แฟน Nippon Boy กรี๊ด! ซาคากุจิ เคนทาโร่ เปิดใจบทพระเอกครั้งแรกใน The 100th Love with You
ซาคากุจิ

แฟน Nippon Boy กรี๊ด! ซาคากุจิ เคนทาโร่ เปิดใจบทพระเอกครั้งแรกใน The 100th Love with You

ซาคากุจิ
ซาคากุจิ

ฮ็อตมากในหมู่สาวๆ เกาหลี สำหรับซาคากุจิ เคนทาโร่ นายแบบและนักแสดงชาวญี่ปุ่นวัย 25 ปี ที่เริ่มแผ่ความฮ็อตมาให้สาวไทยได้เห็นหน้าและกระชุ่มกระชวยใจไปเมื่อกลางปีที่แล้ว โดยครั้งนี้แฟนคลับสาวๆ ชาวไทยก็เตรียมกรี๊ดกันได้เลย กับการขึ้นแท่นพระเอกภาพยนตร์ครั้งแรกของซาคากุจิซังใน The 100th Love with You

เริ่มเข้าวงการมาได้ 2 ปี ซาคากุจิ เคนทาโร่ ก็ถือว่าเป็นดาวเด่นที่ได้รับโอกาสเข้ามาอย่างหลากหลาย ที่ไม่ใช่มีแค่งานเดินแบบ ถ่ายแฟชั่น แต่เขายังได้รับโอกาสทางการแสดงด้วย โดยระหว่างสัมภาษณ์นี้ ซาคากุจิซังได้พูดว่า “ผมชอบตัวเองแบบนี้” ซึ่งเป็นความรู้สึกจากใจจริง และนี่คือเหตุผลที่ทำให้ต้องมาพูดคุยกันในคราวนี้ รวมถึงอัพเดตผลงานภาพยนตร์ที่เขาได้รับบทเป็นพระเอกครั้งแรก เกี่ยวกับการย้อนเวลาเพื่อไปแก้ไขเรื่องราวบางอย่าง โดยภาพยนตร์เรื่องนี้มีแพลนฉายที่โรงภาพยนตร์ในไทยวันที่ 18 พฤษภาคม 2560

การมารับบทบาท “ทาคุ หนุ่มนักท่องเวลาที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเธอ”

ในภาพยนตร์ “The 100th Love with You” ต้องรับบทเป็น ฮาเสะกาวะ ริคุ นักศึกษาที่สามารถย้อนเวลาได้ โดยต้องใช้ความสามารถนี้ในการเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของหญิงสาวที่เป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเด็ก ฮินาตะ อาโออิ ที่รับบทโดย มิวะซัง ซึ่งเรื่องราวในภาพยนตร์นั้นเป็นเรื่องที่แต่งขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ตอนที่ได้อ่านบทครั้งแรกมีความประทับใจอย่างไรบ้างคะ

ซาคากุจิซัง: ตอนที่ได้อ่านบทมีความคิดมากมายเข้ามาในหัวครับ ทั้งเรื่องราวความรักระหว่างผมกับอาโออิที่เป็นใจความสำคัญของเรื่อง รวมถึงยังมีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการตั้งวงดนตรีขึ้นมาอีก ภาพยนตร์เรื่องนี้มีทั้งความเป็นนิยายวิทยาศาสตร์ตรงที่มีการเดินทางข้ามกาลเวลา อีกทั้งยังมีเรื่องราวในมุมมองที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ ก็เลยคิดว่าจะสามารถถ่ายทอดเรื่องราวทั้งสองด้านนี้ออกมาพร้อมๆ กันได้อย่างไรน่ะครับ

บทบาทนักศึกษาที่สามารถย้อนเวลาได้นั้นมีหลากหลายแง่มุม แล้วซาคากุจิซังตั้งใจจะถ่ายทอดบทบาทนี้ออกมาอย่างไร

ซาคากุจิซัง: ผมชอบบทของริคุที่มีใจให้อาโออิ คิดว่ามันเท่จริงๆ นะ อีกอย่างคือความเปลี่ยนแปลงทีละน้อยของตัวละครที่ต้องกุมความลับเอาไว้ ผมคิดว่ามันน่าสนใจมากที่จะแสดงออกมายังไงเพื่อจะสื่อสารกับผู้ชมได้อย่างชัดเจน โดยส่วนตัวคิดว่าการรับบทริคุทำให้สามารถแสดงอารมณ์ที่หลากหลายออกมาได้ครับ

ริคุเป็นคาแร็คเตอร์ที่เมื่อเห็นครั้งแรกจะสัมผัสได้ถึงความสมบูรณ์แบบและเท่ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม แต่ทว่าในความเป็นจริง สิ่งเหล่านั้นเกิดจากการย้อนเวลากลับไปทำใหม่อีกครั้งหนึ่ง ในการถ่ายทำรู้สึกสับสนบ้างไหม

ซาคากุจิซัง: ไม่ครับ เพราะแต่ละช่วงเราจะถ่ายทำแยกกัน ซึ่งก็จะต้องจำไว้ว่าฉากนั้นๆ ริคุกำลังเป็นยังไง และบางครั้งก็มีการไปเช็กกับทางผู้กำกับด้วย ในภาพยนตร์จะมีบทพูดประมาณว่าการย้อนเวลานั้นมันขี้โกง มันไม่เท่ ซึ่งคนจะมองว่าริคุนั้นไม่เท่ก็ได้ แต่ถ้ามองว่านั่นเป็นเสน่ห์ก็คงจะดีแหละครับ

ซาคากุจิซังเป็นคนที่มักจะให้ความรู้สึกว่ามีกำแพงกั้นในการเข้าหา แต่ว่าบทบาทในคราวนี้ตรงกันข้าม เพราะต้องทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อให้ผู้หญิงที่ตัวเองรักได้มีชีวิตรอด รวมถึงยังต้องร่วมวงดนตรีอีก แบบนี้สามารถปรับอารมณ์ให้เข้ากับความรู้สึกของริคุได้ทันทีเลยหรือเปล่าคะ

ซาคากุจิซัง: ตอนที่ได้รับบทนี้ผมจะรู้สึกอยู่เสมอว่าริคุเนี่ยสุดยอดไปเลย ถึงแม้ผมจะไม่พยายามเป็นริคุ เพราะมีด้านที่ยังไม่เข้าใจในตัวละครอยู่ อีกทั้งก็เป็นบทที่ต่างจากตัวผม แต่ว่าเพื่อให้ถ่ายทอดออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ผมก็เลยตั้งใจที่จะทำตัวเองให้ใกล้เคียงกับความเป็นริคุมากที่สุดครับ

พอมองรวมๆ แล้ว เหมือนกับว่ากำลังถ่ายทำโดยสะท้อนภาพของตัวเองออกมาเลยนะคะ

ซาคากุจิซัง: นั่นสินะครับ เพราะโดยส่วนตัวก็คิดว่าไม่อยากแสดงด้านที่เจ็บปวดจนล้นเกินไป เพราะอย่างไร ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เน้นที่เรื่องราวความรักเป็นหลัก แต่ว่าช่วงที่ได้แสดงฉากที่เผยความรักที่มีต่ออาโออิต่อหน้านั้นมีจริงๆ แค่ประมาณ 5 – 6 นาทีเท่านั้น ก็เลยตั้งใจที่จะสื่อสารความรู้สึกรักออกมาอย่างแข็งแรงที่สุด จึงต้องตั้งใจฟังผู้กำกับอย่างระมัดระวังยังไงล่ะครับ

เบื้องหลังฉากชวนจิกหมอน “พอได้แสดงแล้วดีกว่าที่คิดมากๆ” 

ด้วยความสามารถที่มีอยู่อย่างล้นเหลือของมิวะซัง ทำให้ลดช่องว่างระหว่างกันในระหว่างที่ต้องแสดงฉากชวนจิกหมอนลงได้มาก ฉันคิดว่าผู้กำกับสึคิคาวะ โช คงคิดในใจว่า “อยากให้ซาคากุจิซังทำแบบนี้จังเลย” อะไรแบบนี้แน่เลยค่ะ

ซาคากุจิซัง: คุณผู้กำกับมองผมด้วยสายตาอย่างกับผู้หญิง ทำเอาผมใจเต้นตึกตักๆ เลยละ (หัวเราะ) และหนึ่งฉากเล็กๆ ที่น่าสนใจก็คือฉากที่ผมต้องเข้าไปจูบอาโออิจากด้านหลังบนบันได แล้วก็ค่อยๆ เอี้ยวตัวมาจนสายตาประสานกัน ผมก็เล่นไปตามบทนั่นแหละครับ แต่บางทีก็แอบคิดว่าถ้าทำจากข้างหน้าตรงๆ จะชวนให้ใจเต้นกว่านี้หรือเปล่านะ

มีเรื่องแบบนั้นด้วยเหรอคะเนี่ย

ซาคากุจิซัง: ทั้งผมและผู้กำกับต่างก็เป็นผู้ชายทั้งคู่ใช่ไหมล่ะครับ ก็เลยเกิดอาการแบบ “จะเอายังไงดีหนอ…” ทีนี้ คุณผู้กำกับก็เลยไปถามสต๊าฟที่เป็นผู้หญิงว่า “เอาแบบไหนดี” ซึ่งทุกคนก็ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “เอาจากด้านหน้าตรงๆ เลยดีกว่า” สุดท้ายก็เลยเปลี่ยนมาเป็นด้านหน้าแทน

(หัวเราะ)

ซาคากุจิซัง: พอได้ทำ ผมก็พูดกับตัวเองว่า “กะแล้ว แบบนี้อย่างหล่อเลยจริงๆ” (หัวเราะ) ในทางกลับกัน ถ้าเกิดเป็นถูกคนอื่นชม ผมก็คงต้องพูดประมาณว่า “ไม่หรอก น่าอายออก” ละนะ แต่ว่าคุณผู้กำกับก็ชอบอกชอบใจมาก ถึงขนาดบอกว่า “ผมไม่อยากสั่งคัทเลยจริงๆ เพราะรู้สีกถึงอารมณ์ที่ซาคากุจิคุงส่งออกมาได้เลย” ในใจผมก็พลางคิดว่า “จะไม่คัทจริงๆ น่ะเหรอ…” (หัวเราะ) ซึ่งนั่นก็เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึก “ขอบคุณมาก” จริงๆ ที่สั่งครับ

พอได้ยินว่าสั่งคัทไม่ได้ง่ายๆ แบบนี้ ฉากจูบบนบันไดก็เลยค่อนข้างใช้เวลานานเลยสินะคะ

ซาคากุจิซัง: ใช่เลยละครับ สูบพลังชีวิตผมไปเสียเยอะเลย (หัวเราะ) คือผมต้องใช้มือข้างเดียวจับมิวะเอาไว้ด้วยไง แล้วก็ให้ใครที่ไหนมาช่วยไม่ได้ด้วย เพิ่งเคยรู้สึกว่าตัวเองแก่ก็หนนั้นหนแรกนี่แหละครับ ในฉากจูบนั้นมันไม่ได้ใช้เวลาถ่ายแค่หนึ่งหรือสองวินาที แต่หลังจากจูบเสร็จก็ต้องรอให้กล้องค่อยๆ เคลื่อนผ่านอีก ผมก็เลยสงสัยและคิดในใจว่าจะดีไหมนะถ้าอยากให้ “เวลาแบบนี้หมดลง” น่ะครับ

ได้ยินมาว่าเพราะต้องฝึกซ้อมและร่วมวงดนตรีขึ้นแสดงกับนักแสดงคนอื่นๆ ทำให้ก่อเกิดเป็นมิตรภาพดีๆ ระหว่างการถ่ายทำขึ้นมาใช่หรือเปล่า

ซาคากุจิซัง: ใช่แล้วละครับ ถึงแม้ว่าทั้งผม ริวเซ (เรียว) และอิซุมิซาวะ (ยูคิ) จะเพิ่งได้เล่นดนตรีร่วมกันเป็นครั้งแรก แต่ช่วงก่อนที่จะเปิดกอง พวกเราก็ได้ไปซ้อมร่วมกันมานิดหน่อย และตอนที่ไปถ่ายทำกันที่โอคายามะ หลังจากที่ถ่ายกันจบผมก็นั่งอยู่ในสตูดิโอและคิดว่ามันเหมือนกับเป็นวงดนตรีจริงๆ ยังไงยังงั้นเลย ก็เลยเกิดเป็นความคิดประมาณว่า “พอเลิกเรียนจากมหาวิทยาลัยก็ได้เวลาเข้าสตูดิโอ” เพราะว่าถ้าได้เล่นด้วยความรู้สึกว่าเป็นเพื่อนกันแล้ว ก็จะทำให้เล่นได้ง่ายขึ้นน่ะครับ

ตารางชีวิตแน่นเอี้ยดขนาดนี้ รู้สึกเครียดบ้างหรือเปล่า 

ชีวิตในฐานะนักแสดง หลังจากได้รับโอกาสครั้งแรกในภาพยนตร์ “Shanti Days 365 Days, Happy Breath” ก็ผ่านมาเพียงแค่สองปีเท่านั้น แต่ในคราวนี้ต้องมารับบทนำร่วม คิดว่าแตกต่างจากสองปีที่แล้วยังไงบ้างคะ

ซาคากุจิซัง: แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ผมได้รับบทนำเต็มตัว แต่ความรู้สึกก็ไม่ได้เปลี่ยนไปมากเท่าไหร่หรอกครับ เพียงแต่ว่าสคริปต์ของตัวเองมันเพิ่มขึ้นก็เท่านั้นเอง

แบบนี้ก็เลยไม่รู้สึกกลัวเท่าไหร่สินะคะ

ซาคากุจิซัง: ถูกต้องเลยครับ เพราะว่ามันมีความรู้สึกว่า “ทุกๆ คนอยู่ตรงนี้ร่วมกับผม” คอยช่วยสนับสนุนตัวผมอยู่

เพราะได้เห็นคุณประสบความสำเร็จได้อย่างรวดเร็วขนาดนี้ ตอนที่ได้เห็นคุณในภาพยนตร์หรือจอโทรทัศน์ ก็ทำเอาคิดว่า “ซาคากุจิซังงานเยอะขนาดนี้ คงเหนื่อยแย่เลยแฮะ” รู้สึกอย่างกับคนเป็นพ่อเป็นแม่เลยละค่ะ (หัวเราะ)

ซาคากุจิซัง: ฮาๆๆ

ได้ยินว่าคุณจำเป็นต้องปลดปล่อยความรู้สึกในการแสดงออกมาเยอะมากๆ แต่ก็ยังคิดว่า “อยากจะค่อยๆ มีอารมณ์ร่วมกับงาน” อยู่สินะคะ

ซาคากุจิซัง: พูดตามตรง ในการแสดงมันก็ต้องใช้อารมณ์เยอะจริงๆ แต่ว่าบางครั้งก็รู้สึกเหนื่อย เลยคิดว่าน่าจะได้ใช้เวลาสักสัปดาห์ไปที่ไหนสักที่ ดูหนัง อ่านหนังสือ แต่สุดท้ายความรู้สึก “ช่างมันเถอะ” ต่อให้ไม่มีเวลามันก็มีมากกว่าน่ะครับ

ลำบากแย่เลยนะคะ

ซาคากุจิซัง: ยกตัวอย่างเช่น เรื่อง “The 100th Love With You” เราต้องยกกองไปถ่ายทำกันที่โอคายามะกันหนึ่งเดือนเต็ม แต่ว่าผมต้องกลับมาถ่ายละครที่โตเกียวหนึ่งวัน พอถ่ายหนังเสร็จในตอนเช้า ผมก็ต้องรีบขึ้นรถไฟด่วนเข้ามาถ่ายละครและให้สัมภาษณ์ที่โตเกียว เสร็จแล้วก็ต้องรีบกลับไปที่โอคายามะ ซึ่งด้วยตารางงานที่เป็นแบบนั้น ผมจึงไม่มีเวลานอนมากนัก แต่มันก็ผ่านไปได้ด้วยดีนะ ถึงแม้ตารางงานมันจะโหดเหมือนตกนรก แต่ก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองน่าสงสารอะไรขนาดนั้นครับ

นั่นเป็นเพราะว่าคุณเป็นคนคิดบวก แล้วก็รู้สึกสนุกไปกับงานที่ตัวเองรักหรือเปล่า

ซาคากุจิซัง: ก็คงจะอย่างนั้นแหละครับ แน่นอนว่าผมเครียดมากๆ แต่ก็มักจะคิดว่า “เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” ไม่อยากให้ความเครียดมาบั่นทอนตัวเองครับ

แม้ว่ายิ่งทำงานก็จะยิ่งมีประสบการณ์เพิ่มมากขึ้น แล้วคิดว่าการเป็นนักแสดงมีอะไรที่ยากบ้างหรือเปล่าคะ

ซาคากุจิซัง: ในทุกๆ การทำงานมันเป็นเรื่องยากหมดแหละครับ โดยส่วนตัวผมก็ยังรู้สึกว่ามันไม่ได้ยากน้อยไปกว่าช่วงเริ่มต้นใหม่ๆ เลยด้วยซ้ำ แต่ว่ามันกลับเป็นสิ่งที่ดี เพราะช่วยทำให้ผมอดทนสู้งานมาตั้งแต่แรก และก็คิดว่าการเคารพในตัวบทและผู้กำกับนั้นเป็นเรื่องที่สมควรทำ ตอนนี้ผมก็คิดว่าตัวเองมีอิสระในการจะทำอะไรมากขึ้นแล้วละมั้งครับ



เรียบเรียงโดย: Gingyawee_แพรวดอทคอม
ภาพ: สหมงคลฟิล์ม

Praew Recommend

keyboard_arrow_up