กู้ทะลุเพดาน หนี้ครัวเรือนสูงเป็นประวัติการณ์ ... จะเกษียณยังไงให้มีเงินล้าน?

กู้ทะลุเพดาน หนี้ครัวเรือนสูงเป็นประวัติการณ์ … จะเกษียณยังไงให้มีเงินล้าน?

Alternative Textaccount_circle

สถานการณ์ ณ ขณะนี้ GDP ของไทยต่ำสุดในรอบหลายปี หนี้ครัวเรือนสูง และไทยอยู่ในสังคมผู้สูงอายุที่มีมากกว่า 12.5 ล้านคน โดยภายใน 15 ปี จะเพิ่มเป็น 20 ล้านคน สวนกับอัตราการเกิดใหม่ ที่สำนักบริหารการทะเบียนกรมการปกครองกระทรวงมหาดไทย ระบุว่าปี 2567  มีประชากรเกิดใหม่ไม่ถึง 5 แสนคน ถือว่าต่ำที่สุดในรอบ 70 ปี 

          เรากำลังอยู่ในยุคที่โลกเปลี่ยนแปลงมากที่สุด โดยเฉพาะเศรษฐกิจที่ชะงักทั่วโลก ยังไม่นับรวมหนี้ครัวเรือนที่สูงเป็นประวัติการณ์       คำถามคือ เราจะจัดการเงินอย่างไรให้มั่นคงตลอดรอดฝั่งจนถึงวันเกษียณ

         กูรูการเงิน พอล-ภัทรพล ศิลปาจารย์ มีคำตอบ

1.รู้วิธีผ่อนหนี้ ไม่ให้ทะลุเพดาน

            เศรษฐกิจทุกประเทศจะมีการกู้หนี้ 3 รูปแบบ หนึ่ง รัฐกู้ สอง เอกชนกู้ และสาม ประชาชนกู้ ตอนนี้ประเทศไทยมาถึงจุดที่กู้จนสุดตัว ทำให้การขยายตัวของเศรษฐกิจช้าลง

หนี้ภาครัฐทะลุเพดานแล้ว หนี้เอกชนก็เยอะ ส่วนหนี้ประชาชนก็สูงเป็นประวัติการณ์ ดูได้จากหนี้ครัวเรือนและหนี้นอกระบบ

            สำหรับหนี้ครัวเรือน ปกติมีหนี้ดีกับหนี้เสีย บอกก่อนว่าหนี้ไม่ได้แย่เสมอไป เช่น บางคนกู้มาลงทุนซื้อบ้านหรือคอนโดไว้ปล่อยเช่า นี่เรียกว่าหนี้ดี แต่มีจำนวนน้อยเพราะคนส่วนมากกู้ไปซื้อสินค้าบริโภคที่ไม่สร้างรายได้ อันนี้เรียกหนี้เสีย

            ความจริงคนไม่ได้มีปัญหาเรื่องหนี้ แต่มีปัญหาเรื่องรายได้ครับ ถ้ารายได้มากพอ เราจะไม่เป็นหนี้ เพราะฉะนั้นต้องโฟกัสที่รายได้ก่อน อันดับแรก ผมอยากให้คุณเปลี่ยนสมการเรื่องการใช้จ่ายใหม่เป็น  ‘รายได้-เงินออม/เงินลงทุน = รายจ่าย’ คือออมก่อน เงินที่เหลือค่อยนำไปใช้จะมีเงินเก็บมากขึ้น

            ส่วนเรื่องการใช้จ่าย เวลาซื้ออะไรให้คิดว่า นี่คือ need หรือ want อะไรคือสิ่งจำเป็น อะไรคือสิ่งที่อยากมี ถ้าใช้เงินเกินตัวจนเป็นหนี้บัตรเครดิตจะฟื้นตัวยาก เพราะคุณจะโดนสิ่งที่เรียกว่า ‘ดอกเบี้ยทบต้น’

            คือดอกเบี้ยที่ถูกทบกับเงินต้นแล้วกลายเป็นเงินต้นในงวดถัดไปนั่นเอง ขอยกตัวอย่างหนี้ในระบบ ดอกเบี้ยบัตรเครดิตจะอยู่ที่ราวๆ  21 เปอร์เซ็นต์ สมมติคุณเป็นหนี้ 100,000 บาท จะกลายเป็น 200,000 ในเวลา 3 ปีครึ่ง และจะขยับเพิ่มขึ้นเป็นหลักล้าน หนักไปกว่านั้น ถ้าเป็นหนี้นอกระบบ คุณอาจถูกคิดดอกเบี้ยที่ 20 เปอร์เซ็นต์ต่อสัปดาห์ หากไม่มีเงินจ่าย ก็จะถูกปรับขึ้นเป็น 80 เปอร์เซ็นต์ต่อเดือน และถ้าค้างไปเรื่อยๆ จะเพิ่มเป็น 800 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ไม่มีมนุษย์คนใดในโลกหาเงินใช้หนี้ขนาดนี้ได้ สิ่งที่ผมแนะคือ รวมหนี้ก้อนใหญ่ (ทั้งในระบบและนอกระบบ) แล้วไปผ่อนกับธนาคารแทน คุณจะใช้หนี้ในอัตราดอกเบี้ยที่ถูกลง อีกวิธีคือขอคำแนะนำจาก คลินิกแก้หนี้ (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.debtclinicbysam.com)  จะมีทางเลือกในการผ่อนหนี้หลากหลายแบบครับ”

2.ซื้อทองตอนนี้ ไม่มีคำว่าสาย

            ถ้าพูดถึงการซื้อทองโดยเน้นลงทุนระยะยาว แนะนำว่าซื้อไปเถอะครับ ไม่มีคำว่าสายเกินไปหรอก เพราะถ้าดูในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนของทองคำอยู่ที่ 8 เปอร์เซ็นต์ต่อปี ค่อนข้างสูง และราคาทองคำวันนี้กับอดีต ก็ต่างกันเยอะเลยใช่มั้ยครับ

ปกติการซื้อทองมี 2 แบบ คือซื้อเป็นทองคำแท่ง กับซื้อแบบออมทอง ซึ่งเป็นการซื้อแบบถัวเฉลี่ย ทยอยซื้อเพื่อสะสมทุกเดือน ผมแนะนำว่า คนที่ไม่ใช่มืออาชีพซึ่งอาจจับจังหวะการลงทุนไม่ถูก แนะนำให้ ซื้อแบบถัวเฉลี่ย คือ ซื้อเท่ากันทุกเดือน อาจจะเดือนละ 5,000 บาท และให้ซื้อวันเดียวกัน เพื่อตัดอารมณ์ลังเลออกไป ไม่ต้องกังวลว่าราคาจะแพงหรือถูก ถ้าซื้อแบบนี้เราจะได้ทองทุกราคา ถูกบ้าง แพงบ้าง กลางบ้าง หากซื้อติดต่อ 20 ปี ก็จะได้ทองจำนวนมากเลย

            ยกตัวอย่างให้เห็นภาพ สมมติซื้อทองคำ 5,000 ทุกเดือน ติดต่อกัน 20 ปี โดยมีผลตอบแทนอยู่ที่ 8 เปอร์เซ็นต์ต่อปี คุณจะมีเงิน 2,800,000 บาท โดยลงทุนไปเพียง 1,200,000  ได้เงินเพิ่มมา 1,600,000 นี่คือผลตอบแทนดอกเบี้ยทบต้นครับ

            และไม่ใช่แค่ทอง ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์อะไร ราคาก็เพิ่มขึ้นเพียงแต่ผมบอกไม่ได้ว่า ขึ้นเท่าไหร่เท่านั้นเองเหตุผลคือนับวันเงินด้อยค่าลง เพราะโลกนี้มีสิ่งที่เรียกว่าเงินเฟ้อคุณใช้การซื้อทองเป็นการออมก็ได้นอกจากนี้เรายังใช้วิธีซื้อถัวเฉลี่ยกับการลงทุนชนิดอื่น เช่น บิทคอยน์ คริปโต หรือ S&P 500 (ดัชนีเอสแอนด์พี 500 เป็นดัชนีตลาดหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ 500 แห่งในสหรัฐ) ทยอยซื้อได้ทุกเดือนเช่นกันครับ

3.ลงทุนเสี่ยงบ้าง

             สำหรับวัยเกษียณ หากอยากลงทุนแบบเสี่ยงต่ำอย่างเดียว ควรเปลี่ยนความคิดครับ

            สมมติขณะนี้คุณอายุ 60 คาดว่าจะมีชีวิตถึงอายุ 90 ใช้เงินเดือนละ 25,000 บาท จากนี้ไป 30 ปี ต้องมีเงินเก็บ 9 ล้านบาท คำถามคือคุณมีพอไหม ถ้าไม่มีก็ต้องหาหรือลงทุนเพิ่ม เพราะฉะนั้นถ้าลงทุนโดยเน้นว่าเงินต้องปลอดภัย ทางเลือกจะมีไม่เยอะ เช่น ออมทรัพย์ ฝากประจำ หรือซื้อหุ้นกู้ซึ่งผลตอบแทนจะน้อยเสมอ

            แต่ถ้าอยากรู้ว่าตัวเองเสี่ยงได้แค่ไหน ลองนำกฎ ‘120-อายุ’ ไปใช้ได้ครับ ยกตัวอย่าง ถ้าคุณอายุ 30 ปี ใช้ 120-30 ปี =90 ความหมายคือ คุณสามารถลงทุนสินทรัพย์เสี่ยงได้ 90 เปอร์เซ็นต์ในหุ้น คริปโต และ 10 เปอร์เซ็นต์ลงทุนในสินทรัพย์ที่เสี่ยงน้อย เช่น ตราสารหนี้ หุ้นกู้ แต่ถ้าคุณอายุ 60 ผลจะออกมาเป็น 120-60 ปี=60 คุณสามารถลงทุนสินทรัพย์เสี่ยง 60 เปอร์เซ็นต์ และ อีก 40 เปอร์เซ็นต์ เป็นสินทรัพย์ที่เสี่ยงน้อย

            และสุดท้าย ไม่ว่าเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร คุณต้องวางแผนวัยเกษียณตั้งแต่วันนี้ สูตรมีดังนี้ครับ ‘อายุขัย (อายุที่คิดว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ถึง) – อายุเกษียณ (อายุที่คุณเกษียณจากการทำงาน) = A แล้วนำ A คูณ 12 เดือน จากนั้นนำผลลัพธ์ที่ได้คือ B ไปคูณเงินที่คุณคิดว่าจะใช้ในแต่ละเดือนหลังเกษียณ นั่นคือเงินที่คุณต้องเก็บ ณ ตอนนี้ครับ

            ผมลองคำนวณให้ดูนะครับ

            85 (อายุขัย) – 55 (อายุเกษียณ)= 30 ปี (ที่ไม่มีเงินเดือน)

            30 ปี (ที่ไม่มีเงินเดือน) x 12 เดือน = 360 เดือน (ที่ไม่มีเงินเดือน)

            360 เดือน (ที่ไม่มีเงินเดือน) x 50,000 บาท (เงินที่คาดว่าจะใช้ต่อเดือน) =18 ล้านบาทครับ!

และนี่คือเงินที่ต้องเก็บก่อนอายุ 55 ปี (ซึ่งยังไม่รวมเงินเฟ้อ ที่ปกติจะขึ้นประมาณ 5 เท่า ถ้าคูณเบ็ดเสร็จ ต้องมีเงินเก็บประมาณ 90 ล้านบาท!) นั่นเป็นสาเหตุที่การลงทุนต้องมีความเสี่ยงบ้าง เพราะถ้าคุณเก็บเงินสดอย่างเดียว ต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล และกว่าจะถึงเป้าหมายก็ยากมาก เราจึงต้องมีการลงทุนเข้ามาช่วย

            อ่านจบแล้ว อยากลงทุนเลยใช่มั้ยครับ

อ่านบทความฉบับเต็มได้ในนิตยสารแพรว คอลัมน์ Money Wise ฉบับพฤษภาคม  2568


เรื่อง Fai

Praew Recommend

keyboard_arrow_up