หลายคนขนานนามอาจารย์ว่า “เจ้าแม่ภัยพิบัติ” แต่เราขอใช้คำว่า “เจ้าแม่นักจัดการภัยพิบัติ”
เพราะจากเหตุการณ์ภัยพิบัติและโรคระบาดที่เกิดขึ้นในไทย ทั้งสึนามิ 2547, น้ำท่วม 2554, แผ่นดินไหวเชียงราย 2557, โควิด-19 2562 และล่าสุดแผ่นดินไหว 2568 ทุกเหตุการณ์ที่ว่ามา อาจารย์แก้ว-รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ลงสนามทุกครั้ง
โดยเฉพาะล่าสุดกับภารกิจกู้ชีวิตและซากตึกสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ที่ครั้งนี้อาจารย์รับหน้าที่ Disaster Manager หรือผู้จัดการภัยพิบัติ ด้วยคำพูดฉะฉาน ตอบสื่อตรงไปตรงมา ทำให้ได้รับคำชื่นชมและกลายเป็นไวรัลในโลกออนไลน์
ก่อนจะรับบทบู๊ อาจารย์เริ่มต้นอาชีพเป็นพนักงานบริษัทไอที จับพลัดจับผลูมาเรียนด้านภัยพิบัติ และเป็นคณบดีคณะรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ก่อนจะมาดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ในปัจจุบัน ซึ่งตลอด 3 ปีที่ผ่านมา ชีวิตคือการทำงาน ทำงาน และทำงาน เธอต้องทำงานวันเสาร์-อาทิตย์ รวมถึงช่วงกลางคืน หากมีเหตุใหญ่
อดสงสัยไม่ได้ว่า ชีวิตดำเนินด้วยหลักยึดอะไร ใจถึงสู้ขนาดนี้

ขึ้นชื่อว่า “ภัยพิบัติ” ไม่น่ามีใครอยากเจอ อะไรทำให้อาจารย์สนใจงานด้านนี้คะ
“ที่จริงไม่ได้สนใจสายนี้ตั้งแต่แรกค่ะ เดิมเรียนสายวิทย์มาตลอด เพราะที่บ้านอยากให้เป็นหมอ จนกระทั่งใกล้สอบเอ็นทรานซ์ รู้สึกว่าตัวเองเก่งด้านบริหารจัดการ ชอบทำกิจกรรมและชอบภาษามากกว่า จึงเบนเข็มมาเรียนคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พอเรียนจบก็ทำงานที่บริษัทระบบจัดการข้อมูลแห่งหนึ่ง กระทั่งวันหนึ่งทางคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้ตามตัวให้มาสอบเป็นอาจารย์ที่คณะ สอนอยู่สักพักก็ได้ทุนไปเรียนต่อปริญญาเอกที่ University of Pittsburgh ประเทศสหรัฐอเมริกา บังเอิญว่าอาจารย์ที่ปรึกษาเชี่ยวชาญด้านภัยพิบัติ ทั้งเรื่องแผ่นดินไหว พายุเฮอร์ริเคน สึนามิ จึงแนะนำว่า ยูลองเรียนเกี่ยวกับเรื่องภัยพิบัติสิ เพราะมีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ เคยทำงานด้านไอทีมาก่อน และยังจบรัฐศาสตร์ด้วย ซึ่งสามอย่างนี้เป็นองค์ประกอบสำคัญในด้านการจัดการในภาวะวิกฤต ด้วยความที่ถูกสอนมาว่าให้เชื่อฟังอาจารย์ จึงตัดสินใจเรียนคณะบริหารสาธารณะและนโยบาย โฟกัสเรื่องการบริหารจัดการภัยพิบัติ และเทคโนโลยีการสื่อสาร
“ช่วงที่ไปเรียนตรงกับปี 2000 ซึ่งอเมริกาเกิดเหตุการณ์ 9/11 ในปี 2001 พอดี อาจารย์ที่ปรึกษาก็ส่งไปหน้างาน ให้เรียนรู้วิธีการบริหารความเสี่ยง การประสานงาน ตอนนั้นได้เรียนรู้ระบบการทำงานของสำนักจัดการภาวะฉุกเฉินกลาง หรือ FEMA และได้มีโอกาสทำงานที่ศูนย์ภัยพิบัติแปซิฟิคที่สหรัฐอเมริกา ขณะเดียวกันอาจารย์ที่ปรึกษาก็มีคอนเน็คชั่นกับทางญี่ปุ่น จึงได้เรียนรู้ระบบการจัดการภัยพิบัติ ของญี่ปุ่นด้วย เรียนไปนานเข้าก็ชอบ เพราะเดิมชอบดูซีรี่ส์สืบสวนสอบสวนอยู่แล้ว รู้สึกว่าอาชีพนี้เหมาะกับบุคลิกของตัวเองดี”
เล่าประสบการณ์ลงพื้นที่จริงที่จำไม่ลืม ให้ฟังหน่อยได้ไหมคะ
“น่าจะเป็นช่วงเกิดสึนามิที่ประเทศไทยและอินโดนีเซียเมื่อปี 2547 บังเอิญเป็นช่วงใกล้จบที่กำลังเขียนวิทยานิพนธ์ อาจารย์ที่ปรึกษาบอกว่า ไหนๆ เกิดสึนามิแล้ว ไปทำเรื่องนี้ด้วยสิ จึงทำวิทยานิพนธ์หัวข้อ ‘การบูรณาการ การจัดการภาวะฉุกเฉิน’ ก็พอดีว่าเมืองไทยอยากจัดตั้งศูนย์เตือนภัยสึนามิ จึงขอความช่วยเหลือไปที่สหรัฐฯ ทางศูนย์ภัยพิบัติแปซิฟิคจึงให้อาจารย์และทีมลงพื้นที่ช่วยเหลือ ช่วงนั้นจึงมีโอกาสทำงานให้กับประเทศไทยที่ภูเก็ตและพังงา โดยเป็นหนึ่งในทีมวิจัยบินไปทั่วทั้งเมืองไทย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น อเมริกา ฮาวาย ซึ่งสุดท้ายคนไทยก็ทำสำเร็จนะคะ สามารถสร้างศูนย์เตือนภัยพิบัติได้ภายใน 5 เดือนหลังจากเกิดสึนามิ ทั้งๆ ที่ปกติต้องใช้เวลาสร้างศูนย์ฯ เป็นปี แม้ระบบอาจไม่เต็มร้อยเปอร์เซนต์ แต่ก็สามารถเตือนภัยได้
“ส่วนเรื่องที่จำไม่ลืมคือตอนลงพื้นที่จังหวัดพังงา เรารู้สึกใกล้ชิดเพราะบ้านของคุณแม่และคุณน้าอยู่ที่นั่น (ทุกคนปลอดภัยดี)วันหนึ่งอาจารย์ต้องไปที่วัดย่านยาว ซึ่งเป็นสถานที่เก็บศพในจังหวัด ถึงแม้จะจอดรถไกลจากวัดมาก แต่พอเปิดประตูรถปุ๊บสิ่งแรกที่ปะทะทันทีคือกลิ่นศพที่กำลังเน่า เนื่องจากถูกสอนมาว่า เวลาลงพื้นที่ต้องทำตัวเสมือนคนท้องถิ่น คนที่นั่นไม่ใส่หน้ากาก อาจารย์ก็ไม่ใส่ เขายืนแจกยาหม่องอยู่หน้าวัด อาจารย์ก็ไม่รับ จึงรับรู้ทุกอย่างได้ชัดมาก อย่างการเห็นคนหาบศพเดินผ่านไประยะประชิด และเป็นครั้งแรกที่เห็นศพเน่าโดยไม่มีฟอร์มาลีน ซึ่งส่วนใหญ่ถูกกระแทกจนช้ำและแช่น้ำเกลือในทะเลเป็นเวลานาน เพราะฉะนั้นสภาพและกลิ่นจึงรุนแรงมาก ความรู้สึกตอนนั้นอึดอัดและรับรู้ถึงความทุกข์ระทม เพราะด้วยสภาพศพ ทำให้ญาติที่มารอระบุตัวผู้เสียชีวิตดูหน้าไม่ออกว่าใช่คนในครอบครัวหรือเปล่า บรรยากาศจึงโหดมากในแง่ความรู้สึก
“หลังจากสึนามิที่พังงา ต้องบินไปที่เมืองอาเจะห์ ประเทศอินโดนีเซียต่อ เพราะที่นั่นโดนสึนามิเหมือนกัน อาจเพราะมีภูมิคุ้มกันจากเมืองไทย แม้อาเจะห์จะมีคนตายอยู่ที่หลักแสน แต่ก็ไม่รู้สึกมากเท่าตอนอยู่เมืองไทย ถึงอย่างนั้นสภาพบ้านเมืองที่อาเจะห์ก็โหดกว่ามากค่ะ เพราะนอกจากคนตายเยอะ มองไปทางไหนบ้านเรือนก็ได้รับความเสียหายจากแผ่นดินไหว ตอนที่อาจารย์กับทีมลงพื้นที่ เราถึงขั้นต้องขนน้ำสะอาดไปจากจาร์กาต้า เพราะกังวลเรื่องโรคระบาด เนื่องจากเวลามีคนตายหลักแสน เจ้าหน้าที่ไม่สามารถกู้ได้เร็ว ศพจะทับถมจนเกิดโรคระบาด ในขณะที่เราต้องใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น ช้อนส้อมจานชามก็ต้องถูกล้างจากน้ำที่นี่ มีความเสี่ยงสูงจึงต้องเตรียมน้ำไปเอง”
ตอนนั้นกลัวไหมคะ
“ที่กลัวคืออาฟเตอร์ช็อค (หัวเราะ) เพราะตอนอยู่ที่อาเจะห์ อาจารย์ต้องนอนอยู่บนชั้น 2 ของโรงแรม ที่กังวลเพราะรู้ข้อมูลมาเยอะว่าแผ่นดินไหวแบบนี้สามารถเกิดอาฟเตอร์ช็อคได้ ซึ่งที่จริงการรู้ข้อมูลก็เพื่อให้เตรียมตัว ไม่ใช่เพื่อกังวล จึงต้องใส่ชุดทำงานและรองเท้าพร้อมวิ่งโดยวางเป้ใส่ของไว้ข้างเตียง ส่วนตอนอยู่พังงาไม่กลัวนะ เพราะเป็นสึนามิที่เกิดในทะเลระยะไกล และตอนนั้นก็มีแถลงการณ์จากศูนย์สึนามที่ฮาวายแจ้งมาว่า เราจะไม่เจออาฟเตอร์ช็อคแน่นอน
“ส่วนผีหรือเรื่องลึกลับแม้จะมีคนเล่านู้นนี้อยู่บ้าง อาจเพราะจิตแข็ง และยังไม่เคยเจอ จึงตอบไม่ได้ว่ากลัวไหม แต่โดยรวมแล้วเวลาเจอศพ หรือความพินาศ ไม่ได้คิดมากอะไร เพราะยอมรับว่าเราเลือกทำงานด้านนี้ จึงเป็นเรื่องปกติที่ต้องเจอ”
แล้วฉายา “เจ้าแม่ภัยพิบัติ” มาได้อย่างไรคะ
“ผู้ที่ตั้งฉายานี้ท่านเสียไปแล้วค่ะ เป็นอาจารย์ที่คณะรัฐศาสตร์นี่แหละ ท่านทราบว่า ตั้งแต่ตอนที่อาจารย์ไปเรียนต่างประเทศ ก็เกิดเหตุการณ์ 9/11 หลังจากนั้นประเทศไทยก็เกิดสึนามิ ต่อด้วยสึนามิที่เซนได ยังไม่นับเหตุการณ์น้ำท่วมปี 2554 ซึ่งตอนนั้นอาจารย์ได้ทำงานร่วมกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จัดตั้งศูนย์อพยพที่มหาวิทยาลัยธรรมศาตร์ ท่านจึงแซวว่า ‘นี่มีดวงหายนะหรือเปล่า’ และพูดขำๆ กับคนอื่นว่า ‘ผมว่าเราจะต้องสถาปนา ให้อาจารย์ทวิดาเป็นเจ้าแม่ภัยพิบัติแล้วล่ะ เพราะตั้งแต่รู้จักกันมา ก็เกิดภัยพิบัติเยอะไปหมด…’ (หัวเราะ)
“ดูๆ แล้วที่ท่านพูดก็อาจจะจริง เพราะตั้งแต่มีภัยพิบัติมา สื่อก็เริ่มรู้จักเรามากขึ้น จนเป็นที่รู้กันว่าเมื่อไรประเทศชาติสงบสุข สื่อจะไม่เคยตามหาอาจารย์ทวิดา แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์น้ำท่วม แผ่นดินไหวที่เชียงราย สึนามิที่เซนได ดินถล่มที่สุมาตรา เหตุการณ์โควิด แม้กระทั่งแผ่นดินไหวครั้งที่ผ่านมา สื่อจะตามหาเรา เป็นการย้ำเตือนว่า จะพบอาจารย์ได้เฉพาะเวลาที่เกิดเรื่องเลวร้ายเท่านั้น แม้กระทั่งท่านผู้ว่าฯ ชัชชาติเองก็ตั้งฉายาใหม่ให้ขำๆ ว่า ‘เจ้าแม่หายนะ’ (หัวเราะ)

สำหรับเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งล่าสุด ทางกทม. และอาจารย์มีวิธีรับมือกับภาวะวิกฤตอย่างไรคะ
“โดยปกติเวลาเราทำงาน เราจะรับคำสั่งจากเจ้านายเพียงคนเดียวเพื่อไม่ให้เกิดความสับสน งานภัยพิบัติก็เช่นกัน ผู้นำต้องเป็นผู้กระจายงาน ซึ่งเจ้านายอาจารย์ก็คือ ท่านผู้ว่าฯ ชัชชาติ พอเกิดเหตุท่านผู้ว่าฯ ก็ออกคำสั่งว่า ‘แก้ว ตั้งศูนย์บัญชาการ!’ เราก็จัดการตั้งศูนย์ฯ ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร (เสาชิงช้า) ตั้งแต่วันแรกที่เกิดเหตุ และได้รับมอบหมายให้ประสานงานกับทั้งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, หน่วยงานราชการ และหน่วยงานต่างประเทศ รวมถึงดูแลความเรียบร้อยข้างในศูนย์ฯ ด้วย
“ส่วนบริเวณสำนักงานสตง. ความรับผิดชอบหลักจะอยู่ที่คุณสุริยชัย รวิวรรณ ซึ่งเป็นผู้อำนวยการสำนักป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย และคุณภัทร์กร สินสุข ผู้อำนวยการเขตจตุจักร ที่ต้องรับบทตัดสินใจเรื่องหนักๆ แต่ถ้าเป็นเรื่องที่ตัดสินใจยากมาก เช่น การลงพื้นที่ด้านในส่วนที่อาคารถล่ม ท่านผู้ว่าฯ จะลงพื้นที่หน้างานเพื่อช่วยตัดสินใจด้วย เพราะท่านเรียนจบวิศวะฯ จึงเชี่ยวชาญด้านโครงสร้างอาคาร
“สำหรับงานด้านนอกพื้นที่ประสบภัย เช่น การอนุญาตเรื่องคนเข้า-ออกพื้นที่ ไปจนถึงเรื่องสื่อมวลชน ท่านผู้อำนวยการเขตจะดูแล แต่ถ้าตัดสินใจยาก อาจารย์ต้องเข้าไปช่วยประสานงาน รวมถึงดูแลความเรียบร้อยในพื้นที่เกิดเหตุ เช่น การระบายน้ำ อย่างช่วงที่ฝนตก ทุกคนก็อยากระบายน้ำออก แต่อาจารย์จะคอยห้ามว่า ช้าก่อน น้ำตรงนี้ถูกขังอยู่ข้างใต้มานานและอาจเคยสัมผัสศพมา เสี่ยงต่อการเกิดโรคระบาดได้ ต้องผ่านการฆ่าเชื้อถึงจะปล่อยไปได้ ซึ่งหน้าที่นี้ในหลักวิชาการ จะเรียกว่า Disaster Manager คือผู้จัดการที่ต้องช่วยดูแลให้ทุกฝ่ายทำงานพร้อมกันได้
“เพราะฉะนั้นอาจารย์ไม่ใช่ผู้ออกคำสั่ง แต่จะรู้ทุกเรื่องและมีหน้าที่วิ่งเชื่อมทุกอย่างเพื่อให้ทุกคนสามารถทำงานพร้อมกัน แม้กระทั่งช่วงไหนที่อาจารย์ไปงีบหลับ ก็จะมีโค้ดลับกับทีมว่า ถ้าผ่านไปครึ่งชั่วโมง ทีมติดปัญหาไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามต้องโทรเรียก อย่างน้อยการมีตาเพิ่มอีกคู่ ก็ช่วยตัดสินใจได้
“ส่วนเรื่องการสัมภาษณ์สื่อ อาจารย์ไม่สามารถทำเองได้ ต้องได้รับคำสั่งเท่านั้น เล่าย้อนว่า พอเข้าวันที่ 2 ที่เกิดเหตุ ท่านผู้ว่าฯ ต้องไปประจำหน้างานที่อาคารถล่ม จึงฝากอาจารย์แถลงข่าวความคืบหน้าและแถลงข่าวรวมการเฉพาะกิจที่ศูนย์บัญชาการ ซึ่งหน้าที่เหล่านี้ทำเองไม่ได้นะคะ ต้องรอคำสั่ง นั่นเป็นการสัมภาษณ์สื่อครั้งแรก
“พอถึงวันที่ 3 ทีมกู้ภัยต่างประเทศเดินทางมาถึง อาจารย์ต้องทำหน้าที่ประสานงานให้กับทีมไทยเพราะต้องใช้ภาษาอังกฤษหลัก จึงขอท่านผู้ว่าฯ ไปประจำอยู่หน้างาน อยู่ไปสักพัก รองผู้อำนวยการ กทม. ซึ่งคือท่านปลัดกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเบอร์สองรองจากท่านผู้ว่าฯ โทรมาแจ้งว่า ต้องมีใครสักคนสื่อสารหน้างานกับสื่อ ซึ่งท่านผู้อำนวยการเขตให้อาจารย์สัมภาษณ์สื่อแทน จึงเกิดคลิปไวรัลขึ้นในวันนั้นค่ะ”
อีกหน่วยที่เป็นกำลังหลักในภารกิจครั้งนี้คือทีมกู้ภัย มีวิธีทำงานอย่างไรคะ
“ครั้งนี้มีทีมกู้ภัยหลายหน่วยที่มาช่วยเรา ทั้งทีมกู้ภัยจากต่างประเทศ ทีมไทยเองก็มีทหาร พลเรือน อาสาสมัคร มูลนิธิ และภาคเอกชน ซึ่งท่านผู้ว่าฯ เป็นผู้เชื่อมแต่ละทีมเข้าหากัน และช่วยดูการลงพื้นที่หน้างานด้วย
“โดยปกติทีมกู้ภัยจะแบ่งเป็น 3 ประเภทคือ ทีมค้นหาและกู้ภัยขนาดเบา (Light Team) ทีมค้นหากู้ภัยขนาดกลาง (Medium Team) และสุดท้ายคือทีมค้นหาและกู้ภัยขนาดหนัก (Heavy Team) คือลุยงานหนัก สามารถเคลื่อนพลเข้าพื้นที่ภัยพิบัติทั่วโลกได้ภายใน 72 ชั่วโมง และปฏิบัติการต่อเนื่อง 24 ชั่วโมง ซึ่งทีมกู้ภัยอิสราเอลที่มาช่วยเรา อยู่ในเครือข่ายของ USAR ระดับ Heavy มีเครื่องมือครบถ้วน
“สิ่งแรกที่ทีมอิสราเอลทำ คือขอคุยกับผู้รอดชีวิต เพราะต้องการรู้พฤติกรรมของคนในตึกก่อนเกิดเรื่อง เพราะแต่ละชั้นมีลักษณะการทำงานที่ต่างกัน เช่น งานฉาบ ทาสี ทำเหล็ก หรือปูน เขาอยากรู้ว่าท่าทางการทำงานของคนงานเป็นอย่างไร หากวิ่งจะวางของตรงจุดไหน วิ่งไปอย่างไร ใช้บันไดไหน และถ้าตึกเอียงคนจะเทไปทางไหน นี่คือผู้เชี่ยวชาญตัวจริง เมื่อเข้าไปในที่เกิดเหตุ เขาไม่ผลีผลาม ไม่เหยียบยอดตึกเด็ดขาดเพราะอาคารอาจไม่เสถียรและจะใช้เครื่องสแกนตรวจหาสัญญาณชีพแทนค่ะ เรื่องโชคดีในภารกิจนี้คือ เรามีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเหลือ ทั้งโดรน กล้อง CCTV สามารถมองเห็นการทำงานของทุกฝ่ายได้
“เพราะฉะนั้นเวลาคนภายนอกบอกว่า เราทำงานช้า อยากให้คิดว่า ถ้าบุ่มบ่าม รีบเอาเครื่องมือใหญ่เข้าไปช่วยทันที แล้วเครื่องมือล้มลงมาในระดับสูงราว 130 กว่าเมตร สถานการณ์จะยิ่งแย่กว่าเดิม เช่นเดียวกับที่สื่อพยายามให้อาจารย์พูดให้ได้ว่า ‘ผ่านไป 72 ชั่วโมงแล้วต้องกู้ซาก’ อาจารย์ไม่พูดค่ะ เพราะแม้ว่า 72 ชั่วโมงคือเวลามาตรฐานที่คนสามารถรอดชีวิตได้ แต่เรามีความหวังว่า อาจมีบางคนที่แข็งแรงสามารถอยู่นานกว่านั้นได้”
อุปสรรคสำคัญของภารกิจนี้ที่คนภายนอกไม่เข้าใจ คืออะไรคะ
“ใน 72 ชั่วโมงแรกของการค้นหาช่วยเหลือกู้ชีพ อุปสรรคประการที่หนึ่งคือ ต้องใช้ความระมัดระวัง เพื่อไม่ให้โครงสร้างถล่มซ้ำ หรือเคลื่อนตัว จนอาจจะไปกดทับผู้ที่รอดชีวิตหรือบาดเจ็บ สอง ต้องระวังความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ และจัดระบบเข้าพื้นที่อย่างระมัดระวัง ข้อที่สามคือ ลักษณะการถล่มเป็นรูปแบบแพนเค้ก มีแผ่นและกองซีเมนต์มีขนาดใหญ่ ทั้งยังมีเหล็กจำนวนมาก ขดงอรวมกัน ทำให้การบีบตัดปูนและเหล็กยากมาก ซึ่งไม่ใช่เพราะไม่มีเครื่องมือ แต่เป็นเพราะการเข้าปฏิบัติการมีความยากและซับซ้อน”
ภารกิจนี้กังวลเรื่องอะไรมากที่สุดคะ
“ถ้าหากตึกสตง. ไม่ใช่ตึกเดียวที่ถล่ม เราคงแย่กว่านี้ ต้องไม่ลืมว่า 24 ชั่วโมงแรก เหตุเกิดทั้ง 50 เขตทั่วกรุงเทพฯ ต้องตัดสินใจหนักมากว่าใครจะรับผิดชอบอยู่จุดไหน ครั้งนี้ต้องขอบคุณออนไลน์ เพราะเมื่อเกิดเหตุ ผู้อำนวยการเขตทั้ง 50 เขต ไม่ต้องออกจากพื้นที่ของตัวเองเลย เราประชุมผ่านออนไลน์ขึ้นจอครั้งเดียวรับรู้ทั่วกัน รวมถึงแอปพลิเคชั่น Traffy Fondue ก็ช่วยได้มาก เพราะประชาชนช่วยรายงานและถ่ายภาพความเสียหายต่างๆ ส่งมาให้ ทำให้เราเห็นสภาพทั้งหมดของกรุงเทพฯ และประเมินความเสียหายได้ค่อนข้างเร็ว เมื่อเรารู้แล้วว่า สภาพตึกส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯ ยังสอบผ่าน ท่านผู้ว่าฯ ก็สามารถเข้ามาแก้สถานการณ์ที่ตึกสตง. ได้เร็วขึ้น”
การทำงานที่ทั้งต้องแข่งกับเวลาและความคาดหวังของผู้คน อาจารย์มีวิธีเตรียมตัวและรับมือกับความกดดันอย่างไรคะ
“ต้องทำตัวเองให้พร้อม เริ่มจากสุขภาพต้องดี ป่วยไม่ได้ ต่อมาคือ ต้องจำรายละเอียดของงานให้ดี และเวลาลงพื้นที่ต้องตัดเรื่องอื่น อยู่กับสถานการณ์เฉพาะหน้าเท่านั้น เพราะนี่คือครั้งแรกที่ต้องลงมือทำงานเอง ก่อนหน้านี้เราอยู่ในบทบาทนักวิจัย ทำงานประเมินระบบ ประเมินการจัดการ แต่ไม่ใช่คนลงมือทำงาน
“ความยากในครั้งนี้คือไม่มีข่าวดีเลย นอกจาก 9 คนที่ช่วยได้ในวันแรก เราช่วยใครไม่ได้อีกเลย ไม่มีใครรู้สึกดีหรอกค่ะ มีสิ่งที่ทำไม่ได้เกือบทุกวันที่ผ่านไป ทุกครั้งที่กลับบ้าน อาจารย์รอตลอดว่าเมื่อไรจะเจอข่าวดี
“แต่ถึงแม้จะเครียด เราก็ไม่มีเวลาหมกมุ่นกับความครียด เพราะทุกเช้างานต่างๆ ระดมเข้ามารออยู่เต็มไปหมด คนแรกที่ต้องเจอก่อนใครคือ ท่านผู้ว่าฯ ที่จะเดินมาถามว่า “แก้ว เมื่อวานเป็นอย่างไร” จึงไม่มีเวลาคิดโทษตัวเองว่าที่ทำไม่ได้เพราะไม่มีความสามารถ หรือทำไมต้องโดนคนอื่นๆ ต่อว่า เพราะฉะนั้นไม่มีเหตุผลจะต้องซ้ำเติมตัวเองถ้าเราทำเต็มที่แล้ว หากมัวแต่หมกมุ่นกับความเครียดจะไม่มีเวลาจัดการงาน อีกทั้งคนที่รอหน้างานก็มีเยอะ”

เหตุการณ์ครั้งนี้มอบบทเรียนอะไรบ้าง เพื่อรับมือกับอนาคตคะ
“ประมาณ 8 ปีที่แล้ว ศาสตราจารย์ ดร. เป็นหนึ่ง วานิชชัย ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ เคยบอกว่า อยากให้อาจารย์ทำวิจัยเรื่องการออกแบบมาตรการนโยบายลดความเสี่ยงตึกถล่มจากแผ่นดินไหว ซึ่งตอนนั้นส่วนตัวยังคิดไม่ถึงว่ากรุงเทพฯ จะมีเหตุการณ์เช่นนี้ เพราะฉะนั้นตอนนี้เราจึงต้องเลิกพูดคำว่า ‘คาดไม่ถึง’ แต่ต้องรีเสิร์ชข้อมูลให้หนักกว่านี้ ตราบใดที่นักวิทยาศาสตร์ไม่ได้ออกมาพูดว่า ‘โอกาสเกิดแผ่นดินไหวเป็นศูนย์’ ในฐานะนักบริหารจัดการ เราต้องเตรียมข้อมูลเพื่อลดความเสี่ยงตั้งแต่แรก เมื่อเกิดเรื่องจะไม่ยากขนาดนี้
“ข้อต่อมาคือ รัฐยังมีอุปกรณ์การทำงานกู้ภัยไม่เพียงพอ ถามว่าจำเป็นต้องซื้ออุปกรณ์สำรองไว้เลยไหม ต้องเข้าใจก่อนว่าในหนึ่งปี รัฐใช้งบประมาณไปกับหลายเรื่อง การจะซื้อทุกอย่างเพื่อรอเหตุการณ์ที่ไม่รู้ว่าจะมาเมื่อไรก็คงยาก แต่ขณะเดียวกันพรุ่งนี้ก็อาจเกิดขึ้นได้ ทางสายกลางที่สุดคือ เราต้องเก็บรวบรวมข้อมูลอุปกรณ์ที่หน่วยงานและอาสาสมัครมี ว่าอุปกรณ์พิเศษอยู่กับใครบ้าง ขณะเดียวกันก็ควรลงทุนอุปกรณ์ที่จำเป็น เพราะเมื่อเกิดเหตุจะสามารถหยิบไปใช้งานได้เลย
“ขณะเดียวกันเราต้องพัฒนาศักยภาพของทีมกู้ภัย อย่างตอนนี้ประเทศไทยมีทีมกู้ภัย USAR ที่ได้ขอประเมินรับรองระดับ Medium แล้วก็จริง แต่เราต้องสอบระดับ Heavy ให้ได้ คนของเราต้องพัฒนาศักยภาพมากขึ้น ซึ่งตอนนี้ทางกรุงเทพมหานคร กำลังจะทำศูนย์ฝึกกู้ภัยอาคารสูง อยากฝึกเจ้าหน้าที่หลายหน่วยร่วมกัน ด้วยการมอบหมายโจทย์ให้ยากขึ้น เพื่อให้เขามีทักษะรับมือในอนาคต
“ต่อมาคือ ต้องปรับปรุงกฎหมายระเบียบการเงินให้พร้อมมากขึ้นในภาวะฉุกเฉิน เพราะครั้งนี้ถ้าหน่วยกทม. ทำงานคนเดียว อีก 3 เดือนก็ไม่รู้จะเสร็จหรือเปล่า เรายังต้องพึ่งทหาร เอกชน มูลนิธิ อาสาสมัคร สมาคมต่อต้านภัยพิบัติ ซึ่งทุกคนที่มา เขาเสียรายได้ราว 50 วันเพื่อช่วยเรา ยังไม่นับที่ว่า รถและเครนเสียทุกวันเนื่องจากการกู้ซากตึกใหญ่อุปสรรคเยอะ สายเครนไปเกี่ยวเข้ากับเหล็กเส้นในซากตึกก็พังแล้ว ซึ่งเขาซ่อมกันเอง ไม่เพียงเท่านั้น เรายังใช้น้ำมันเยอะมากวันละราว 5,000 ลิตร ตกเป็นเงินวันละ 200,000 บาท ซึ่งตอนนี้ทางอิตาเลียนไทยจ่ายให้อยู่ ยังไม่นับค่าเชื้อเพลิงสำหรับเครื่องปั่นไฟ อุปกรณ์บางอย่าง เช่น ถังออกซิเจน ถังแก๊ซ ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมค่าแรงและการช่วยเหลือผู้ค้าขายในละแวกนี้ ณ ตอนนี้ (พฤษภาคม) อาจารย์ประเมินว่าค่าใช้จ่ายทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 70 ล้านบาท ซึ่งเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลยังไม่เพียงพอ ตอนนี้ได้ทำเรื่องไปกรมบัญชีกลางเพื่อขออนุมัติวงเงินเพิ่มเติมแล้ว
“สุดท้ายคือการสื่อสารกับหน่วยงานและภาคประชาชน ต้องจัดระบบเพิ่มอีกพอสมควร เพราะความยากคือ เราแม่นยำได้เท่าที่เราแม่นยำ เร็วได้เท่าที่เราเร็ว ซึ่งสองอย่างนี้ไม่เคยมาคู่กัน จะแม่นยำได้ต้องใช้เวลา แต่หน่วยงานก็ต้องรีบทำงาน ทำอย่างไรให้ทุกคนรู้เท่ากัน พร้อมกัน และแม่นยำ ซึ่งยากนะคะ เป็นโจทย์ถัดไป ที่เราต้องจัดระบบเชื่อมให้ดีกว่านี้”
นอกเหนือจากงานภัยพิบัติ หน้าที่ของรองผู้ว่าฯ ดูแลเรื่องอะไรบ้างคะ
“ที่จริงงานหลักที่อาจารย์ทำคือสายสุขภาพ โจทย์ที่ได้รับจากท่านผู้ว่าฯ ตั้งแต่วันแรกที่ทำงานคือ ทำอย่างไรก็ได้ให้คนตัวเล็กๆ เข้าถึงบริการสุขภาพได้เร็วที่สุด ใกล้บ้านที่สุด มีมาตรฐานที่สุด อาจารย์จึงทำโครงการขยายเส้นเลือดฝอย เพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการสาธารณสุขได้ทั่วถึง เช่น โครงการตรวจสุขภาพฟรีหนึ่งล้านคน, แอปพลิเคชั่น หมอ กทม., แอปพลิเคชั่น สมุดสุขภาพ, จัดงานวิ่งล้อมเมือง, เปิดศูนย์บริการสาธารณสุขและโรงพยาบาลนอกเวลาราชการ ใจจริงอยากให้คนกรุงเทพฯ เปิดใจให้กับศูนย์บริการสาธารณสุขที่ตั้งอยู่ใกล้บ้านก่อน ซึ่งตอนนี้ทางกทม. ได้สร้างใหม่และปรับปรุงหลายแห่ง ถ้าอาการไม่หนัก ลองมาใช้บริการศูนย์บริการสาธารณสุขก่อนนะคะ เพื่อมอบพื้นที่ให้คนไข้ที่อาการหนักได้เข้าไปใช้บริการที่โรงพยาบาลได้มากขึ้น
“นอกจากนี้อาจารย์ยังดูแลโรงพยาบาลของกรุงเทพมหานคร ทั้งหมด 11 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลกลาง, โรงพยาบาลตากสิน, โรงพยาบาลเจริญกรุงประชารักษ์, โรงพยาบาลสิรินธร, โรงพยาบาลราชพิพัฒน์, โรงพยาบาลเวชการุณรัศมิ์ โรงพยาบาลผู้สูงอายุบางขุนเทียน โรงพยาบาลนคราภิบาล, โรงพยาบาลรัตนประชารักษ์ (คลองสามวา), โรงพยาบาลบางนา, โรงพยาบาลหลวงพ่อทวีศักดิ์ และมีโรงพยาบาลวชิระพยาบาล ที่เราดูแลครึ่งหนึ่ง
“สำหรับปีนี้เราได้เปิดโรงพยาบาลใหม่เพิ่มที่กรุงเทพฯ เพื่อแก้ปัญหาผู้ป่วยล้นโรงพยาบาล เช่น โรงพยาบาลบุษราคัมจิตการุณย์ เขตสายไหม, โรงพยาบาลพระมงคลเทพมุนี เขตภาษีเจริญ เป็นแผนก OPD ตรวจรักษาโรคทั่วไป อุบัติเหตุและฉุกเฉิน รับสิทธิบัตรทองและประกันสังคมด้วย และยังมีโปรเจ็คต์ ทำโรงพยาบาลอีกสองแห่งที่ดอนเมืองกับทุ่งครุค่ะ
“นอกจากงานสายสุขภาพ ท่านผู้ว่าฯ ยังมอบหมายงานบริหารด้วย อาจารย์ดูแลสำนักยุทธศาสตร์ ดูแลนโยบาย 9 ด้าน 9 ดี ของท่านผู้ว่าฯ ตลอดจนการดูแลสำนักงานข้าราชการกรุงเทพมหานคร ซึ่งขณะนี้เรามีข้าราชการและลูกจ้างรวมกัน 80,000 คน จะดูแลเรื่องตำแหน่ง การแต่งตั้ง สรรหา โปรโมทลูกจ้างประจำ ลูกจ้างชั่วคราว แล้วก็เรื่องสวัสดิการรวมถึงชีวิตความเป็นอยู่ค่ะ”
ความรับผิดชอบเยอะขนาดนี้ จัดสรรเวลาอย่างไรคะ
“ไม่ต้องคุยเรื่องจัดสรรเวลาค่ะ (หัวเราะ) เพราะคอนเซ็ปต์ของอาจารย์คือ ‘work ไร้ บาลานซ์’ ทำงาน 3 ปี ยังไม่เคยมีวันหยุด เพิ่งหยุดไปหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้เพราะติดโควิด เรื่องของเรื่องคือ เมื่อไรก็ตามที่เป็นวันหยุดยาวของคนกรุงเทพฯ มักจะมีเรื่องราวเกิดขึ้นเสมอ ท่านผู้ว่าฯ เองจึงไม่ปรารถนาให้อาจารย์อยู่นอกพื้นที่ซึ่งก็ถูกแล้ว เพราะงานของอาจารย์เป็นเรื่องฉุกเฉิน 24 ชั่วโมง
“ส่วนชีวิตทำงานในแต่ละวันค่อนข้างยุ่ง หน้าห้องเคยจัดคิวให้ วันที่พีคสุดเจอไป 11 นัดๆ ละ 1 ชั่วโมง ชีวิตเริ่มต้นตั้งแต่ 7 โมงเช้ายาวไปถึงกี่ทุ่มก็ไม่รู้ ตอนเที่ยงก็กินข้าวในรถ ทุกวันนี้พยายามล็อคคิวช่วงบ่ายของทุกวันเพื่อตามงานสำนักงานที่เรากำกับ ทั้งเรียกมาพบ หรือไม่ก็ไปตามถึงที่ คือไปโผล่โรงพยาบาลเลย ไปดูชุมชน เยี่ยมคนติดเตียง บางวันก็ไปสถานีดับเพลิง ส่วนครึ่งวันเช้าจะเป็นการประชุมค่ะ
“โชคดีที่อาจารย์นอนไม่เยอะ เวลานอนสูสีกับท่านผู้ว่าฯ แต่ตื่นสายกว่า เพราะอาจารย์ไม่ได้วิ่งตอนเช้า อาศัยวิ่งตอนเย็นแทน ความโชคดีอีกอย่างคือหัวถึงหมอนก็หลับได้เลย เป็นมาตั้งแต่สมัยเรียน อีกเรื่องคือ อาจารย์ไม่ซีเรียสเรื่องวันหยุด ไม่เคยอยากไปทะเลหรือต่างประเทศเพราะสมัยเรียนเดินทางเยอะแล้ว เวลาพักผ่อนคือ วันไหนที่ได้ตื่น 8 โมงเช้า กลางคืนได้กลับบ้านดูซีรีส์ หรือมีเวลาล้างห้องน้ำ ซักผ้า ทำกับข้าว จัดบ้าน แค่นี้ก็พอแล้ว เพราะฉะนั้นสถานที่โปรดของอาจารย์คือเตียงนอน อีกแห่งคือร้านกาแฟ ซึ่งบางทีก็แอบหนีทีมไปนั่งทำงานเงียบๆ ในนั้นสักครึ่งชั่วโมง แค่นี้ก็ดีใจแล้วค่ะ
“อีกเรื่องที่คนภายนอกไม่ค่อยรู้ คือ เห็นภาพลุยๆ แบบนี้ ความจริงชอบแต่งตัวมาก สมัยเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยแต่งตัวสวยไปทำงานทุกวัน ชอบซื้อผ้าไทยแล้วนำมาออกแบบชุดเอง รวมถึงการสรรหารองเท้าส้นสูงมาแมตช์กับเสื้อผ้า นี่มีรูปที่แฟนคลับรวมหลายๆ ชุดที่อาจารย์ใส่ส่งมาให้ดูด้วยนะ (เปิดรูปให้ดู) แต่พอมาเป็นรองผู้ว่าฯ ไม่ค่อยมีโอกาสใส่ หนึ่งอาทิตย์ได้ใส่ชุดสวยหนึ่งวันก็เก่งแล้ว เพราะงานเราต้องลุย แต่ถ้าวันไหนใส่แล้วชอบก็จะชมตัวเองในกระจกว่า สวย (ยิ้ม)”

อะไรที่ทำให้อาจารย์ยังอยากทำงานนี้ต่อไปทุกวันคะ
“อาจารย์คิดว่าข้อดีของการทำงานกทม. เมื่อเทียบกับตอนเป็นอาจารย์มหาลัยคือ ตอนเป็นอาจารย์งานไม่เคยเสร็จ เราเป็นคณบดีงานบริหารจึงเต็มมือ งานวิจัยก็มี ต้องลงพื้นที่และออกมาทำงานบริการวิชาการ เช่น การอบรม หรือให้คำปรึกษากับหน่วยงาน แต่งานของ กทม. ต่างกันเลย ระหว่างวันเหนื่อยเกือบตาย แต่พอกลับบ้านทุกอย่างตัดทิ้งได้ เพราะคนอื่นก็นอนกันหมดแล้ว บางคืนจึงได้นอนแต่หัวค่ำบ้าง เช่น 4 ทุ่ม ยกเว้นคืนไหนมีไฟไหม้ อย่างช่วงที่ไฟไหม้ลาดกระบัง ตีหนึ่งอาจารย์ยังอยู่หน้างาน
“ส่วนตื่นเช้ามาก็ไม่มีโอกาสได้ขี้เกียจ เพราะไลน์จากท่านผู้ว่าฯ จะเด้งมาทุกเช้า ขึ้นกับว่าไลน์นั้นจะส่งให้รองผู้ว่าฯ คนไหนจึงดีดทุกวัน ถึงงานจะหนักแต่ก็สนุกกว่ามาก เพราะได้ความรู้เพิ่มขึ้นทุกวัน เนื่องจากในระบบงาน มีเรื่องราวและความรู้เยอะจริงๆ เช่น โครงสร้างทั้งหมดของการบริหารงานพื้นที่กรุงเทพฯ ที่ไม่ได้อยู่ใต้กำกับของ กทม. เพิ่มอีกด้วย ซึ่งสิ่งที่เรียนรู้มาทั้งชีวิตเทียบไม่ติดเลยด้วยซ้ำ จึงยังสนุกกับการแก้ปัญหา
“แต่ถ้าถามว่าเหนื่อยไหม ตอบตามตรงว่านี่เป็นครั้งแรกในชีวิตที่รู้สึกเหนื่อยค่ะ ต่างจากตอนทำงานมหาวิทยาลัยที่ทำ 24 ชั่วโมงไม่เคยเหนื่อยเลย อาจเป็นเพราะการทำงานตรงนี้ไม่ใช่แค่ความคาดหวังของเราที่อยากทำให้ดี แต่เป็นความคาดหวังของประชาชนจำนวนมากและหลากหลายกลุ่ม งานจึงยากตลอดเวลา”
สุดท้าย อยากให้อาจารย์ฝากถึงคนรุ่นใหม่ที่อยากมีแรงขับเคลื่อนชีวิตค่ะ
“บางครั้งคนเราคาดหวังคำชมจากผู้อื่น ซึ่งเหนื่อยเกินไป อาจารย์แค่คิดว่า วันนี้เราพอใจกับตัวเองหรือยัง เมื่อกลับถึงบ้านสามารถบอกตัวเองได้ว่า วันนี้เราทำอะไรได้ หรือ ไม่ได้ ซึ่งไม่จำเป็นต้องทำอะไรสำเร็จทุกวัน แค่ทำเต็มที่ก็แฮปปี้แล้ว ต่อให้พลาด ล้มเหลว พรุ่งนี้ก็แก้ตัวใหม่ และถ้าพรุ่งนี้ทำได้คงรู้สึกว่า เก่ง! (หัวเราะ)
“ส่วนถ้ามีใครมาชม หรือได้อะไรดีๆ กลับมาก็ถือว่าเป็นโบนัสเล็กๆ ที่เติมเต็มชีวิต อย่างตอนเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย จะรู้สึกดีใจเวลาที่นักศึกษาเข้ามาเล่าว่า เขาทำอะไรสำเร็จ ทุกวันนี้ก็รู้สึกดีใจที่มีผู้สูงอายุนำผลไม้มาฝากหมอพยาบาลที่ออกหน่วยตรวจสุขภาพเพราะเห็นว่าพวกเขาทำงานหนัก หรือดีใจที่เราได้ช่วยชีวิตคน เพราะฉะนั้น ทุกเช้าที่ตื่นขึ้นมาจึงอยากสู้และออกไปทำงาน เพราะเราตอบตัวเองได้ว่า เรามีประโยชน์
ความสุขคือแค่นี้เลยค่ะ
อ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ในคอลัมน์ Interview นิตยสารแพรว ฉบับมิถุนายน 2568
เรื่อง: Fai
ภาพ: วรสันต์