

“สนุกมากจนลืมทุกอย่างเลย ด้วยนิสัยของผึ้งเวลาตั้งใจทำอะไรแล้วต้องทำให้ดี อย่างตอนเรียนก็ต้องให้ได้เกียรตินิยม ผึ้งจบจากโรงเรียนสตรีวิทยาด้วยคะแนนเฉลี่ยสูงสุด 1 ใน 5 ของรุ่น ตอนเรียนจุฬาฯก็ได้ทุนนักเรียนเรียนดีของคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯทุกปี พอมาลงเล่นการเมืองก็ทุ่มเทอย่างหนัก จนได้รับเลือกตั้งอย่างต่อเนื่องด้วยคะแนนท่วมท้น เพราะทำงานลงพื้นที่ตลอด ไม่ได้ไปเฉยๆ หรือแค่โชว์ตัว แต่ไปพัฒนาพื้นที่ เช่น ทำถนน ทำศูนย์เรื่องราวร้องทุกข์ ออกหน่วยบริการประชาชนเคลื่อนที่ หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ เปิดจำหน่ายสินค้าธงฟ้าราคาถูก ฉีดวัคซีนพิษสุนัขบ้า ถือว่าผึ้งเป็นที่รักของชาวหลักสี่ก็ว่าได้ ผึ้งได้เป็นรองโฆษกพรรคไทยรักไทย และตำแหน่งสูงสุดคือรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีสมัยคุณสมัคร สุนทรเวช

“จากนั้นมีการรัฐประหาร 2 ครั้ง เป็นช่วงที่เหมือนตกงาน แต่ยังต้องรับผิดชอบทีมอีกหลายสิบชีวิต บางคนจบปริญญาตรี คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ บางคนจบปริญญาโท ยอมทิ้งอนาคตมาอยู่กับผึ้งเป็น 10 ปี แล้วอยู่มาวันหนึ่งผึ้งจะบอกเขาว่าเธอกลับบ้านไปนะ ผึ้งทำไม่ได้จริงๆ จึงคิดทำอะไรที่จะช่วยให้ทีมมีรายได้เพื่อ ดำรงชีพอยู่ได้ ลองทำธุรกิจหลายอย่างมาก เช่น เปิดแผงขายหนังสือให้ลูกน้องได้มีงานทำ หารถผลไม้ดองให้พวกเขาไปขาย ทำร้านอาหาร ทำโรงงานรับซื้อของเก่า สุดท้ายมาลงตัวที่โรงงานผลิตอาหารเสริม”

ทำไมเลือกทำธุรกิจด้านนี้คะ

“ตอนนั้นปี 2555 ธุรกิจด้านนี้ยังไม่บูมเหมือนปัจจุบัน แต่ผึ้งมองว่าอาหารเสริมกำลังจะเป็นปัจจัยที่ห้าที่คนต้องการในอนาคต จึงเริ่มศึกษาเรื่องนี้ ทำรีเสิร์ช คุยกับผู้เชี่ยวชาญ นักโภชนาการ นักวิจัย และพัฒนาโปรดักต์ขึ้นมา โดยผึ้งเป็นคนแรกๆ ที่ใช้ยุทธศาสตร์ Star Marketing ให้ทีมติดต่อชวนดารามาเป็นเจ้าของแบรนด์อาหารเสริม อย่างเนย – โชติกา วงศ์วิลาส โดยเรารับหน้าที่เป็นผู้ผลิตให้ ซึ่งโปรดักต์แต่ละตัวนั้นเราไม่ได้ทำตามใจ แต่มีการถามความต้องการของเจ้าของแบรนด์แต่ละคนด้วยว่าต้องการโปรดักต์แบบไหน เพราะมันต้องเป็นสิ่งที่เขาใช้จริง เพื่อให้มั่นใจที่จะบอกต่อ ประกอบกับตอนนั้นประเทศไทยเพิ่งเริ่มฮิต IG จึงทำให้สินค้าขายดีมาก ส่วนการเป็นนักการเมืองก็มีส่วนช่วยในการทำธุรกิจทางอ้อมด้วย เพราะทำให้มั่นใจว่าโรงงานนี้ผลิตจริงและมีมาตรฐาน ทำเพียงไม่กี่ปีก็สามารถเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้”

ทำงานมาหลายอย่าง ยังมีอะไรที่อยากทำและยังไม่ได้ทำไหมคะ

“ทำงานจนอายุประมาณ 41 ปี เริ่มรู้สึกอิ่มตัว เพราะงานการเมืองก็เพลาลง โรงงานก็รันไปด้วยดี จึงเป็นครั้งแรกที่มีเวลาอยู่นิ่งๆ ได้ใช้ความคิดกับอย่างอื่น นอกจากการทำงาน ผึ้งพบว่าตัวเองอยากมีลูก ส่วนหนึ่งมาจากการคิดถึงแม่ แม่เลี้ยงผึ้งมาอย่างดีมาก เป็นทุกอย่างในชีวิตจริงๆ พอคิดถึงสิ่งดีๆ ที่แม่เคยทำให้เรา รู้สึกว่าอยากเป็นแม่ที่มอบความรักให้กับลูกได้อย่างแม่ของเราเองบ้างสิ่งที่จุดประกายจริงๆ และทำให้ตัดสินใจทำคือเพื่อน (คุณแบม – จณิสตา ลิ่วเฉลิมวงศ์) เล่าให้ฟังว่าเพิ่งไปเก็บไข่มา เพราะเมื่ออายุมากขึ้น ไข่จะน้อยลงเรื่อยๆ พร้อมกับเตือนผึ้งว่ารีบไปทำนะ เดี๋ยวไข่หมดจะมีลูกไม่ได้ และเพื่อนรุ่นน้องอีกคนแนะนำว่าคุณหมอที่เก่งด้านนี้ชื่อนายแพทย์สมเจตน์ มณีปาลวิรัตน์ โรงพยาบาลเจตนิน ให้ลองไปคุยดูก่อน พอได้คุยกันครั้งแรกก็รู้สึกว่าคุยด้วยแล้วสบายใจ ไม่ได้ทำให้ผึ้งรู้สึกว่าการทำกิฟต์เป็นภาระหรือเรื่องใหญ่อะไร แต่เป็นเรื่องธรรมดา และไม่ยากอย่างที่คิด จึงเริ่มเข้าสู่วงการ (ยิ้ม) ซึ่งยอมรับว่าเป็นความกล้าหาญ อย่างมากที่ตัดสินใจตั้งครรภ์ตอนอายุ 46 ปี เป็นวัยที่หลายคนมีหลานกันแล้ว แต่เราเพิ่งจะมีลูก แต่ผึ้งเชื่อว่าเราตั้งใจดีอย่างเต็มที่ การแพทย์สมัยนี้ก็ก้าวหน้า ทุกอย่างน่าจะเป็นไปได้ดี

“ขั้นตอนก็ไม่ต่างจากการทำกิฟต์ทั่วไป เริ่มจากฉีดยาที่เป็นฮอร์โมนกระตุ้นเข้ารอบสะดือวันละเข็มในเวลาเดิมทุกวัน ซึ่งพี่ล้ำ (คุณล้ำพันธุ์ – สามี) จะต้องกลับบ้านมาฉีดให้ทุกวันจนกว่าจะสำเร็จ เพื่อให้ไข่ตกเยอะขึ้น จากปกติไข่ตกเดือนละฟอง เป็นเดือนละ 10 – 20 ฟอง อาจต้องฉีดติดต่อกันสัก 1 – 2 สัปดาห์ เมื่อไข่ตกเยอะแล้ว คุณหมอจะให้ยาสลบประมาณ 20 นาทีเพื่อเจาะเก็บไข่ แค่ทำครั้งแรกผึ้งถึงกับอาเจียนเลย เพราะแพ้ยาสลบ ทรมานมาก ปวดท้อง แน่นไปหมด แต่ด้วยนิสัยนักสู้ พยายามอดทนเพื่อลูก ครั้งแรกได้มา 10 กว่าฟอง จากนั้นนำไข่ไปผสมกับอสุจิของสามีในห้องทดลองเพื่อเพาะเลี้ยงตัวอ่อน แล้วจึงใส่ตัวอ่อนเข้าไปที่โพรงมดลูก ซึ่งช่วงเวลานี้ผึ้งจะต้องนอนบนเตียงนิ่งๆ 10 วันค่อยไปพบหมอเพื่อรอฟังผล”

ผลเป็นอย่างไรคะ

“ติดค่ะ คุณหมอบอกว่าได้แฝดด้วย ผึ้งดีใจมาก ไม่คิดว่าครั้งแรกจะสำเร็จเลย แต่พอครบ 3 เดือนไปอัลตราซาวนด์ดู ปรากฏว่าฝาแฝดหัวใจหยุดเต้นทั้งคู่เท่ากับว่าผึ้งเสียลูกไป ก่อนหน้านั้นตอนผึ้งอายุ 37 ปีเคยท้องมาแล้วรอบหนึ่ง แต่แท้งไป ครั้งนี้ทำกิฟต์ไม่คิดว่าจะเป็นอีก เพราะเป็นวิธีทางวิทยาศาสตร์ที่เตรียมพร้อมทุกอย่างไว้หมดแล้ว

“ตอนที่ฟังผลที่จริงผึ้งช็อกไปเลย แต่ประโยคแรกที่พูดกับหมอคือ ‘แล้วทำอย่างไรต่อคะ’ คุณหมอบอกว่าเดือนหน้าทำใหม่ แต่ก็ไม่ติด เดือนถัดมาก็ใส่ใหม่ เรียกว่าเข้าลูปเดิมแบบนี้อยู่ 3 ปีเต็มๆ ผึ้งไม่เคยหยุดแม้แต่เดือนเดียวจนคิดว่าตัวเองน่าจะเป็นคนไข้ที่แฟ้มหนาที่สุดในโรงพยาบาล”

เคยคิดจะล้มเลิกความตั้งใจไหมคะ

“ไม่เคยค่ะ คุณหมอสมเจตน์มีส่วนช่วยมาก เคยมีบางคนแนะนำให้ผึ้งเปลี่ยนหมอ บอกว่าดวงอาจจะไม่สมพงษ์กัน แต่คำพูดของคุณหมอสมเจตน์ที่บอกว่า‘ผมจะต้องทำให้คุณผึ้งสมหวังให้ได้’ประโยคนี้วนเวียนอยู่ในหัวผึ้งตลอด ทุกครั้งที่ไปฟังผล พอคุณหมอบอกว่าเดือนนี้ไม่ใช่เดือนของเรานะ ผึ้งก็ยอมรับและเดินหน้าต่อ ผึ้งเจอคุณหมอทุกสัปดาห์ตลอด 3 ปีจนเป็นเพื่อนกันไปแล้ว ต่อให้ผิดหวังกี่ครั้ง ผึ้งก็ไม่ฟูมฟาย เชื่อมั่นในตัวหมอและเดินหน้าต่อไป”

ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ช่วงไหนที่เจ็บปวดที่สุดคะ

“คงเป็นช่วงแรกๆ เพราะเรายังไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไรบ้าง ตอนหลังเจ็บจนชินแล้วค่ะ แต่ที่เจ็บสุดคือตอนฉีดยาละลายลิ่มเลือด เพราะผึ้งมีอาการของเลือดแข็งตัว จึงต้องฉีดยาช่วยตั้งแต่วันแรกของการใส่ตัวอ่อน ซึ่งเจ็บมาก นั่นหมายความว่าทุกครั้งที่ใส่ตัวอ่อนต้องฉีดยาละลายลิ่มเลือดและฉีดทุกวันจนกว่า

จะคลอด โดยมีพี่ล้ำเป็นคนฉีดให้ทุกวันอีกเช่นกัน เพราะฉะนั้นกว่าจะได้ลูกตลอด 3 ปีผึ้งต้องฉีดยาเป็นพันๆ เข็มเลยค่ะ ชีวิตช่วงนั้นผึ้งไม่ได้ทำอะไรเลยออกกำลังกายก็ไม่ได้ ไปเที่ยวไหนนานๆ ก็ไม่ได้ อย่างมากแค่ 2 – 3 วันก็ต้องกระหืดกระหอบกลับมา ต่างประเทศยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

“จนครั้งล่าสุดที่ใส่ตัวอ่อนเข้าไปที่โพรงมดลูก วันที่ 15 กรกฎาคม 2561ขณะที่ผึ้งนั่งรอฟังผลหน้าห้องหมอ คุณหมอคงเปิดแฟ้มแล้วเห็นผล ถึงกับไลน์มาบอกทันทีว่า Congratulations, you are pregnant. แล้วส่งภาพถ่ายผลแล็บมาให้ คือไม่รอแจ้งผลในห้อง เพราะรู้ว่าข่าวดีอย่างนี้ผึ้งรอไม่ได้แม้แต่วินาทีเดียว” (หัวเราะ)

จำความรู้สึกแรกเมื่อรู้ว่าจะได้เป็นคุณแม่ได้ไหมคะ

“ตอนนั้นกลัวค่ะ กับหวาดระแวง กลัวว่าตัวเองจะไม่สามารถแคร์รี่ลูกไปได้ถึง 9 เดือน เพราะเราไม่เคยได้ไปต่อจนครบกำหนด พี่ล้ำเองก็รู้สึกอย่างเดียวกันเพราะลุ้นด้วยกันกับเรามาตลอด”

คุณล้ำที่นั่งอยู่ข้างๆ ภรรยาบอกถึงเหตุผลว่า “ผมเคยไปเป็นเพื่อนผึ้งช่วงทำกิฟต์แรกๆ แล้วผลออกมา Fail ตลอด รู้สึกสงสารและคิดว่าเป็นเพราะดวงผมหรือเปล่าที่ทำให้ไม่มีลูกเสียที จึงบอกเขาว่าผมไม่ไปนะ เหมือนเป็นการแก้เคล็ดยิ่งตอนผึ้งเริ่มท้องลูก ถ้าผมเข้าไปเกี่ยวข้อง กลัวว่าจะมีอะไรผิดพลาดเหมือนที่แล้วมาเลยขอเป็นหน่วยซัพพอร์ตดูแลให้ตอนเขากลับมาดีกว่า”

“ผึ้งก็ถือเรื่องนี้เหมือนกันค่ะ ขนาดผลอัลตราซาวนด์ผึ้งยังไม่หยิบกลับบ้านเลย อาจเพราะยังไม่เชื่อว่าตัวเองท้องจริงๆ อายุเราก็ไม่น้อย โรคประจำตัวก็เยอะจนถึงวันที่คลอดน้องเทพ (พันธนัฐ พรรธนประเทศ) ก็ยังไม่เชื่อว่าจะฝ่าฟันมาถึงจุดนี้ได้ ผึ้งจึงไม่เคยซื้อเสื้อหรือของเด็กเก็บไว้แม้แต่ชิ้นเดียว กลัวว่าถ้าซื้อไปแล้วจะเสียใจ ทำให้น้องเทพต้องใส่เสื้อของโรงพยาบาลกลับบ้านค่ะ (หัวเราะ)

“ผึ้งเชื่อว่าเขาเป็นอภิชาตบุตรมาเกิด เพราะตั้งแต่ท้องจนคลอด ผึ้งไม่เคยมีอาการแพ้ท้องหรืออาเจียนเลยแม้แต่ครั้งเดียว อาการตะคริวหรือนอนหงายไม่ได้ก็ไม่เคยเป็น เรียกว่าเป็นปกติทุกอย่างจนวันคลอด ลูกก็ไม่เคยดิ้นเลย แต่หมอก็ไม่ได้บอกว่าลูกมีปัญหาอะไร จนช่วงสัปดาห์ที่ 36 หมอบอกว่าครรภ์เป็นพิษให้รีบไปแอดมิตที่โรงพยาบาลแล้วผ่าคลอด

“ผึ้งไปขอฤกษ์วันเวลาเกิดของน้องเทพจากพระที่ครอบครัวเรานับถือ พร้อมกับให้พระท่านตั้งชื่อไว้เรียบร้อยแล้ว ผึ้งเลือกวันศุกร์ เพราะพระท่านบอกว่าเขาจะรักแม่มาก (ยิ้ม) ส่วนฤกษ์เวลาคลอดพระท่านให้ 3 ฤกษ์คือ ฤกษ์แรกเขาจะเติบโตยิ่งใหญ่ ประสบความสำเร็จในชีวิต เป็นถึงระดับนายกรัฐมนตรีหรือมหาเศรษฐี ฤกษ์ที่ 2 เป็นชาวบ้านธรรมดา แต่มีความสุข และฤกษ์ที่ 3 เขาจะได้เป็นนักบวช”

คุณผึ้งเลือกฤกษ์ไหนคะ

“ฤกษ์ที่ 2 ค่ะ เป็นชาวบ้านธรรมดา แต่มีความสุข เพราะผึ้งไม่คิดว่าลูกต้องรวย ต้องดัง ต้องยิ่งใหญ่ เพราะเราเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้มันไม่ใช่ความสุขที่แท้จริงการมีชื่อเสียงอาจเป็นความภูมิใจของครอบครัว แต่ไม่ใช่สำหรับตัวเขา เพราะเขาต้องลำบากกว่าจะไปยืนตรงจุดนั้นได้

“เมื่อถึงตอนคลอด น้องเทพไม่ร้องเลย จนผึ้งขอคุณหมอให้ช่วยดูหน่อยว่าเขาเป็นใบ้หรือเปล่า แล้วเขาลืมตาช้ามากด้วย ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์จึงลืมตา เราก็กลัวเขาตาบอดอีก อาจเป็นเพราะผิดหวังสะสมมาตลอด4 ปี จนทำให้ไม่เชื่อว่าตัวเองจะมีลูกได้ แม้จะคลอดออกมาแล้วก็ยังไม่เชื่อว่าเขาจะรอด ทำให้ผึ้งระแวงไปหมด ขนาดอุ้มลูกยังไม่กล้า กลัวเขาคอหัก โชคดีที่ผึ้งมีสามีที่ดีมาก เขาช่วยเลี้ยงลูกโดยไม่เคยเกี่ยง อาบน้ำให้ลูก เปลี่ยนแพมเพิร์สให้ ถ้าเทพร้องกลางดึกเขาจะเป็นคนลุกขึ้นไปดูว่าลูกเป็นอะไรโดยไม่เกี่ยงงอน พี่ล้ำไม่เคยบ่นว่าทำไมผึ้งนอยด์ขนาดนี้ เพราะเขาเข้าใจในความกังวลจากการผิดหวังมานานของเรา ดังนั้น

อะไรที่ทำได้ เขาเป็นธุระจัดการหมด รวมทั้งใส่ใจลูกทุกอย่าง คอยถ่ายวิดีโอถ่ายรูป ไปไหนไปกัน เขาก็เชื่อเหมือนผึ้ง คือทุกวันลูกโตขึ้น ลูกไม่ใช่เด็กคนเดิมของเมื่อวาน เพราะฉะนั้นถ้าเป็นไปได้ เราไม่อยากพลาดสักโมเมนต์ของลูก จึงบันทึกทุกอย่างที่ทำได้ อีกหน่อยเขาโตขึ้น เขาจะได้รู้ว่าพ่อแม่รักเขามากแค่ไหน”

อัพเดตพัฒนาการของน้องเทพสักนิดค่ะ

“ครอบครัวเราเป็นครอบครัวเล็ก ไม่ได้มีปู่ย่าตายายมาสอนว่าต้องเลี้ยงลูกแบบไหน และก็ไม่อยากเปิดตำรา ต้องบอกว่าเราเลี้ยงเขามาตามสัญชาตญาณเคยปรึกษากับพี่ล้ำว่าจะเอายังไงดี…งั้นเราเลี้ยงลูกในแบบของเรา คือให้เขาได้สัมผัสธรรมชาติเยอะๆ แล้วให้ธรรมชาติเป็นฝ่ายสอนเขาเอง ผึ้งพาเข้าโรงเรียนอินเตอร์ Purple Elephant ซอยทองหล่อ ตั้งแต่อายุขวบครึ่ง เพราะคิดว่าทั้งพ่อและแม่ออกไปทำงาน ไม่มีใครสามารถลาออกมาเป็นพ่อหรือแม่ฟูลไทม์ เวลาระหว่างนั้นให้ลูกได้มีพัฒนาการที่ถูกต้องที่โรงเรียนดีกว่าอยู่บ้านให้พี่เลี้ยงดูแลอยากให้เขาไปเจอครู มีสังคมกับเพื่อนวัยเดียวกัน

“เราต้องไม่ลืมว่าจริงๆ แล้วพ่อแม่ทุกคนก่อนที่ลูกจะเกิดมานั้น สิ่งที่ขอคือขอให้มีอวัยวะครบ 32 ก็พอ ไม่ได้หวังอะไรไกลกว่านั้น ผึ้งกับพี่ล้ำก็เช่นกัน เมื่อลูกคลอดออกมา สิ่งอื่นๆ ที่เกินจากนี้คือโบนัสชีวิต เราไม่เคยเทียบลูกเรากับลูกคนอื่น ไม่เคยกดดันลูกหรือกดดันตัวเอง แม้แรกๆ น้องเทพจะมีพัฒนาการช้าบ้างในบางเรื่อง แต่เชื่อว่าเดี๋ยวเขาก็ทำได้ เพราะเด็กทุกคนมีความพิเศษของตัวเอง

“ยามว่างครอบครัวเราชอบไปทะเล ทริปใกล้ๆ ก็ไปหัวหิน เทพจะได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ทุกครั้ง ได้รู้จักหอย อันนี้หอยเม่น อันตรายนะ ส่วนอันนี้ไม่อันตรายชื่อว่าอะไรบ้าง หรือการไปเที่ยวสวนสัตว์ ครั้งแรกเขาอาจจะยังไม่กล้าให้อาหารยีราฟ แต่พอครั้งถัดไปเขากล้ามากขึ้น ซึ่งการไปไหนแต่ละครั้งเราจะเห็นพัฒนาการของลูกอย่างชัดเจนว่าได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ จากธรรมชาติ ล่าสุดพาไปเชียงใหม่เทพได้ลองตำข้าว ขี่ควาย ขี่ช้าง ทำนา น้องเทพจึงคุ้นเคยกับธรรมชาติมากกว่าการใช้ชีวิตในเมือง ถ้าไม่มีเวลา ง่ายที่สุดคือเราไปสวนลุมพินีด้วยกัน ไปเดินสัมผัสธรรมชาติ ผึ้งแทบไม่พาเขาไปเดินห้างเลย เพราะคิดว่าไปช็อปปิ้งก็มีแต่เราที่มีความสุข เขาไม่ได้สนุกด้วย เคยมีครั้งหนึ่งนัดพี่แหน (คุณนันทวัน แสงธรรมกิจกุล) ไปช็อปปิ้ง โดยพาน้องเทพไปด้วย ปรากฏว่าเขาขอกลับบ้านท่าเดียว (หัวเราะ) เพราะไม่คุ้นกับห้าง

“ถ้าถามว่าอยากให้ลูกโตขึ้นเป็นอะไร ทั้งผึ้งและพี่ล้ำอยากให้เขาเป็นครู เพราะเรารู้สึกว่าอาชีพครูเป็นอาชีพที่มีเกียรติ มีแต่คนยกมือไหว้ เป็นอาชีพของการเป็นผู้ให้ ไม่ต้องไปต่อสู้กับใคร ถ้าเป็นหมอ เขาต้องเรียนหนักและลำบาก จึงอยากให้ลูกมีอาชีพที่มีเกียรติ เป็นผู้ให้และมีความสุขด้วย

“การเป็นแม่ในอายุ 47 ปีนั้นไม่ง่ายเลย ผึ้งมีข้อจำกัดมากมาย เราไม่มีแรงวิ่งไล่ตามเขาให้ทัน อุ้มเขาไปไหนไกลก็ไม่ไหว ยิ่งมาคิดดู เราจะมีเวลาอยู่กับลูกได้นานที่สุดแค่ไหน ผึ้งก็ตอบตัวเองเลยว่าถึงเวลาเปลี่ยนวิถีชีวิตตัวเองบ้างแล้ว กินอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้น ออกกำลังกาย วิ่ง เล่นโยคะ พี่ล้ำก็สนับสนุนให้กำลังใจตลอด เพราะเขาเองก็ชอบออกกำลังกาย จากคนที่ไม่เคยตรวจสุขภาพเลย มาเป็นตรวจสุขภาพแบบละเอียดยิบที่โรงพยาบาลทุก 6 เดือน เพื่อให้ร่างกายเราแข็งแรงมากที่สุด ได้อยู่กับเขาให้นานที่สุด

“จนกระทั่งเมื่อปีที่แล้วเจอก้อนเนื้อขนาด 3 เซนติเมตรที่เต้านม จึงทำการเจาะชิ้นเนื้อไปตรวจ พบว่าเป็นมะเร็งระยะที่ 1 ความคิดแรกคือคิดถึงลูก ตอนนั้นลูก 2 ขวบกว่า เราจะเป็นอะไรไม่ได้ แม่ต้องรอด ไม่ใช่เวลามานั่งฟูมฟาย คิดแค่ว่าต้องรักษาให้หายเท่านั้น เพราะลูกยังเล็ก จึงถามคุณหมอว่าต้องรักษาอย่างไร ได้คำตอบว่าต้องผ่าออกให้เร็วที่สุด”

แล้วคุณล้ำว่าอย่างไรคะ

“ตอนที่ทราบผลไม่กล้าโทร.หา กลัวเขาตกใจ รอเจอหน้าแล้วบอกว่าวันนี้ไปตรวจร่างกายมานะ เจอว่าเป็นมะเร็ง เขาก็บอกว่า เหรอ ก็ไปผ่าสิ ผ่าแล้วก็หาย คือเขาพยายามทำให้เราเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าเขาดราม่า เราก็ยิ่งดราม่า เขาอยากให้เรารู้สึกว่านี่คืออีกหนึ่งความป่วยไข้ มันรักษาได้ อย่าไปตระหนกกับมัน ยิ่งกังวลยิ่งเครียด มะเร็งก็อาจจะยิ่งลาม”

เมื่อถึงเวลาผ่าตัด กังวลมากไหมคะ

“สิ่งที่ผึ้งกังวลมากคือหลังจากผ่าตัดเสร็จเราต้องนอนโรงพยาบาลอย่างน้อย 3 คืน ห่วงว่าลูกจะนอนกับใคร เพราะตั้งแต่เขาเกิดมาก็ไม่เคยนอนแยกกันเลย จึงกลั้นใจถามคุณหมอว่าขอไม่นอนโรงพยาบาลได้ไหม เพราะกลัวลูกร้องหาตอนกลางคืน หมอบอกว่าโอเค ไม่เป็นไร กลับไปนอนดูอาการที่บ้าน ถ้ามีอะไรก็รีบมาโรงพยาบาลแล้วกัน วันนั้นเข้าผ่าตัดเสร็จตอนบ่าย พอฟื้นมาถึงจะเจ็บแค่ไหน ตกเย็นเราก็ยังยืนยันว่าจะกลับบ้านเลย

“จากนั้นก็เริ่มกระบวนการฉายแสง 50 ครั้ง ทุกวันตั้งแต่จันทร์ถึงศุกร์ติดกันเป็นเวลา 2 เดือน ผึ้งไม่มีอาการแพ้เลย ผมก็ไม่ร่วง อาจเพราะผึ้งเคยอดทนกับความเจ็บปวดมากๆ มาแล้วก็ได้ หลังจากผ่าตัดใหม่ๆ ผึ้งเดินไม่ไหว เพราะเจ็บแผลมาก แต่ยังต้องพาลูกไปเที่ยว ผึ้งใช้วิธีนั่งวีลแชร์ไป จะร้อน จะกระแทกกระเทือนแผลขนาดไหนก็ทนได้ เพราะไม่อยากหยุดทำหน้าที่แม่เลยแม้แต่วันเดียว

“เวลาลูกเล่น ผึ้งจะเล่นด้วยตลอด พี่เลี้ยงที่พาไปด้วยเพียงแค่ช่วยซัพพอร์ตเท่านั้น ผึ้งให้เวลากับเขามากที่สุด เวลานอนผึ้งจะพยายามพาเขาเข้านอนเองทุกครั้งที่อยู่บ้าน เพราะรู้สึกว่านี่เป็นหน้าที่ของเรา จะเรียกว่าผึ้งเป็นแม่หลงลูกก็ได้นะ (หัวเราะ) แม้จะไม่ได้อยู่กับลูกทุกวัน โชคดีที่นอกจากจะมีคุณพ่อแล้ว ผึ้งยังมีลูกบุญธรรมที่คอยเป็นอีกหนึ่งแรงในการช่วยดูแลน้องเทพ”

เล่าเรื่องลูกบุญธรรมให้ฟังหน่อยนะคะ

“เขาชื่อ ‘ซู่’ หรือ ‘อิซาน บานุชาลี’ เป็นเด็กชายชาวอินเดียที่แสดงเป็นหนุมานตอนเด็กในซีรี่ส์เรื่อง หนุมาน สงครามมหาเทพ ค่ะ ผึ้งได้ดูเขาแสดงแล้วรู้สึกผูกพันกับเขามาก พอดีรู้จักกับคุณแอน (คุณจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์) เจ้าของ JKN ที่นำเข้าซีรี่ส์นี้มาออกอากาศในเมืองไทย ทราบว่าเขาจะต้องบินไปพบซู่ที่อินเดีย จึงขอร่วมทริปไปด้วย บินไปเจอเขาอย่างนี้อยู่ 4 – 5 ปีจนรู้สึกผูกพันกัน ยิ่งเห็นว่าครอบครัวเขาลำบาก ผึ้งจึงตัดสินใจรับเป็นลูกบุญธรรม แล้วพามาอยู่เมืองไทยเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่แล้ว เขาเรียกเราว่าคุณพ่อคุณแม่ แล้วคอยดูแลน้องเทพอย่างดีมาก เหมือนเป็นน้องแท้ๆ”

ขออนุญาตถามถึงคุณล้ำบ้างนะคะ

“เป็นคนที่แม่เลือกให้ค่ะ ท่านบอกว่าผู้ชายคนนี้จะเป็นคนเดียวที่ทนผึ้งได้ (หัวเราะ) เพราะผึ้งเอาแต่ใจตัวเอง เนื่องจากเป็นลูกคนเล็ก อายุห่างจากพี่สาว 8 ปี จึงมีแต่คนเอาใจ เมื่อแม่เลือกให้เราก็โอเค ก็คบกับเขามาตั้งแต่อายุ 19 คบกันมาเรื่อยๆ ซึ่งก็เป็นจริงอย่างที่แม่พูดทุกอย่าง เขาใจดีและใจเย็น อยู่ด้วยแล้วมีความสุข ตั้งแต่เป็นแฟนกันจนทุกวันนี้กว่า 30 ปี เขาไม่เคยว่าผึ้งแม้แต่ครั้งเดียว คำน้อยก็ไม่เคยบ่น แม้จะไม่ค่อยพูดคำหวาน แต่เขาทำทุกอย่างให้เรารู้ว่ารัก โดยที่ไม่ต้องพูดอะไร เคยมีคนบอกว่าทุกความสัมพันธ์ต้องมีใครสักคนเป็นคนล้างจาน หรือต้องมีใครสักคนที่เสียสละ พี่ล้ำคือคนที่ทำหน้าที่นั้น เขาไม่ใช่แค่ล้างจาน แต่ทำกับข้าว ดูแลบ้าน ดูแลเมียและลูก คอยดูว่าผึ้งชอบอะไร ไม่ชอบอะไร เก็บดีเทลเล็กๆ น้อยๆ แล้วหามาให้ กระเป๋าสีไหนผึ้งยังไม่มี เขาหาซื้อมาจนได้ เชฟมิชลินร้านไหนอร่อยต้องพาไปชิม ผึ้งมีหน้าที่แค่เดินตาม นี่ก็เพิ่งรู้จากตัวแทนประกันชีวิตว่าพี่ล้ำทำประกันชีวิตให้ผึ้งเป็นผู้รับผลประโยชน์ คือถ้าเขาเสียชีวิต ผึ้งจะได้เงินประกันจำนวนมหาศาล เรียกว่าเยอะจนน่าตกใจ พี่ล้ำบอกว่าเขาเป็นห่วงว่าถ้าไม่มีเขาแล้วผึ้งจะลำบาก เขาเป็นคนที่ทำอะไรแบบ Behind the Scene เป็นผู้ชายที่ไม่ได้มาหาเสียงกับเราไงคะ (ยิ้ม) ทำทุกอย่างจากใจจริงๆ เป็นสุภาพบุรุษ ไม่รู้จะหาใครที่ดีกว่านี้ได้อีกแล้ว

“ความที่เขาเป็นคนสนใจด้านการลงทุน จบปริญญาโทด้านไฟแนนซ์โดยเฉพาะ จึงชอบเล่นหุ้น เทรดหุ้น ติดตามความเคลื่อนไหวของตลาดทุนเข้าขั้นหลงใหลเลย รายได้จากการเล่นหุ้นจึงเป็นอีกหนึ่งช่องทางที่ใช้ดูแลครอบครัว ถ้าเราออกปากอยากได้อะไร เขาให้หมดทุกอย่าง ผึ้งจะช็อปปิ้งหรือใช้เงินเท่าไรไม่เคยบ่นนะคะ (หัวเราะ) กลับส่งเสริมว่าถ้าจะซื้ออะไร ให้ซื้อแต่ของที่ดีที่สุด ถ้าเขามีเหตุต้องไปต่างประเทศคนเดียว ขากลับเขาก็จะมีของฝากติดมือมาให้ตลอด เหมือนมีเราไปด้วย เพราะถูกใจทุกชิ้น ล่าสุดเขาชวนไปดูเครื่องประดับไฮจิเวลรี่แบรนด์ Van Cleef&Arpelเขาตั้งใจซื้อให้เป็นของขวัญวันเกิดปีนี้ เลือกชิ้นที่มีเพียง ชิ้นเดียวในโลกให้ เพราะปีที่แล้วซื้อรถหรูให้เป็นของขวัญแล้ว พอมาปีนี้จึงเปลี่ยนมาให้จิเวลรี่แทน (แพรว แอบได้ยินว่าคุณล้ำสั่งรถหรูไว้ให้คุณผึ้งอีกคันแล้วด้วย)

“สำหรับเขา ลูกเมียต้องมาก่อน เขาใส่นาฬิกาอยู่เรือนเดียวคือ Garmin นาฬิกาสำหรับออกกำลังกาย แต่เขาซื้อนาฬิกาหรูให้ผึ้งใช้หลายเรือนมาก”

ถ้าให้ย้อนกลับไปมองชีวิตที่ผ่านมา อะไรที่ทำให้คุณผึ้งประสบความสำเร็จในทุกมุมของชีวิตในวันนี้

“ผึ้งเชื่อว่าคนเราอยู่ได้ด้วยความหวังและความฝัน ไม่มีอะไรที่เราทำไม่ได้ ถ้าเกิดคนอื่นทำได้ เราก็ทำได้เหมือนกัน ขอให้มีความศรัทธาในตัวเอง สิ่งนั้นก็จะเกิดผลสำเร็จ

“วันที่แม่เสีย ผึ้งสัญญากับตัวเองไว้ว่าจะไม่ยอมให้ตัวเองต้องเสียใจกับเรื่องอะไรมากอีกแล้ว ชีวิตที่เหลือต้องมีความสุข และใช้ชีวิตได้อย่างมีคุณค่าที่สุด ทั้งกับตัวเอง ครอบครัว ลูกน้อง และคนรอบข้าง

“ที่จริงจะบอกว่าทุกอย่างที่ทำมาเพราะเราแกร่ง เราอึด เราฮึดสู้ไม่ยอมแพ้อย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะเหนือสิ่งอื่นใดคือผึ้งได้รับการสนับสนุนจากสามี ตอนทำกิฟต์ผึ้งจะสู้ไม่ได้ขนาดนี้เลยถ้าขาดพี่ล้ำ แม้ทุกๆ เข็มที่จิ้มลงมา ทุกความเจ็บปวดที่เราเจอ เขาจะไม่ได้เจ็บเหมือนอย่างที่เราเจ็บ แต่ข้างในเขาเข้าใจเลยว่าความเจ็บปวดที่พุ่งเข้าหาเรารุนแรงขนาดไหน เราต้องอดทนแค่ไหน

“นอกจากหมอ คนที่อยู่ด้วยไม่เคยห่างก็คือสามีนี่แหละ เวลาเจ็บหนักมากๆหรือเจอเรื่องอะไรที่กดดันมากๆ มันจะไม่ใช่ ‘อดทนนะผึ้ง’ แต่มันคือ ‘อดทนไปด้วยกันนะผึ้ง’ เหมือนผึ้งเว่อร์นะ แต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ เขายังช่วยซัพพอร์ตธุระต่างๆ รอบตัว จัดการทุกอย่างให้หมด เราอาจเป็นคนท้องที่เจ็บทางกายหนักกว่าคนอื่น แต่เรื่องใจเรามีแต่ความสุข ยิ่งพอน้องเทพเกิดมา เราคิดว่ามันคือโมเมนต์ที่สุขที่สุดแล้วที่เรามีครบพ่อแม่ลูก แต่จริงๆ แล้วมันไม่ใช่เลย ความสุขที่ว่าไม่มีขั้นสุด มีแต่ความสุขเพิ่มขึ้นทุกวันๆ

“ผึ้งคิดว่าตัวเองโชคดีมากที่มีครอบครัวอบอุ่น แม้จะไม่ได้เป็นครอบครัวใหญ่ แต่เราเป็นครอบครัวตัวติดกัน เรามั่นใจได้ว่าวันที่เราเหนื่อย จะมีอีกคนที่พร้อมดูแลเรา ชีวิตเรามี Safty Net รองรับอยู่เสมอ ในขณะเดียวกันเราก็พร้อมเป็น Safty Net ให้กับเขา

“หลายคนอาจบอกว่าชีวิตคือการเดินทางไล่ตามความฝัน แต่สำหรับผึ้ง ทุกๆ เช้าที่ตื่นขึ้นมา บอกตัวเองเสมอว่าชีวิตนี้เราเดินทางมาไกลเกินกว่าที่ฝันไว้เสียอีก สิ่งที่เป็นอยู่ทุกวันนี้จึงเปรียบเสมือนโบนัสจากความเข้มแข็งและไม่ยอมแพ้ของเรา

“ผึ้งอยากบอกทุกคนว่า การจะมีชีวิตที่มีความสุขได้นั้นคือการลงทุน และเมื่อถึงเวลาที่ใช่ เราจะได้เก็บเกี่ยวผลลัพธ์ที่หว่านไว้ ขอแค่เราไม่ยอมแพ้ หรือหมดศรัทธาในตัวเองไปก่อน”

Praew Recommend

keyboard_arrow_up