จากนักแสดงหนุ่มฮอต สู่ชีวิต Slow Life ที่ “บ้านรากแก้ว” ของ โทนี่ รากแก่น การละทิ้งแสงสี สู่การใช้ชีวิตเรียบง่ายท่ามกลางธรรมชาติ พร้อมแนวคิดแบบยั่งยืนที่น่าสนใจ
ภาพจําที่ทุกคนเคยรู้จัก โทนี่ รากแก่น คือนักแสดงเจ้าบทบาท หรือ แฟชั่นนิสต้าสุดเท่ แต่วันนี้คงต้องทบทวนกันใหม่ เมื่อเขาลดบทบาทในงานบันเทิง แล้วเลือกเส้นทางสู่ธรรมชาติที่บ้านสวนสไตล์คลาสสิก เรือนหอของเขากับ “แก้ว จริญญา ศิริมงคลสกุล” ภรรยาผู้มีส่วนสําคัญในการเปลี่ยนแปลง วันนี้ แพรว มาเยี่ยม “บ้านรากแก้ว” พูดคุยกับเขาถึงการเลือกลดละจาก วิถีคนเมืองสู่ชีวิตที่รายล้อมด้วยพื้นที่สีเขียว พร้อมวิธีการดูแลสุขภาพแบบยั่งยืน

มนุษย์ Introvert
“ช่วงชีวิตที่ผมคิดว่าวุ่นวายที่สุดคือตอนอายุประมาณ 27 ปี ที่ได้ลองทํา อะไรหลายอย่าง เหมือนเป็นการค้นหาตัวเอง บวกกับเพิ่งเรียนปริญญาตรีด้าน การโฆษณา (RMIT University) ที่ประเทศออสเตรเลีย พอกลับมาได้ฝึกงาน เป็น Art Director ที่บริษัทลีโอ เบอร์เนทท์ (ประเทศไทย) จํากัด ระหว่างนั้น มีแมวมองชวนให้ประกวด The Cleo Bachelor 2008 เป็นเวทีที่ผลักดัน คนรุ่นใหม่ให้มีโอกาสในวงการบันเทิง ครั้งนั้นผมได้รางวัล Best Hair ทําให้ มีคนรู้จักมากขึ้น มีงานถ่ายแบบเข้ามาเรื่อย ๆ วันหนึ่งพี่ลูกเกด (เมทินี กิ่งโพยม) ชวนไปทํางานที่ร้าน The Lounge Hair Salon ที่สุขุมวิท เพราะรู้ว่าผมเคยเป็น ช่างทําผมอยู่ที่ต่างประเทศ ตอนนั้นฝึกงานจบพอดี”
“ทํางานสักพักมีโอกาสไปแคสต์ภาพยนตร์เรื่อง Big Boy (2010) ของ ค่าย M39 ถือเป็นจุดเริ่มต้นในวงการบันเทิงอย่างจริงจัง ซึ่งพอได้แสดงก็รู้สึก ชอบนะ คิดว่าตัวเองทําได้ดี จึงเลิกเป็นช่างทําผม ตั้งเป้าไว้เลยว่าจะดําเนินชีวิต ไปในเส้นทางของการเป็นนักแสดง”
“งานนี้ให้อะไรกับผมหลายอย่าง การรับบทบาทเป็นตัวละครต่าง ๆ ทําให้เข้าใจความหลากหลายของอารมณ์ ความรู้สึก ความคิดของมนุษย์ ได้เรียนรู้พฤติกรรมของมนุษย์ไปเรื่อย ๆ อย่างครั้งหนึ่งผมรับบทเป็นนักสเกตบอร์ด ที่มีบุคลิกเอกซ์โทรเวิร์ต กล้าแสดงออกมาก ๆ ตรงข้ามตัวตนที่อินโทรเวิร์ต”
“ต้องเล่าก่อนว่าการที่ผมมีโลกส่วนตัวสูงไม่ได้กระทบต่ออาชีพนักแสดงนะเพราะเมื่อถึงหน้างานผมก็พร้อมทํางานเต็มที่ อย่างเวลาเล่นละครผมใช้วิธีเข้าไป เป็นตัวละครนั้นจริงๆ ตอนเล่นซีรีส์ SOS skate ซึม ซ่าส์ (2017) ที่ต้องรับบทเป็น “ไซม่อน” ตัวละครที่เอกซ์โทรเวิร์ตแบบสุดโต่ง ผมทําการบ้าน ปรับเปลี่ยนวิธีคิด หลายอย่าง เช่น ปกติชอบอยู่บ้าน แต่ตอนนั้นใครชวนไปไหนก็ไป ปาร์ตี้เกือบทุกวัน เพื่อให้ตัวเองได้เข้าไปอยู่ในโลกของไซม่อนให้มากที่สุด กว่าจะแกะคาแร็คเตอร์นี้ ให้หลุดออกไปต้องอาศัยการปฏิบัติธรรม เพื่อให้มีสติสัมปชัญญะมากขึ้น” (ยิ้ม)

อยากอยู่อย่างนี้ไปนานๆ
อีกหนึ่งจุดเปลี่ยนของโทนี่มาจากการได้พบคู่ชีวิตที่ทําให้เขาอยากใช้ชีวิต ที่ชอบกับคนที่รักไปนานแสนนาน “ผมมีปมเรื่องความอบอุ่นในครอบครัว แยกทางกัน จึงทําให้ที่ผ่านมาพยายามมองหาความมั่นคงในความรักมาตลอด จนได้พ่อแม่มาเจอแก้วที่สอนให้ผมเข้าใจว่าการจะสร้างความมั่นคงตัวเราเองก็ต้องมั่นคงด้วยการใช้สติ รู้จักยับยั้งชั่งใจบวกกับคุณพ่อแก้วเป็นสุภาพบุรุษ ยกให้ครอบครัวเป็นที่หนึ่ง ไม่เคยว่อกแว่ก ทําให้แก้วมีภาวะของความรักที่เข้มแข็งมาก ถ้าเขาเจอคู่รักที่ไม่โอเคก็พร้อมที่จะเดินออกมาโดยไม่ลังเล ผมก็ได้เรียนรู้ จากตรงนั้น และรู้สึกว่าผมก็ควรจะดี เพื่อสร้าง ความมั่นคงทางความรู้สึกให้กับแก้ว และแก้วเองก็จะพร้อมสร้างความมั่นคงให้ผมด้วยเช่นกัน”
“เราทั้งคู่ค่อย ๆ พัฒนามาด้วยกัน จนมาถึง จุดที่ไม่จําเป็นต้องกังวลเรื่องความสัมพันธ์อีกแล้ว แต่พากันไปเรียนรู้เรื่องอื่น ๆ และตอนนี้เราทั้งคู่ก็ สนุกกับชีวิตมาก ๆ แก้วชอบชวนผมไปเดินป่าเขา ไปในที่ที่ไม่เคยไป ได้เติมประสบการณ์ร่วมกันทําให้เกิดความสัมพันธ์ที่คิดว่าคงหาไม่ได้อีกแล้วผมอยากรักษาความสัมพันธ์นี้ อยากมีสุขภาพแข็งแรง เพื่อให้ได้ใช้ชีวิตแบบนี้กับเขาไปอีกนาน ๆ”

สู่วิถีธรรมชาติ
“คุณพ่อผมเสียด้วยมะเร็งถุงน้ําดีเมื่ออายุ 70 กว่า ผมอยู่ในทุกกระบวนการความเจ็บปวดนั้น เห็นทุกอย่างจนรู้สึกไปกับเขาด้วย ผมพยายามศึกษาหาสาเหตุของการเป็นมะเร็ง รวมถึงวิธีการรักษาในแบบธรรมชาติมาปรับใช้กับคุณพ่อ แต่ไม่สําเร็จ”
“ผมพบว่าเพราะเราเริ่มทําที่ปลายเหตุ จึงคุยกับแก้วว่าในเมื่อมีชุดข้อมูลแล้ว หันมาดูแลสุขภาพกันดีกว่า เพราะผมกลัว ไม่อยากเจ็บเหมือนคุณพ่อ เรื่องโรคภัย เป็นสิ่งทีใกล้ตัวมาก เมื่อศึกษาลึกลงไปจะพบว่าอาหารส่วนใหญ่มาจากระบบ อุตสาหกรรม ซึ่งกรรมวิธีการผลิตอาจมีสารเจือปนที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงในการเป็น โรค โดยเฉพาะ NCDs หรือกลุ่มโรคที่เกิดจากนิสัยหรือพฤติกรรมการดําเนินชีวิต ที่ค่อยๆ สะสมอาการอย่างต่อเนื่อง เช่น โรคมะเร็ง เบาหวาน เมื่อคีย์เวิร์ดสําคัญ อยู่ที่การกิน ฉะนั้นเพื่อความปลอดภัยก็ควรต้องปรุงกินเอง”
“จะเห็นว่าเวลาผมสนใจเรื่องไหนเป็นพิเศษจะค่อนข้างเนิร์ด พยายามศึกษา ไปให้ถึงแก่น เพื่อให้รู้จริงและนํามาปรับใช้ ดูจากยูทูบบ้าง รวมถึงเดินทางไปเรียนรู้ ด้วยตัวเองกับอาจารย์ต่าง ๆ อย่างเช่น อาจารย์ปัญญา ปุลิเวคินทร์ ผู้อํานวยการ ศูนย์ภูมิรักษ์ธรรมชาติ จังหวัดนครนายก”
“ผมได้ความรู้เรื่อง บันได 9 ขั้น” มาจากอาจารย์ และยึดแนวคิดนี้ในการดําเนินชีวิต ขั้นแรกคือ ให้มีกิน” ปลูกสิ่งที่สามารถกินได้ ขั้นที่สอง ให้มีใช้ โดย ปลูกสิ่งที่นํามาใช้ได้ในอนาคต เช่น พรรณไม้ต่าง ๆ อย่างไม้กระถินหรือไม้ไผ่ ขั้นที่สาม ให้มีที่อยู่อาศัย” ด้วยการเลือกทําเลที่ตั้งอย่างเหมาะสม ขั้นที่สี่ ให้มีความร่มเย็น ซึ่งเมื่อมีสภาพแวดล้อมที่ดีแล้ว ความร่มเย็นจะตามมา ขั้นที่ห้า ทําบุญ” เมื่อมีผลผลิต เยอะก็นําไปทําบุญบ้าง ขั้นที่หก ทําทาน”
“แจกจ่ายเพื่อนบ้านหรือคนทั่วไป ขั้นที่เจ็ด “แปรรูป” นําผลผลิตที่ได้มาแปรรูปเป็นอาหาร อย่างผมปลูกต้นกล้วยไว้เยอะ ก็ นําไปทําบานาน่าไซเดอร์วินีการ์หรือน้ําส้มสายชูหมักกล้วย โดยนําน้ําตาลและ กล้วยลงไปหมักในโหล ทิ้งไว้ประมาณ 15 วันก็สามารถนําน้ําที่ได้มาดื่มหรือ ประกอบอาหาร เพราะจากการศึกษาเรื่องกิน ผมพบว่าสิ่งสําคัญที่เราควรกินคือ โพรไบโอติกส์ที่เกิดจากการหมัก เช่น กล้วย มะละกอ หมักเป็นวินการ์ คอมบุฉะ (ชาหมัก) หรือทํากิมจิ ส่วนขั้นที่แปด “การขาย” คือนําผลผลิตไป จําหน่ายให้เกิดรายได้ และเก้า สร้างเครือข่าย” หากลุ่มที่ปลูกพืชคล้าย ๆ เรามาดําเนินกิจกรรมร่วมกัน อย่างการสร้างตลาดหรือแบรนด์สินค้าเฉพาะกลุ่ม”
“ตอนนี้ผมอยู่ในขั้นที่เจ็ด คือการแปรรูป ส่วนจะไปถึงขั้นที่แปดหรือเก้าไหม ยังนึกภาพนั้นไม่ออก ด้วยความที่ยังมีรายได้จากการทํางานในวงการบันเทิงอยู่บ้าง อย่างงานพรีเซ็นเตอร์ ผมแพลนไว้ว่าจะแบ่งเวลาจากพาร์ตในวงการบันเทิงมาทํางานเกษตรเพื่อการเรียนรู้ก่อน ถ้าวันไหนพร้อมมีความรู้มากพอ ค่อยก้าวสู่ขั้นถัดไป เพราะผมอยากให้ผลผลิตที่ออกไปมีคุณภาพมากที่สุด”

Slow Life
ไลฟ์สไตล์ตอนอยู่ในวงการบันเทิงกับชีวิตตอนนี้อาจเรียกได้ว่าเป็นคนละคนเลย โทนี่ รากแก่น ในตอนนี้ ทั้งความคิดการดําเนินชีวิต และเป้าหมาย “ยอมรับว่าผมเปลี่ยนไปเยอะครับ อย่างตอนอยู่ในวงการบันเทิงความที่ธรรมชาติของผมไม่ค่อยชอบเป็นที่สนใจทําให้ต้องผลักดันตัวเองตลอดเวลา เพื่อให้มี เอเนอร์จี้พอสําหรับการทํางานและพบเจอผู้คนพอทําจนเคยชินจึงกลายเป็นนิสัยที่สองของผม “วันที่คุยกับแก้วว่าผมอยากโฟกัสการเพาะเมล็ด หมักดินให้สําเร็จ ถ้าให้ผมทําทั้งงานนักแสดง และงานเกษตรไปด้วยพร้อมกันอาจโดนตําหนิ เพราะการปรากฏตัวแบบตัวค่า หน้าดํา เล็บก็ดํา ผิดกฎข้อแรกในการทํางานวงการบันเทิงของผม คือความซื่อสัตย์ กับงาน เรียกว่าตอนนั้นผมมีแพสชั่นในการสร้างระบบนิเวศให้สําเร็จมากกว่า งานแสดง จึงขอเบรกไว้ก่อน แล้วพอได้ลองปลูกผักปลูกต้นไม้ก็รู้สึกว่าตัวเอง เหมาะกับตรงนี้มากกว่า เพราะเหมือนได้อยู่กับตัวเอง ไม่ต้องรับมือกับคนอื่น ๆ ซึ่งตรงกับตัวตนของผมที่สุด”
“ผมว่าทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ตลอด แต่วันนี้ผมพูดได้เต็มปากว่ามีความสุข กับการได้อยู่กับธรรมชาติ ที่สุดจึงบอกแก้วว่าคงไม่ทํางานแสดงแล้ว เพราะต้อง ใช้กระบวนการของความรู้สึกเยอะ ไม่สอดคล้องกับการดูแลสุขภาพตามเป้าหมาย ของผม แต่งานพรีเซ็นเตอร์หรือถ่ายแบบที่ทํางานระยะสั้น ๆ ยังรับอยู่นะครับ” หลายคนที่เคยเห็นคลิปวิดีโอที่คุณแก้วนําวัตถุดิบที่ปลูกในบ้านมาปรุงอาหารอาจมีคําถามว่าชีวิตจริงเป็นแบบนั้นหรือเปล่า “เราทําแบบนั้นประมาณ 70 เปอร์เซ็นต์ อีก 30 เปอร์เซ็นต์ก็มีกินข้าวนอกบ้านบ้าง สั่งอาหารบ้างในวันที่ไม่ว่าง แต่ส่วนใหญ่ จะทําเอง เพราะตั้งใจไว้แล้วว่าปลูกเพื่อนํามากิน ถ้าปลูกแล้วไม่ใช้ทําอะไร ก็เหมือนปลูกทิ้งขว้าง ไม่เกิดประโยชน์ แต่ในอนาคตตั้งเป้าว่าจะทําให้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ คือไม่ซื้ออาหารข้างนอก ทําให้ทุกอย่างเกิดขึ้นในบ้านได้ แต่อาจจะยากหน่อย เพราะผมเคยคิดอยากเลี้ยงปลาทับทิมไว้กิน แต่สุดท้ายไม่กล้าฆ่า มากสุดตอนนี้ จึงทําได้แค่การกินผักผลไม้ที่ปลูกหรือแปรรูปไว้”
“ส่วนใหญ่เรื่องการทําอาหาร แก้วทําครับ ผมทําไม่ค่อยเป็น (หัวเราะ) แก้ว มีพรสวรรค์มาก ผมชอบทุกเมนูเลย โดยเฉพาะแกงอ่อมที่มีผักชีลาว ใบมะรุม มะเขือต่าง ๆ แล้วยิ่งประเทศเรามีพืชผักที่สามารถนํามากินได้มากมาย หลายคน อาจไม่รู้ อย่างมะม่วงนอกจากผลของมัน ใบยังนํามาปรุงอาหารอร่อยมากครับ แก้วจะคอยดูว่าวันนี้มีต้นอะไรออกดอกออกผลบ้าง แล้วคิดเมนูต่าง ๆ”
“การได้ใช้ชีวิตแบบนี้ทําให้ผมเข้าใจเรื่องระบบนิเวศที่เป็นกลไกในธรรมชาติอย่างเช่น การที่ต้นไม้รากเน่าเพราะไม่แข็งแรง จึงมีเชื้อรามากิน เพื่อทําการ ย่อยสลายกลายเป็นสารอาหารให้กับสิ่งอื่น มองย้อนกลับมาที่ตัวเรา กระบวนการ ก็คล้ายกัน ถ้าให้จําแนกร่างกายจะประกอบด้วยเซลล์ต่าง ๆ ถ้าอยากมีสุขภาพดี ก็ต้องทําให้เซลล์ในร่างกายแข็งแรง จึงจะสามารถฮีลตัวเอง ผลิตผิวหนังหรืออวัยวะขึ้นมาใหม่ได้ในยามเจ็บป่วย เมื่อเข้าใจธรรมชาติเหล่านี้ ทําให้ผมรู้สึกมั่นคงในการดําารงชีวิตมากขึ้น”

บ้านรากแก้ว
จากแพสชั่นในการดูแลสุขภาพ นํามาสู่การสร้างบ้านสวนหรือ “บ้านรากแก้ว” ที่กั้นตัวเองจากโลกวุ่นวายภายนอกด้วยกําแพงสูงสีขาว เมื่อผ่านกําแพงเข้าไปแล้ว จะพบกับบรรยากาศร่มรื่น เต็มไปด้วยต้นไม้ ราวกับเป็นอีกโลกหนึ่ง “เริ่มจากการที่พวกเราอยากหาพื้นที่ปลูกผัก จึงตัดสินใจทําบ้านสวน โชคดีว่า คุณพ่อแก้วซื้อที่ดินตรงนี้ไว้นานแล้ว ช่วงแรกบ้านมีพื้นที่แค่นิดเดียว ความที่ผม อยากใช้ชีวิตเหมือนการอยู่ในป่า ทําบ้านหลังเล็กๆ มีเฉพาะพื้นที่ที่ใช้งานจริง ห้องน้ํา ครัว ห้องนอน ส่วนพื้นที่ข้างบ้านขุดเป็นบ่อน้ํา ปลูกต้นไม้ ทําแปลงผัก แต่ตอนหลัง ผมเริ่มสนุก อยากมีห้องเพิ่มอีก ทั้งห้องทํางาน ห้องเก็บของ และห้องนอนที่ใหญ่ขึ้น”
“แต่ไม่สามารถขยายพื้นที่แนวกว้างได้แล้ว เพราะติดบ่อน้ํา จึงต้องไปขยาย ทางแนวยาวแทน จนที่สุดบ้านมีความยาวถึง 72 เมตร เวลาเดินที่ต้องผ่านทุกห้อง (หัวเราะ) คอนเซ็ปต์ของบ้านหลังนี้คือมีความเป็นเรือนไทย ไม่ใช่ด้วยวัสดุ แต่ปลูกทิ้งขว้าง ไม่เกิดประโยชน์ แต่ในอนาคตตั้งเป้าว่าจะทําให้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ คือไม่ซื้ออาหารข้างนอก ทําให้ทุกอย่างเกิดขึ้นในบ้านได้ แต่อาจจะยากหน่อย เพราะผมเคยคิดอยากเลี้ยงปลาทับทิมไว้กิน แต่สุดท้ายไม่กล้าฆ่า มากสุดตอนนี้ จึงทําได้แค่การกินผักผลไม้ที่ปลูกหรือแปรรูปไว้ เป็นการยกพื้นสูง เพื่อให้มีความโปร่งและคำนึงถึงทิศทางลม ความที่ผมอยากใช้ชีวิตแบบเอ๊าต์ดอร์ เพรระก่อนหน้านี้อยู่แต่ในเมือง จึงตกแต่งข้างให้เป็นพื้นที่นั่นส่น ลมพัดตลอด ไม่ทำให้รู้สึกอึดอึดอัด เพิ่มบ้านต้นไว้นั่งทำสมาธิ ใช้เวลาประมาณ 2 – 3 ปีกว่าที่บ้านจะเสร็จสมบูรณ์”


“ผมว่าบ้านนี้สะท้อนตัวตมได้เยอะเหมือนกัน คือการเป็นคนเมือง แต่ต้องการพื้นที่ปลึกวิเวกออกมาอยู่กับธรรมกติ แต่ไม่ถึงขั้นเข้าไนป่า ยังคงติดอยู่กับความสวยงามบ้าง แต่ขมเดียวกันก็พร้อมที่จะปรอะเปื้อน ผมรัสึกว่าการใช้ชีวิตแบบนี้ไม่ได้เรียบง่าย เพราะมีดีเทลเยอะกว่าตอนทำงานเป็นนักแสดงอีกอย่างการจะปลูกผักซนิดหนึ่ง ต้องเพาะเมล็ด พอครบ 4 วันก็ย้ายต้นกล้าลงกระถางพบครบ 6 วันย้ายไปลงแปลง ต้องประทบประหงม ดูแลรดน้ำ ต้องมีตาราหาว่าวันจันทร์ถึงวันศุกร์จะทำอะไร ฉะนั้นการทำเกษตรไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่หลายคนเข้าใจ บวกกับความเป็นคนเมืองของผมที่ไม่เคยปอะไรสำเร็จมกก่อน พอมาทำสิ่งนี้จึงค่อนข้างยาก เพราะต้องเรียนรู้ใหม่เองทั้งหมด”

Wabi-Sabi ความงามที่ไม่สมบูรณ์แบบ
คติประจําใจของโทนี่ที่ยึดไว้เป็นหลักในการดําเนินชีวิตคือ Wabi-Sabi ปรัชญาของญี่ปุ่นที่ว่าถึงการหัดยอมรับในสิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบและความไม่แน่นอน ตามกาลเวลา “ผมชอบแนวคิดนี้ เพราะรู้สึกว่ามีความเป็นจริงสูง ทุกอย่างไม่ถาวร แม้กระทั่งความรู้สึกของคน สิ่งที่จะทําให้ยั่งยืนมากขึ้นคือการรักษา แต่เมื่อถึงเวลา ที่ต้องเปลี่ยนแปลง เราก็ต้องพร้อมรับมือ ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกเดินไปในทิศทางไหน บางทีทางเลือกของเราอาจจะผิด ไปในแนวดาร์กโดยไม่ได้ตั้งใจ ก็แค่พาตัวเอง ออกมาจากตรงนั้น และเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะรู้สึกว่าที่ตรงนั้นคือที่สําหรับเรา จริง ๆ แต่ถ้าถามว่าจะเปลี่ยนแปลงการใช้ชีวิตแบบนี้ไปทําอย่างอื่นอีกไหม คําตอบ ก็คือคงยากแล้ว เพราะตรงนี้เป็นพื้นที่ที่ผมสบายใจและมีความสุขที่สุดครับ (ยิ้ม) “


“สําหรับใครที่กําลังจะเริ่มต้นเส้นทางใหม่ในชีวิต จงซื่อสัตย์กับความรู้สึก ตัวเอง การเปลี่ยนแปลงนี้หมายถึงการนําพาตัวเองไปสู่พื้นที่ที่ไม่คุ้นเคย ฉะนั้นต้องอาศัยความกล้าในการออกไปเผชิญ ถ้าเป็นไปได้ก็พยายามละความกลัวที่เป็น ปัจจัยสําคัญที่ทําให้คนเราไม่กล้าเปลี่ยนแปลง ไม่กล้าทดลองทําสิ่งใหม่ ๆ ใครจะรู้ว่าถ้าได้ก้าวออกไปอาจจะพบกับพาร์ตที่ดีที่สุดในชีวิตเลยก็ได้”
เรื่อง Prince
ภาพ วรสันต์ ทวีวรรธนะ