แพทย์หญิงของขวัญ

อย่าวิจารณ์ชีวิตใคร “เจ้าหญิงแอร์เมส” กับบทบาทคุณแม่ที่แซ่บเว่อร์วังอลังการตามคอนเซ็ปต์

แพทย์หญิงของขวัญ
แพทย์หญิงของขวัญ

หลังการประกาศแต่งงานสายฟ้าแลบปลายปี 2556 ของหมอรวยสวยแซ่บเว่อร์ “แพทย์หญิงของขวัญ” หรือที่ใครต่อใครให้ฉายาว่า “เจ้าหญิงแอร์เมส” กับหนุ่มเซอร์เจ้าสำราญ “ริชชี่ – เกรียงไกร วินธุพันธ์” หลังจากรู้จักกัน 24 วัน

แต่นั่นยังไม่สร้างความประหลาดใจให้พวกเขาเท่ากับวันที่รู้ว่า ตัวเองต้องเปลี่ยนบทบาทมาเป็นคุณพ่อคุณแม่ของลูกชายรูปหล่อวัยขวบเศษ “น้องไคล์เดน” ซึ่งเป็น “ของขวัญมีชีวิต” ที่สร้างวีรกรรมความรักให้เกิดขึ้นในครอบครัวอีกครั้ง

วันนี้แพรวพบกับ “แพทย์หญิงของขวัญ” ในบรรยากาศครอบครัว มีน้องไคล์เดนหน้าตาน่ารัก แก้มยุ้ยเป็นพวง เดินไปเดินมาชี้จะเอาโน่นนี่ แม้จะพูดได้บางคำ แต่แววตาแบบเด็กๆ ที่สื่อออกมาพอจะทำให้พี่เลี้ยงประจำตัวทั้งสองคนรู้ดีว่าเขาต้องการอะไร จึงช่วยหยิบให้ ทำให้หนูน้อยง่วนอยู่กับของชิ้นนั้นได้ชั่วครู่

มหัศจรรย์บ้านแห่งรัก

บ้านสีขาวสามชั้นครึ่งสไตล์โมเดิร์น ถูกออกแบบให้มีพื้นที่ใช้สอยรองรับสมาชิกทุกคนในครอบครัว แม้วันนี้เธอจะเป็นคุณแม่ลูกหนึ่ง สามีอีกหนึ่งแล้วก็ตาม แต่บอกเลยว่าดีกรีความแซ่บเว่อร์วังอลังการของเธอไม่ได้น้อยตามภาระความรับผิดชอบ แต่สิ่งที่ดูเหมือนเพิ่มเติมขึ้นมาเห็นจะเป็นความสุขุมและเข้าใจชีวิตมากขึ้นต่างหาก

“อาจเป็นการโตขึ้นอีกหนึ่งสเต็ปของเคทมั้งคะ คิดเยอะขึ้น อาจเพราะอิ่มตัวก็ได้ แต่ถามว่าแซ่บน้อยลงไหม เราก็ยังเป็นเรา ยังเป็นหมอเคทคนเดิมที่พูดตรง ชัดเจน เอเวอรี่ติงเหมือนเดิม เคทคิดว่าสิ่งที่คนเราเปลี่ยนยากที่สุดคือทัศนคติ เหตุผลในการคิดและการใช้ชีวิต แต่ที่เพิ่มเข้ามาคือความรับผิดชอบที่เราจะแพลนชีวิตให้เด็กคนหนึ่งอย่างไร เพราะตั้งใจมีลูกและสามีอย่างละหนึ่งคนเท่านั้น” เธอเล่าพลางหัวเราะชอบใจ ก่อนนำเราชมมุมต่างๆ ในบ้านที่เธอเล่าติดตลกว่าเป็นสไตล์มิกซ์แอนด์ไม่แมตช์ พร้อมกับหัวเราะน้อยๆ และว่า

แพทย์หญิงของขวัญ

“ต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่มิราเคิลมากๆ สำหรับบ้านหลังนี้ เพราะก่อนพบพี่ริช เคทเคยมาดูบ้านหลังนี้กับแฟนเก่า เห็นแล้วชอบเลย เป็นสไตล์ตกแต่งที่ชอบ เคยคิดจะซื้อ แต่ในที่สุดไม่ได้ซื้อ เพราะแม่เคทบอกว่าเป็นผู้หญิงอยู่บ้านคนเดียวอันตราย ถ้าอยู่คอนโดยังมีคนเข้า – ออกตลอดเวลา ก็เลยจบเรื่องจะซื้อบ้านหลังนี้ไป จนมารู้จักพี่ริช คุยกันได้สองวัน เขาส่งแบบบ้านหลังนี้มาให้ดู เผื่อได้ใช้บ้านหลังนี้ร่วมกัน ปรากฏว่าเป็นแบบบ้านหลังนี้ที่เคทเคยมาดูไว้นั่นเอง

“ช่วงแรกที่คบกันจึงตกลงกันว่าบ้านใครคนนั้นแต่ง อีกคนห้ามมีปากเสียง เพราะถ้ามายุ่งเรื่องแต่งบ้านเดี๋ยวไม่จบ ให้ลิสต์มาว่าอยากได้อะไร เช่น เคทอยากได้ตู้ใส่กระเป๋า Birkin วอล์คอินคลอเสตใหญ่หน่อย คอนโดเคทก็เหมือนกัน พี่ริชไม่ยุ่ง บอกแค่ว่าขอตู้เสื้อผ้าหนึ่งใบ ทีวี และระเบียงนั่งเล่นกีตาร์ ส่วนจะแต่งคอนโดสไตล์ไหนอย่างไร เขาไม่ยุ่ง ชอบแบบไหนแต่งไปเลย เพราะเคทชอบสไตล์ Jo Malone, Barbara Barry ส่วนพี่ริชชอบแนวมิราเคิลอินเดีย แต่หลังจากอยู่บ้านหลังนี้ ทำให้เราตกลงกันใหม่ว่าอีกไม่ช้าเราจะซื้อที่ดินย่านสุขุมวิท สร้างบ้านแล้วช่วยกันแต่ง จึงต้องแชร์กันว่าแต่ละคนอยากได้อะไร

“ความพิเศษของบ้านหลังนี้คือ ไม่ว่าอยู่มุมไหนในบ้านสามารถเปิดเพลงจากไอโฟนเชื่อมลำโพงบลูทูธได้ทุกชั้น เพราะพี่ริชชอบฟังเพลงมาก ส่วนห้องรับแขกแต่งแนวอาหรับหน่อยๆ มีที่ดูดควันฝังไว้เยอะมาก ทั้งหลังมีที่ดูดควันและกลิ่นรวม 50 ตัว เป็นงบประมาณที่ใช้กับบ้านหลังนี้เป็นอันดับสองรองจากลำโพง เขาชอบนั่งเล่นกีตาร์ ฟังเพลงกับเพื่อนๆ ในห้องนี้ แต่ถ้าถามว่าเคทชอบส่วนไหนของบ้าน คงเป็นห้องน้ำในห้องนอนชั้นสอง เพราะเป็นสไตล์ที่ชอบ

ห้องนั่งเล่น

“ส่วนตู้เก็บกระเป๋าเบอร์กิ้นของเคทสร้างครึ่งปีถึงเสร็จ เพราะกระจกรับน้ำหนักกระเป๋าได้น้อยมาก วางไม่เท่าไหร่แตกอยู่นั่นแหละ จึงต้องเปลี่ยนเป็นเทมเปอร์กลาสอย่างหนา ประตูห้องทำเหมือนเซฟธนาคาร มีเครื่องสแกนลายนิ้วมือ เฉพาะลายนิ้วมือเคทเท่านั้นถึงจะเปิดได้ ภายในห้องมีกล้องวงจรปิดระบบอินฟราเรด หากมีอะไรเคลื่อนที่ผ่านหรือมีการสั่นสะเทือน จะมีการส่งสัญญาณไปที่โทรศัพท์มือถือเคทและสถานีตำรวจ ที่ต้องรักษาความปลอดภัยขนาดนี้เพื่อจะได้นำกระเป๋าทั้งหมดเก็บไว้ มีที่ดูดควันเปิดตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อระบายอากาศในห้องให้อุณหภูมิพอเหมาะ

“ครอบครัวเราพักบ้านหลังนี้เฉพาะเสาร์ – อาทิตย์ นอนทิ้งตัวขี้เกียจได้ ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ วันอาทิตย์จะเป็นวันครอบครัว ส่วนวันเสาร์เป็นวันที่พาไคล์เดนไปเล่นที่โรงเรียน เหมือนการเริ่มฟาสต์แทร็ก เรียนเอบีซีกับครูฝรั่ง โดยมีพ่อและแม่สลับกันเข้าห้องเรียนกับลูกครั้งละหนึ่งคน เขาจะได้ฟังครูเล่านิทาน เราพาไปเพื่อให้เขารู้ว่ามีเด็กคนอื่นในโลกใบนี้ด้วย ได้รู้ว่าโลกใบนี้กว้างใหญ่ ไม่ใช่แค่ห้องสี่เหลี่ยม แรกๆ เห็นหน้าครูฝรั่งขอ Give me five ไคล์เดนตกใจ ไม่กล้า แต่เดี๋ยวนี้เหรอ พอเจอครูให้ Give me five ทันที

“ทุกวันอังคารน้องชายเคทจะมารับไคล์เดนไปว่ายน้ำกับ ‘น้องเพนกวิน’ ลูกสาว อายุประมาณ 5 เดือน เพราะฉะนั้นไคล์เดนได้เจอน้องอาทิตย์ละครั้ง ส่วนวันอาทิตย์เราสองคนได้เล่นกับลูกช่วงเช้า พอตกค่ำต้องมีเวลาคู่รัก ชวนกันหนีลูกไปดูหนังหรือไม่ก็กินข้าวกันสองคน ปัญหาใหญ่มากสุดของเคทกับพี่ริชคือกินอะไรดี ทุกวันนี้ต่างคนต่างทำการบ้าน สลับกันคิดและตัดสินใจว่าจะไปกินข้าวร้านไหน ห้ามเป็นร้านเดิม เพราะไม่ได้ใช้ความคิด ถ้าไปกินแล้วไม่อร่อยก็โดนเบลมกันไป” เธอเล่าพร้อมกับยิ้มกว้าง ชีวิตในวันที่มีเราสามคนจนถึงวันนี้ หมอเคทใช้ชีวิตแต่งงานเกือบ 3 ปีแล้ว ถ้าถามว่าทำให้ชีวิตเธอเปลี่ยนไปอย่างไร คำตอบที่ได้คือ

Hermès Birkin Bag

“ก่อนแต่งงานเคทมีลิสต์ยาวมาก ถึงจะไม่ได้สวย แต่เลือกเยอะเว่อร์ นี่นั่นโน่น สุดท้ายแต่งกับใครไม่ได้ วันที่พูดเรื่องแต่งงานกับพี่ริชกำลังมึนๆ คิดว่าแต่งๆ ไปเถอะ อยู่กันไม่ได้ก็หย่า ไม่ต้องคิดเยอะ เพราะมีงานวิจัยบอกว่าหลังแต่งงานคนเราจะเปลี่ยนไป แล้วจะศึกษากันก่อนแต่งทำไม สู้เรียนรู้กันใหม่หลังแต่งงานไปเลย แต่กลายเป็นว่าพอแต่งงานเสร็จงงทั้งคู่ เหมือนเทพเจ้าพบกับนางพญาผมขาว ปรับตัวกันจนมึน

“ช่วง 6 เดือนแรกยังเป็นช่วงฮันนีมูน เดินทางไปต่างประเทศเยอะมาก พี่ริชคิดว่าตัวเองแรงแล้ว เขาไม่เคยเจอผู้หญิงแรงเลเวลไม่ปกติอย่างเรา ทำเอาอ้าปากค้าง ถึงขั้นบอกว่าเคทเป็น Immortal ไม่มีวันตาย ประมาณว่าถ้าเครื่องบินตก เคทจะเป็นคนเดียวที่หลุดออกมาแล้วรอดชีวิต หรือถ้าเคทวิ่งเข้าไปในฝูงกูปรี เหล่ากูปรีจะแหวกทางให้ เพราะเคทแข็งแกร่งขนาดนี้ ไม่มีวันตาย ถ้าตายคงตายไปนานแล้ว” เธอเล่าประกอบท่าทาง ทำเอาวงสนทนาหัวเราะกันสนุก

“สิ่งที่ต้องปรับตัวเยอะที่สุดคือ เดิมเราสองคนยังไม่คิดจะมีลูก จึงทั้งฉีดและกินยาคุม แต่กลายเป็นว่าแต่งงานเข้าเดือนที่ 6 ได้น้องไคล์เดนมา พอรู้ว่ามีลูก พี่ริชสตั๊นท์เหมือนกัน จะท้องอะไรง่ายขนาดนั้น น้องชายเคทแต่งงานเป็นปี ภรรยายังไม่ท้องเลย เพื่อนทำกิฟต์ยังหลุด อายุเราไม่ได้เด็กแล้ว ขอให้ท้องเหอะ เพราะฉะนั้นแค่ครั้งเดียวจะเป็นไปได้อย่างไร ไม่มีทาง แต่แล้วจู่ๆ แม่พี่ริชส่งวอยซ์เข้ามาในไลน์กลุ่มแฟมิลี่สองครอบครัวว่าท่านฝันว่าเคทท้อง ทั้งพ่อแม่เคทและน้องชายทุกคนโทร.ถามหมดว่าท้องเหรอ เคทบอกว่ายังหรอก ยังคุยกับพี่ริชว่าถ้าท้องมีฮา

แพทย์หญิงของขวัญ

“จนวันหนึ่งพี่ริทแวะร้านขายยา เนื่องจากถูกแม่ทัก เลยซื้อที่ตรวจปัสสาวะมา 5 อัน เผื่อของคุณภาพไม่ดี เวลาเนิ่นนานผ่านไปโดยที่จำอะไรไม่ได้ มีวันหนึ่งบริษัทยาเตรียมนำยามาให้เคทลองใช้ก่อนนำมาใช้ในคลินิก เคทเห็นที่ตรวจครรภ์ก็เลยลองตรวจก่อน เพื่อความสบายใจ ไม่ได้คิดอะไรมาก ปรากฏว่าขึ้นสองขีดแดงแจ๋ เท่านั้นแหละเคทกรี๊ด ตะโกนเรียกพี่ริชยาวเหมือนท้องไม่มีพ่อ ราวกับโลกมืดหูดับ ส่วนพี่ริชสตั๊นท์ อุปกรณ์เสียหรือเปล่า เอาอีก 4 อันมาวางเรียง ผลออกมาเหมือนกัน

“จากนั้นเราสองคนปลอบใจตัวเองว่าอย่าเพิ่งบอกใคร ใจเย็นๆ ไปตรวจที่โรงพยาบาลอีกรอบ ทั้งที่เคทเป็นหมอ รู้ดีว่าการตรวจปัสสาวะผลที่ได้ออกมาคือ 98 เปอร์เซ็นต์ แสดงว่าฮอร์โมนต้องสูงมากจึงออกมากับปัสสาวะ แต่กลายเป็นว่าเคทลืมทุกอย่าง เจาะเลือดผลขึ้นมาเลยจ้ะ จ่ายสตางค์ไป 5,000 บาท เหมือนนั่งมึนในดงกล้วย ทำเยี่ยงไรดีล่ะโทร.หาแม่และน้องชาย ทุกคนดีใจ แต่เคทถามน้องชายว่าทำอย่างไรดี น้องชายบอกว่าก็อุ้มท้องและเลี้ยงลูกไง เพราะเคทแต่งงานแล้ว ทุกอย่างโอเค ทำอะไรไม่ได้แล้ว ก็ท้องไป แป๊บๆ เดี๋ยวก็ผ่านไป

“คิดดูว่าหลังจากแต่งงาน 6 เดือนท้องเลย จากสาวเปรี้ยวมาเจอพี่ริช คัลเจอร์ช็อกไปแล้วหนึ่งรอบ เพราะไม่เคยรู้จักหรือศึกษาอะไรกันเลย ยังตั้งตัวไม่ติด ท้อง ช็อกกันอีกคนละหนึ่งรอบ พี่ริชได้แต่นั่งเงียบๆ ที่ระเบียงคอนโดหนึ่งปีเต็ม ทำอะไรไม่ได้ (หัวเราะ) ส่วนเคทนั่งอยู่ในห้องนอนหนึ่งปีเต็มเพื่ออุ้มท้อง หายใจไม่ออก ง่วง ทำงานยันเดือนที่ 9 เลย ขนาดผ่าตัดคนไข้มือยังเอื้อมไม่ถึง เพราะติดท้อง แต่เคททำทุกอย่างเหมือนคนไม่ท้อง คิดในใจว่าถ้าติดง่ายขนาดนี้ไม่มีวันแท้งแน่นอน”

น้องไคล์เดน

“ไคล์เดน” THE GIFT FROM GOD

เมื่อครบกำหนดเธอใช้วิธีผ่าคลอด แต่ปัญหาที่ตามมากับคุณแม่มือใหม่คือ ตั้งตัวไม่ติด ไม่รู้จะรับมือกับลูกน้อยอย่างไร จึงใช้วิธีจ้างพี่เลี้ยง 3 กะเต็มแม็กซ์ ขณะเดียวกันตอนนั้นก็รู้สึกผิดนิดหนึ่งที่ไม่ได้เลี้ยงลูก

“จู่ๆ มีวันหนึ่งตื่นนอนขึ้นมาแล้วประจันหน้ากับกระเป๋าเบอร์กิ้น 200 ใบ ข้าวของที่ซื้อมาทุกอย่าง สลับกับมองหน้าลูก แล้วรู้สึกว่าเลี้ยงเด็กคนนี้ไม่ได้ ชีวิตเราไม่โอเคอีกต่อไป ทั้งที่เรามีทุกอย่าง การงานมั่นคง ลูกน่ารัก ข้าวของเงินทองเยอะแยะ เป็นมิลเลียนส์เกิร์ลที่ใครๆ อยากเป็น แต่เคทไม่รู้จะทำอย่างไรให้ตัวเองเดินลงจากเตียงแล้วมีความสุขได้ รู้สึกเศร้าลึกๆ ว่าจะเลี้ยงลูกอย่างไร คอยถามพี่ริชและน้องชายทุก 5 นาที เขาสองคนก็จะตอบเหมือนกันว่า ถ้าเคทเลี้ยงไม่ได้ แล้วคนนั้นคนนี้เขาเลี้ยงลูกได้อย่างไร ฟังทีแรกคิดเออออตามที่เขาพูด ผ่านไป 2 นาทีเคทถามคำถามเดิมอีกแล้ว เขาก็จะตอบเหมือนเดิม

“อีกอย่างหนึ่งคือถ้าเคทตัดความสัมพันธ์กับใคร ต่อให้เขาเป็นแฟนน่ารักขนาดไหน คบมานานเท่าไหร่ เคทสามารถตัดได้ทันทีแล้วลืมเลย ไม่ได้รู้สึกเสียใจหรือหวนไห้ เพราะไม่มีต่อมถูกทำร้ายหรือต่อมชอบใครก่อน หรือรู้สึกว่าไม่มีคนนี้แล้วอยู่ไม่ได้ เพราะคิดเสมอว่าถ้าไม่มีคนนี้ อีกคนก็ได้นี่ ไม่ต่างกันมาก

“อาจเพราะรักตัวเองมากจนไม่เหลือความรักให้คนอื่น แต่พอวันนี้มีคนหนึ่งที่เราตัดเขาไม่ได้ จึงงงว่าจะทำอย่างไร เพราะเท่ากับเราไม่สามารถตัดความสัมพันธ์กับผู้ชายอีกคนหนึ่งได้ด้วย จึงเข้าใจแล้วว่าคำว่า ‘ลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจ’ คือความจริง ทีนี้พอชีวิตเปลี่ยนเร็ว ทำให้ปรับตัวไม่ทัน ตื่นเช้ามาไม่กล้าลงจากเตียง ลูกร้องไม่กล้าออกไปดู เกิดอาการซึมเศร้า อยากฆ่าตัวตาย จะได้จบๆ

“เคทมีอาการแบบนี้เกือบปี ต้องให้จิตแพทย์เยียวยา ซึ่งหมอบอกว่าเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน และอาการนี้จะหายไปเมื่อเราเริ่มคุ้นเคยและรู้ว่าชีวิตต้องมีลูก อย่ายึดติดอะไรมาก บวกกับฮอร์โมนลดลงด้วย และเราเป็นพวกเพอร์เฟ็คชั่นนิสต์ ต้องแพลนก่อนทำ แต่การมีลูกเป็นสิ่งที่อยู่นอกแพลน จึงกลายเป็นงงไปหมด ไม่ได้เตรียมบ้านและคอนโดสำหรับมีลูก วันไหนรู้สึกอยากนอนเน่าอยู่กับบ้านก็มีพี่เลี้ยงเดินไปเดินมา กินส้มตำในคอนโด ว้าย ตายแล้ว แต่เราจะไปให้เขากินที่ไหนล่ะ เขาอุตส่าห์มีครกและปูปลาร้าเป็นของตัวเอง มาถึงก็โป๊กๆ”

เธอเล่าพลางหัวเราะพลาง จนถึงวันนี้หมอเคทยังใช้บริการพี่เลี้ยงที่มีประสบการณ์เลี้ยงเด็กมานานกว่า 25 ปีในการดูแลลูกชายเหมือนเมื่อครั้งแรกคลอด ด้วยเหตุผลส่วนตัวว่า

แพทย์หญิงของขวัญ

“ถ้าคำว่าเลี้ยงลูกหมายถึงอาบน้ำ ป้อนข้าว ป้อนนม เคทไม่เคยทำเลย ให้พี่เลี้ยงทำหมด จะทำตัวเองให้ลำบากด้วยการเช็ดอึเช็ดฉี่ทำไม ในเมื่อจ้างคนมาทำได้ เราเพิ่งมีลูกคนแรก แต่พี่เลี้ยงมีประสบการณ์เลี้ยงเด็กมา 25 ปี จงเชื่อเขาเถอะค่ะ ตราบใดที่ลูกไม่อาเจียนหรือท้องเสีย ทุกวันนี้ไคล์เดนใช้ประกันไม่คุ้มเลย เพราะไม่เคยป่วย ไม่มีอาการโคลิก ไม่เคยร้องกวน แต่ถ้าถามว่าตอนนี้ลูกกินอะไร ไม่รู้เหมือนกัน เพราะเห็นกินทุกอย่าง

“การเลี้ยงลูกในความคิดเคทคือ ถ้าเราไม่เยอะ ลูกจะไม่เยอะ ถ้าเราเยอะ ลูกจะเยอะ เคยมีเพื่อนอ่านหนังสือโคตรเยอะ บังคับให้ลูกฝึกพัฒนาการ ทำอย่างนั้นอย่างนี้เยอะสิ่ง แต่เคทมีความคิดว่าคนเราถ้าไม่เป็นใบ้ 5 ขวบพูดได้แน่นอน หรือมีผู้ใหญ่คนไหนนั่ง เดิน หรือหยิบจับของไม่เป็นบ้าง แล้วทำไมต้องฝึกพัฒนาการใช้กล้ามเนื้อเล็กๆ จับนั่นนี่ เพราะทุกคนทำเป็น ไม่เห็นจำเป็นต้องเร่ง

“เลี้ยงลูกให้ง่ายก็จะง่าย เลี้ยงให้ยากก็จะยาก เคทเลี้ยงไคล์เดนให้โตตามปกติเลย และที่พูดกันว่าแม่ต้องป้อนข้าว อาบน้ำให้ลูกเพื่อให้ได้รับไออุ่นจากแม่ เดี๋ยวลูกไม่รัก เป็นสิ่งที่เคทไม่เชื่อ ขึ้นอยู่กับเราสอนมากกว่า เวลาที่มีคุณภาพยามได้อยู่กับลูกสำคัญกว่าปริมาณ ถ้าอยู่ด้วยกัน 5 ชั่วโมง แต่เป็นเวลาอาบน้ำ เช็ดอึ เปลี่ยนผ้าอ้อม ถือว่าไม่มีคุณภาพ แต่ถ้าใช้เวลากับเขาวันละหนึ่งชั่วโมงสอนเขาพูดภาษาอังกฤษ ทำผิดก็ตี ให้ยืนเข้ามุม และอธิบายให้เข้าใจ หนึ่งขวบใช้เวลาหนึ่งนาที สองขวบสองนาที ถึงเขายังพูดไม่ได้ แต่เขารู้และเข้าใจสิ่งที่เราสอน” ทุกวันนี้ทั้งหมอเคทและคุณริชจึงมีเวลาคุณภาพ ได้อยู่กับลูกวันละ 1 – 2 ชั่วโมงหลังเลิกงาน โดยที่ต่างคนต่างสลับกันทำหน้าที่

แพทย์หญิงของขวัญ

“พี่ริชเป็นสายแดนซ์ เล่นกีตาร์ ตีกลอง เพราะฉะนั้นช่วงเช้าและบ่ายไคล์เดนจะได้ฟังเพลงแร็พ หัวสั่นหัวคลอน ได้รับความฮาไป ส่วนเรามาสายวิชาการ พอตกเย็นไคล์เดนจะถือหนังสือมาหาแม่ วางหนังสือหน้าเราและนั่งตัก เคทก็จะสอนเขาด้วยภาษาอังกฤษ เพื่อให้รู้ว่าเป็น Study Time เป็นแม่ก็ทำหน้าที่แม่ คือสอนลูกให้เป็นคนดี ซึ่งเคทคิดว่าการเลี้ยงลูกแบบนี้มีประสิทธิภาพ”

BE MY WAY, MY OWN STYLE

ถ้าถามว่าวันนี้หมอเคทเลี้ยงลูกแบบไหน คำตอบที่ได้คือ เธอเลี้ยงลูกในแบบของเธอ โดยที่ผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายไม่มาเกี่ยวข้อง

“แม่บอกว่าเคทเดินมาไกลกว่าที่แม่เคยเดิน ทำได้มากกว่าที่แม่เคยทำ มีประสบการณ์มากกว่าที่แม่เจอเป็นร้อยเท่า ซึ่งชีวิตแม่ไม่เคยทำอย่างที่เคททำได้ เพราะฉะนั้นแม่เชื่อว่าเคทมีทักษะในการเลี้ยงลูก

“การที่เรามีลูกทำให้เราโตขึ้นอีกหนึ่งสเต็ป จากที่เคยซื้อทุกอย่างที่อยากได้ ซื้อจนไม่มีเหตุผล ไม่รู้สึกตื่นเต้นแล้ว เมื่อวันเกิดไคล์เดนที่ผ่านมา เคทจึงนำกระเป๋าเบอร์กิ้น 20 ใบออกขาย เพื่อหารายได้ช่วยเด็กที่ได้รับการผ่าตัดโรคปากแหว่งเพดานโหว่ เพราะถ้าเราช่วยเขาได้ตั้งแต่เด็ก คุณภาพชีวิตเขาจะดีไปตลอด นอกจากเป็นการแบ่งปันให้สังคมที่ให้ที่เรายืน ให้โอกาสเคท จากเด็กตัวดำปื้ดถือชะลอมมาจากชลบุรี ได้เป็นหมอของขวัญในวันนี้ ยังเป็นการสอนให้ไคล์เดนรู้จักการแบ่งปันด้วย

“ ‘โซโลมอน’ กษัตริย์ที่ฉลาดที่สุดในโลกเคยเขียนไว้ว่า ‘เวลาเราฝัดข้าว เปลือกข้าวลอยไปตามลม ดังนั้นที่ที่มันเคยอยู่ก็จะจำมันไม่ได้ และโลกเราก็จะหมุนเวียนไปแบบนี้ คือความอนิจจัง’ ในเมื่อโลกใบนี้คือละคร โรงละครเปิดแล้ว นักแสดงมาแล้ว คนอื่นมองเราอย่างไรไม่สำคัญ สำคัญว่าเราซึ่งเป็นนักแสดงคนหนึ่งบนโลกใบนี้จะแสดงบทบาทที่สร้างสรรค์หรือทำลาย เพราะนั่นคือ Your Choices

“ดังนั้นแพลนชีวิตตัวเองให้ดี อย่ายุ่งกับชีวิตคนอื่น อย่าวิจารณ์ใคร อย่าตัดสินใคร จงใช้ชีวิตตัวเองให้ดี และทำสิ่งดีๆ คืนสู่โลกก่อนจะจากไป”

 

ที่มา : คอลัมน์ STYLE EXCLUSIVE นิตยสารแพรว ฉบับที่ 892

Praew Recommend

keyboard_arrow_up