ชีวิตพลิกผันแต่ใจไม่ยอมแพ้ หญิง-กนกวรรณ ประสบอุบัติเหตุร้ายแรง กระดูกสันหลังหักทับเส้นประสาท จนแพทย์ชี้อาจเดินไม่ได้ตลอดชีวิต แต่เธอไม่ยอมจำนนต่อโชคชะตา และพร้อมพิสูจน์ให้เห็นว่าความหวังยังมีอยู่เสมอ
จากชีวิตที่กําลังลงตัวทั้งเรื่องงานและความรัก ทุกอย่างกลับดับมืดลง อุบัติเหตุรถชน เป็นเหตุให้กระดูกสันหลังหักทับเส้นประสาทและไขสันหลัง ข้อสรุปทางการแพทย์คือจะเดินไม่ได้และกลายเป็นผู้ป่วยติดเตียง แต่ หญิง-กนกวรรณ นาคนาม ไม่ยอมรับคําตัดสินนั้น
ทริปเปลี่ยนชีวิต
“หลังเรียนจบ (การจัดการการโรงแรมและการท่องเที่ยว มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์) หญิงช่วยงานค้าขายของที่บ้านควบคู่กับการดูแลตัวเอง ออก กําลังกายทุกวัน เพราะอยากรักษารูปร่างให้ดูดีไปตลอด จนรุ่นพี่ที่เล่นฟิตเนส ด้วยกันชวนให้เป็นนางแบบถ่ายโปสเตอร์โปรโมตฟิตเนสใหม่ของเขาที่กําลังจะ เปิดตัว ก่อนจะชวนทํางานดูแลสมาชิกแนะนําการใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ แล้วพัฒนา มาเป็นผู้นําคลาสออกกําลังกายตามจังหวะเพลง นอกจากนี้หญิงยังใช้ชีวิตไปกับ การท่องเที่ยวแทบจะทุกเดือน
“ทริปหนึ่งหญิงกับเฟิส – แฟนที่ตอนนั้นคบกันได้ 3 เดือนแพลนเที่ยว จังหวัดน่าน ออกเดินทางจากบ้านที่มหาชัย จังหวัดสมุทรสาครประมาณสี่ทุ่ม เพื่อ ไปถึงน่านตอนเช้าแล้วจะได้เที่ยวเลย เราผลัดกันขับรถคนละครึ่งทาง พอถึงช่วงที่ หญิงได้พักจึงเอนเบาะลงนอน ปกติหญิงคาดเข็มขัดนิรภัยตลอดเวลา แต่ครั้งนี้พอเอนเบาะลงแล้วสายเข็มขัดนิรภัยมาพาดที่คอจึงปลดออก
“ตอนเกิดเรื่องประมาณตี 2 – 3 หญิงไม่รู้สึกตัวเลย จนเฟิลปลุกเรียกว่า รถชน ทราบภายหลังจากเขาว่าด้วยความมืดทําให้รถของเราชนท้ายรถพ่วงที่จอด อยู่ข้างทางแบบเต็ม ๆ ตัวหญิงไถลลงจากเบาะที่นั่งไปอยู่ที่พื้นในสภาพหมอบอยู่ กับเบาะที่นั่ง แฟนถามว่าลุกไหวไหม หญิงบอกว่าขยับขาไม่ได้ คงเพราะหัก หรือมีอะไรทับอยู่
“ตอนที่ตํารวจมาถึง สภาพของหญิงตอนนั้นคือไม่มีเลือดออก ไม่รู้สึกเจ็บ แค่มีอาการหลับ ๆ ตื่น ๆ แต่เฟิสมีแผลตามตัวและปวดท้องมากจนลงไปนอนกับ พื้นถนน เมื่อรถพยาบาลมาถึงจึงพาเขาไปก่อน ส่วนหญิง เจ้าหน้าที่กู้ภัยปรึกษากัน ว่าจะพาออกมาจากรถอย่างไรดี เพราะประตูเปิดไม่ได้ อาจต้องใช้อุปกรณ์ตัด – ถ่าง แต่สุดท้ายใช้วิธีเปิดประตูหลังแล้วเอนเบาะเพื่อสอดบอร์ดที่นอนเข้าไปแล้วพาหญิง ออกมาได้สําเร็จ ใส่ที่บล็อกคอให้เรียบร้อย ต้องขอบคุณพี่ๆ กู้ภัยที่ขนย้ายหญิง ออกมาอย่างดี เพราะส่วนใหญ่ความพิการจะมากขึ้นจากการขนย้ายผู้บาดเจ็บผิดวิธี

เผชิญความเจ็บปวด
“ตอนแรกไปโรงพยาบาลเล็ก ๆ ใกล้ที่เกิดเหตุ เมื่ออัลตราซาวนด์บริเวณท้อง ของหญิงพบว่ามีเลือดเต็มเลย อวัยวะภายในน่าจะมีปัญหา ส่วนเฟิสลําไส้ฉีกขาด จากเข็มขัดนิรภัย ซึ่งปกติต้องรัดอยู่ตรงสะโพก แต่เลื่อนขึ้นมารัดท้อง จึงต้อง ผ่าตัดทั้งคู่ โดยย้ายไปโรงพยาบาลอุตรดิตถ์ คุณหมอบอกว่าหญิงต้องผ่าตัดด่วนแต่ต้องมีคนเซ็นรับรอง จึงโทร.หาแม่เพื่อเล่าอาการ ยังบอกแม่ว่าไม่เป็นอะไรมาก ไม่ต้องเป็นห่วงนะสรุปเหตุเลือดออกในช่องท้องของหญิงคือตับกับม้ามฉีกขาด ตอนที่แม่ กับพ่อซึ่งรีบขับรถมาจากบ้านที่มหาชัยเห็นสภาพหญิงคงใจเสีย เพราะนอกจากดามคอยังมีสายระโยงระยางเต็มไปหมด ต้องให้สายออกซิเจนด้วย เพราะโดนเจาะปอดข้างหนึ่ง เนื่องจากซี่โครงหักทิ่มปอด
“ข่าวร้ายคือผลการตรวจเอ็มอาร์ไอพบว่ากระดูกสันหลัง T6 และ T7 หัก แล้วทับเส้นประสาทกับไขสันหลัง เรียกว่าเสียหายแบบ Complete คือไขสันหลัง บาดเจ็บทั้งหมด หมอให้นอนนิ่ง ๆ บนเตียงประมาณ 14 – 15 วันเพื่อให้แผลผ่าตัด ที่ท้องสมานกันดีประมาณหนึ่งก่อนที่จะผ่าตัดกระดูกสันหลังเพื่อดามเหล็ก ซึ่ง หลังจากนั้นต้องนอนคว่ําหน้า ถ้าแผลที่ท้องยังไม่หายดีอาจปริได้ “ตอนผ่าตัดกระดูกสันหลังใช้เวลาประมาณ 8 ชั่วโมง พอรู้สึกตัวหญิงรู้สึก ปวดมากจนต้องให้มอร์ฟีนทุก 4 ชั่วโมง แต่ยังไม่ถึง 4 ชั่วโมงก็ปวดจนร้องไห้แล้ว ตอนนั้นหญิงอยู่ห้องไอซียู ต้องใส่ท่อช่วยหายใจทางปาก เวลาสื่อสารใช้วิธีเขียน ลงกระดาษ ทรมานจนเขียนบอกพ่อกับแม่ว่า “หนูไม่อยากอยู่แล้ว” คืออยาก ออกไปจากความเจ็บปวดนั้น เรียกว่าต้องอาศัยมอร์ฟีนเป็นเดือนก่อนจะค่อย ๆ เปลี่ยนมาเป็นยาแก้ปวด ซึ่งค่าผ่าตัดและค่ารักษาพยาบาลจากทั้งสองโรงพยาบาล หญิงใช้สิทธิเบิกประกัน พ.ร.บ.รถยนต์
“ตอนนั้นพ่อแม่มาเช่าอพาร์ตเมนต์แถวโรงพยาบาล ส่วนเฟิลขับรถมาเยี่ยม ทุกเสาร์ – อาทิตย์ ทําให้หญิงรู้สึกว่าตัวเองเป็นภาระที่ทําให้ทุกคนลําบาก ขนาดหญิง เคยไล่เฟิสว่าอย่ามาจมอยู่อย่างนี้เลย ไม่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ไม่อยากเป็น ตัวถ่วงในชีวิตเขา เฟสบอกว่าเหตุผลเดียวที่ทําให้เราเลิกกันคือหญิงไม่รักเขาแล้ว ตลอดเวลาที่ผ่านมาเขาช่วยเหลือทุกอย่าง ตั้งแต่เช็ดตัว ดูแลเรื่องขับถ่าย แม้แต่ เวลามีประจําเดือนเขาก็ดูแลทําความสะอาดให้โดยไม่รังเกียจ
“หญิงพยายามถามหมอว่าความเสียหายที่หลังและเส้นประสาทประมาณไหนแต่ไม่ได้คําตอบ เมื่อร่างกายเริ่มฟื้นตัวจึงเสิร์ชหาข้อมูล พบว่าการที่กระดูกสันหลัง หักอาจทําให้เป็นอัมพาตหรือพิการตลอดชีวิต หรืออาจเป็นภาวะ Spinal Shock ไขสันหลังสูญเสียการทํางานชั่วคราว แล้วจะกลับมาเดินได้ หรือถ้าแย่สุดก็ใช้ไม้เท้า ตอนนั้นรุ่นพี่ของเฟิสที่เรียนด้านกายภาพแนะนําให้ไปที่สถาบันสิรินธร เพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพทางการแพทย์แห่งชาติ เพราะมีอุปกรณ์ด้านกายภาพครบวงจรที่สุด ในประเทศ จึงตั้งใจว่าต้องดูแลร่างกายให้แข็งแรงเพื่อที่จะไปแอดมิตที่สถาบันสิรินธรฯให้ได้
“มาทราบภายหลังว่าคุณหมอด้านกระดูกบอกพ่อแม่ว่าต่อให้พาหญิงไป รักษาที่ต่างประเทศก็ไม่สามารถเดินได้อีก ต้องพิการตลอดชีวิต แล้วอาการต่าง ๆ จะตามมา ไม่ว่าจะซึมเศร้า แล้วอาจจะคิดสั้นฆ่าตัวตายได้ เพราะอายุยังน้อย”
ความจริงที่โหดร้าย
หญิงอยู่โรงพยาบาลอุตรดิตถ์เดือนกว่า ตัดสินใจย้ายไปรักษาต่อที่โรงพยาบาล สมุทรสาครซึ่งอยู่ใกล้บ้าน เพื่อพ่อแม่และเฟิสจะได้สะดวกในการมาเยี่ยมและดูแล “ตอนไปถึงโรงพยาบาล คุณหมออ่านบันทึกประวัติการรักษาแล้วบอกว่า คุณรู้หรือเปล่าว่าจะเดินไม่ได้ตลอดชีวิต” นาทีนั้นถือว่าได้รับรู้อาการตัวเองอย่างเป็น ทางการครั้งแรก แม้จะรู้สึกเหมือนฟ้าถล่มดินทลายไปต่อหน้า เราต้องนอนติดเตียงหรือ นั่งวีลแชร์ก็ยังไม่ได้ เพราะกระดูกสันหลังที่หักอยู่ตําแหน่งสูงจนไม่สามารถ พยุงให้ทรงตัวนั่งได้ แต่ยังมีหวังจากข้อมูลที่อ่านเจอ
“วันนั้นกว่าโรงพยาบาลจะรับแอดมิดก็ประมาณหกโมงเย็น ทําให้ไม่สามารถ หาห้องพิเศษได้ คืนแรกจึงต้องนอนห้องรวมที่วางเตียงค่อนข้างแน่น แม่ต้องนอน เฝ้าที่พื้น ส่วนเตียงข้าง ๆ เป็นสาวพม่าที่ถูกตัดขาไปข้างหนึ่งแล้วทะเลาะกับสามี ทําให้หญิงยิ่งเครียดหนักกว่าเดิมว่าทําไมต้องเจออะไรอย่างนี้ บวกกับรู้สึกว่า ตัวเองเป็นภาระ คิดวนเวียนว่าถ้าตายตั้งแต่ตอนอุบัติเหตุ พ่อแม่จะเสียใจแค่ ครั้งเดียวแล้วจบ แต่พอรุ่งขึ้นได้ย้ายไปห้องพิเศษ สภาพแวดล้อมดีขึ้น มีเพื่อน และญาติมาเยี่ยม ทําให้หญิงรับสภาพได้ดีขึ้นเรื่อย ๆ สําหรับค่ารักษาพยาบาลที่นี่ หญิงใช้เคลมประกันรถยนต์และ พ.ร.บ.รถยนต์ ส่วนที่ต้องจ่ายเองคือค่าห้องพิเศษ เท่านั้น”

ตั้งหลักสู้
“หญิงเริ่มทํากายภาพด้วยการพลิกตัวซ้ายขวา ยกเวต ตั้งปณิธานว่าจะตั้งใจ ทํากายภาพให้รู้ว่าเราทําเต็มที่ทุกอย่างแล้ว สุดท้ายได้แค่ไหนก็จะยอมรับ ปรากฏว่า อยู่โรงพยาบาลประมาณ 2 สัปดาห์สามารถนั่งวีลแชร์ได้ ถือเป็นการปลดล็อกสิ่งที่ หมอพูดไว้อย่างน้อยเรื่องหนึ่งละ
“จากนั้นย้ายไปทํากายภาพที่โรงพยาบาลวัดเกตุมดีศรีวราราม ด้วยจํานวน ผู้ป่วยไม่มาก ทําให้นักกายภาพและนักกิจกรรมบําบัดมีเวลาให้เราเต็มที่ มีอุปกรณ์ ให้ได้พัฒนาตัวเองเยอะ นักกายภาพที่ดูแลชื่อน้องปอนด์ ให้หญิงนั่งเล่นบอล โยน บอลเพื่อฝึกการทรงตัว แขวนเชือกที่เตียงเพื่อให้แกว่งขา ประกอบกับคุณหมอ ด้านกระดูกแนะนําว่าผ่านไปสักระยะแล้วค่อยฝึกยืนหรือลงน้ําหนักที่เท้า หญิง ทํากายภาพอย่างนั้นประมาณ 6 เดือนเพื่อเตรียมตัวไปแอดมิตที่สถาบันสิรินธรฯ
“ระหว่างนั้นน้องปอนด์บอกว่าเวลานอนให้มองที่เท้าแล้วสั่งให้ขยับ เหมือน สะกดจิตตัวเอง หญิงทําอย่างนั้นทุกวัน แต่ไม่ขยับ จนเริ่มท้อ แล้วจู่ ๆ นิ้วเท้าก็ ขยับ หญิงเริ่มกลับมาเชื่อมั่นว่ามีโอกาสเดินได้ อย่างแย่ที่สุดถ้าต้องใช้ไม้เท้าค้ํายัน สองข้างก็ยอม
“พอได้คิวแอดมิตที่สถาบันสิรินธรฯ หญิงโชคดีได้เจอคุณหมอเจี๊ยบที่อธิบายอาการให้ฟังอย่างละเอียดว่าการบาดเจ็บไขสันหลังมีการประเมินระดับความรุนแรง ตาม ASIA Impaument Scale มีระดับ A B C D E ซึ่ง ASIA A เป็นอัมพาต สมบูรณ์ ไม่สามารถควบคุมกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนัก ASIA B เป็นอัมพาตเกือบ สมบูรณ์ แต่ยังรับรู้ความรู้สึกในทวารหนักและโดยรอบ แต่ไม่มีการทํางานของ ประสาทสั่งการในส่วนที่เป็นอัมพาต ASIA C ยังมีการทํางานของประสาทสั่งการ ส่วนที่ต่ากว่ารอยโรค มีกําลังกล้ามเนื้อน้อย ASIA D ยังมีการทํางานของประสาท สั่งการส่วนทีต่ากว่ารอยโรค มีกําลังกล้ามเนื้อมากกว่าระติบ C แถ ระดับ ASIA E ประสาทสังงาน ประสาทรับความรู้สึก และการขับถ่ายสามารถกลับฟื้นเป็นปกติ “หญิงอยู่ที่ระดับ B คุณหมอถามว่าเป้าหมายของการแอดมิตครั้งนี้คืออะไร หญิงตอบว่าอยากดูแลตัวเองให้มากที่สุด แต่ความจริงหญิงอยากมาฝึกเดินที่สถาบัน ที่ไม่กล้าบอกตามตรงเพราะกลัวว่าคุณหมอจะไม่รับแอดมิด คือข้อมูลจากรุ่นพี่ๆ ที่เคยแอดมิตบอกว่าถ้าเป้าหมายของเราเกินตัว ทางสถาบันอาจไม่รับ
“การแอดมิตครั้งแรก ช่วงเช้าฝึกด้านกายภาพ แรก ๆ ให้หญิงยกดัมบ์เบล อย่างเดียวเลย เพื่อให้แขนแข็งแรง เพราะต้องใช้กําลังแขนแทนขา ช่วงบ่ายฝึก นั่งวีลแชร์ ก่อนจะได้ยินเฟรมที่เป็นเครื่องช่วยดันสะโพกให้ยืนได้ ฝึกยืนทุกวัน ประมาณ 20 นาที พอจบหนึ่งเดือนเขาให้กลับบ้านไปพักประมาณ 2 สัปดาห์แล้ว ค่อยกลับมาแอดมิตใหม่ เพราะเห็นว่าหญิงสามารถพัฒนาได้ดี ระหว่างที่กลับบ้าน ก็ไปฝึกกายภาพต่อที่โรงพยาบาลวัดเกตุมดีศรีวราราม แล้วลองฝึกยื่นด้วยตัวเอง ปรากฏว่า นได้ ดีใจมากพอกลับไปที่สถาบันสิรินธรฯอีกครั้งก็ให้นักกายภาพดูคลิปว่าหญิงยืนได้แล้ว เขาจึงให้ฝึกยืนเลย พอกลับไปโรงพยาบาลเกตุมดีศรีวรารามก็ได้ลองเดิน พอหญิง สามารถยกขาก้าวได้จึงเริ่มก้าวเดินกับบาร์
“ตอนกลับมาสถาบันสิรินธราอีกรอบก็อัพเดตเขาว่าหญิงเริ่มฝึกเดินแล้วนะจึงได้ฝึกเดินด้วยการจับบาร์และวอล์กเกอร์ พยายามจะเดินด้วยไม้เท้า แต่ ไม่สามารถ เพราะอย่างที่บอกว่ากระดูกสันหลังข้อที่หักอยู่สูง ทําให้สะโพกไม่มีแรง พอที่จะพยุงตัวเดินได้ขนาดนั้น สรุปแล้วหญิงไปแอดมิดที่สถาบันสิรินธราประมาณ 7-8 ครั้ง เป็นคนไข้ไม่กี่คนที่สามารถแอดมิตได้เยอะขนาดนั้น ปกติให้แค่ 3 – 4 ครั้ง เพราะส่วนมากฝึกจนถึงจุดสูงสุดของร่างกายแล้วไม่สามารถฟื้นฟูต่อได้ “หลังจบการรักษาที่สถาบันสิรินธราแล้ว หญิงยังคงทํากายภาพที่โรงพยาบาล วัดเกตุมดีศรีวรารามอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ทําได้แค่เดินวอล์กเกอร์ประมาณ 30 – 40 เมตร น้องปาน นักกายภาพที่สถาบันสิรินธรฯเตือนสติว่า ท่ากายภาพก็ดี แต่อย่าลืม ใช้ชีวิตนะ” หญิงจึงเริ่มออกจากบ้านไปเที่ยวตามห้างสรรพสินค้าบ้าง แรก ๆ ไม่กล้า มองใคร จากที่เคยมั่นใจในตัวเองมาก ๆ กลายเป็นคิดวนเวียนว่าคนอื่นจะมองอย่างไร แต่สักพักก็คิดได้ว่าไม่มีใครสนใจหรอก ทําไมเราจะต้องแคร์ขนาดนั้น ควรโฟกัสทีคนใกล้ตัวดีกว่า
“จากนั้นก็เริ่มไปแคมปิ้งและเหี่ยวต่างประเทศ ครั้งแรกไปญี่ปุ่นแบบ 9 วัน 5 เมือง ก่อนไปพยายามดูข้อมูลจากรุ่นพี่ที่นั่งวีลแชร์ว่าเตรียมตัวอย่างไร แต่ไม่ค่อย มีข้อมูล โชคดีว่าจุดเด่นของญี่ปุ่นคือมีห้องน้ําคนพิการทุกที จนวันนี้หญิงไปเที่ยว ญี่ปุ่นมา 3 ครั้งแล้ว ไม่นับเกาหลี จีน ไต้หวัน เวียดนาม (ยิ้ม)
“หญิงเกิดความคิดว่าน่าจะมีคอนเทนต์เพื่อให้คนพิการดูเป็นวิทยาทาน เผื่อใครมาเห็นจะได้มีประโยชน์ จึงทําให้เกิด YouTube, IG และ TikTok : yooyingoopa
ไม่หยุดเรียนรู้ ไม่หมดหวัง
“หญิงเห็นที่ต่างประเทศใช้หุ่นยนต์ฝึกเดินเสมือนจริง เหมือนที่เราเห็นในหนัง ไซไฟ ทําหน้าที่ช่วยพยุงในการเดินและทํางานทดแทนกําลังกล้ามเนื้อที่อ่อนแรง หรือเป็นอัมพาต ซึ่งที่สถาบันสิรินธรฯมีหุ่นยนต์ฝึกเดินแบบเดินบนลูก หรือลู่วิ่ง (Treadmill Training) โดยมีเครื่องช่วยพยุงน้ําหนักตัวของเรา และมีอุปกรณ์เสริม เป็นขาของหุ่นยนต์ประกบกับขาเรา โดยควบคุมการเคลื่อนไหวด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ให้เราเดินด้วยจังหวะและท่าทางที่ถูกต้องเป็นธรรมชาติ สามารถฝึกซ้ํา ๆ ได้ต่อเนื่อง เพื่อให้ร่างกายเรียนรู้การเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง ทําให้สามารถพัฒนารูปแบบการเดินและ เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขา แต่การรักษานี้ไม่ได้อยู่ในสิทธิคนพิการ ถ้าจะใช้ ต้องจ่ายเอง ต่อครั้ง (40 นาที) ประมาณ 2,800 – 3,000 บาท หญิงปรึกษาหมอเจี๊ยบว่า อยากลองสักครั้ง หมอบอกว่าขอหมอพูดตรงๆ นะ คนที่จะใช้หุ่นยนต์ฝึกเดินได้ต้องเป็นระดับ ASIA C ขึ้นไป และต้องฝึกเดินมากกว่า 10-20 ครั้ง จะเห็นผล มากน้อยแล้วแต่เคส ซึ่งหมอมองว่าเกินความจําเป็น จึงต้องพับโครงการในใจไปก่อนจนเมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2556 มีคลินิกกายภาพที่น่าเข้าหุ่นยนต์ฝึกเดิน รุ่นใหม่นี้ติดต่อมา เพราะเขาเห็นหญิงจากสื่อโซเชียลว่ารับงานรีวิวสินค้า เขาอยากให้ หญิงรีวิวหุ่นยนต์ฝึกเดินเสมือนจริงรุ่นนี้ โดยให้ทดลองใช้ 5 ครั้ง -วันแรกตื่นเต้นมากที่ได้ลองอะไรใหม่ ๆ แต่สิ่งสําคัญคืออยากหาคอนเทนต์ ให้คนรู้ว่ามีเทคโนโลยีแบบนี้ด้วย เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่สามารถพัฒนาตัวเองหรือ ศักยภาพให้มากขึ้นไปอีก
“จากนั้นหญิงได้ลองใช้เพิ่มอีก 10 ครั้ง แล้วหยุดไปตั้งแต่เมษายน ปี 2537 กระทั่งต้นปีนี้มีโอกาสร่วมงานกับทางคลินิกอีก ซึ่งหุ่นยนต์ฝึกเดินเสมือนจริงทําให้ รู้สึกเหมือนกําลังเดินอยู่บนพื้นจริงๆ ช่วยให้เราได้หมุนบิดเอว สะโพก และข้อเข่า มีการเลี้ยงตัวอย่างเป็นธรรมชาติ ยิ่งเราเดินช้า ๆ ก็จะเป็นการสั่งให้สมองและร่างกาย จําว่าแบบนี้คือการเดินที่ถูกต้อง ทําให้หญิงเดินได้ไกลขึ้น ทรงตัวได้ดี และเดิน สวยขึ้น วันนี้หญิงสามารถฝึกยืนกับไม้เท้าค้ํายันด้วยขาของตัวเองได้แล้วค่ะ (ยิ้ม) “ทุกวันนี้หญิงบอกตัวเองว่าการที่เราไม่ตายในวันนั้นอาจเพราะเขาอยากให้เรากลับมาหาประโยชน์ให้ผู้อื่นหรือเปล่า และความพิการนี้ทําให้หญิงเป็นคนดีขึ้น สมัยก่อนใจร้อน โลกหมุนรอบตัวเอง ไม่สนใจว่าใครจะคิดอย่างไร พูดตรงๆ แรง ๆ และไม่ถนอมน้ําใจผู้อื่น แล้วไม่ค่อยอยู่กับพ่อแม่ ชอบออกไปเที่ยวข้างนอก แล้ว วันหนึ่งโลกหมุนเร็ว แต่เราต้องหยุดอยู่บนเตียง จะทําอะไรก็ต้องรอให้คนอื่นมาช่วย แม้กระทั่งจะหยิบน้ํายังทําไม่ได้ ทําให้วันนี้หญิงได้อยู่กับพ่อแม่เยอะขึ้น แล้วรู้ว่าไม่มีใครรักเราเท่ากับพ่อแม่
หญิงอยากทําคอนเทนต์ให้คนอื่นได้เห็นว่าแม้จะพิการ แต่ยังสามารถใช้ชีวิต ได้ ถ้าเราไม่สร้างข้อแม้กับชีวิตเยอะเกินไป เมื่อก่อนเวลาจะไปไหนหญิงต้องเช็คว่ามี ห้องน้ําผู้พิการหรือเปล่า แต่เดี๋ยวนี้คิดว่าช่างเถอะ เดี๋ยวค่อยว่ากัน ไปแก้ปัญหา ที่หน้างาน สุดท้ายก็ไปได้ ชีวิตคนเราสั้นนัก จะตายวันไหนก็ไม่รู้ หญิงเพิ่งเสีย เพื่อนสนิทที่เป็นมะเร็งเต้านม เขาเป็นคนบ้างาน แทบไม่ได้หลับไม่ได้นอน กว่าจะ ยอมไปเที่ยวบ้างก็ตอนที่รู้ว่าเป็นมะเร็งสองปีก่อนจะเสียชีวิต
ชีวิตไม่แน่นอน มีอะไรเกิดขึ้นต้องไม่ยอมแพ้ เมื่อก่อนหญิงเคยบอกแม่ว่า ถ้าต้องพิการ ให้หมอฉีดยาให้ตายไปเลยนะ เพราะคงรับสภาพไม่ได้ แต่ทุกวันนี้ หญิงยังสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุข ไม่ได้โลกสวยนะคะ แต่หญิงอยู่กับปัจจุบัน ยอมรับในเหตุการณ์ที่เราไม่สามารถควบคุมได้ เวลาอาจช่วยได้ประมาณหนึ่ง แต่ สุดท้ายอยู่ที่ใจเราจะตั้งรับกับปัญหานั้นอย่างไร แล้วนํามาเป็นบทเรียนให้เรามูฟออนเพื่อตัวเองและคนที่เรารัก
“แม้วันนี้จะยังเดินไม่ได้ แต่ไม่หยุดที่จะหาเทคโนโลยีใหม่ ๆ ให้ได้ทดลอง หญิง เชื่อในวิวัฒนาการทางการแพทย์ ในอนาคตอาจเจอการรักษาใหม่ ๆ ที่ทําให้กลับมา เดินได้ แต่ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไรเพราะตอนนี้หญิงอยู่ได้แล้วค่ะ”
เรื่อง กิดานันท์
ภาพ จีระวุฒิ ศริรจันทร์