2 ปีที่พักงาน “โป๊ป-ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ” เล่าถึง เป้าหมายแต่ละวันว่า “อยู่กับปัจจุบัน” คำง่ายๆไม่กี่ค่าที่กลายเป็นปรัชญาการใช้ชีวิตของเขา ซึ่งอาจสวนทางกับโลกปัจจุบันที่ทุกอย่างต้องมุ่งสู่อนาคต งานในวงการบันเทิงแข่งขันกันสูง โป๊ปคือหนึ่งใน นักแสดงไม่กี่คนที่ไม่มีช่องยูทูบ ไม่จัดแฟนมีต ออกอีเวนต์ น้อยมาก ไม่ซีเรียสที่จะต้องมีผลงานละครต่อเนื่องเพื่อให้ชื่อ ติดอยู่ในทวิตเตอร์ จะสรุปว่าเขาแทบไม่สนใจชื่อเสียงก็ไม่ผิดซึ่งนั่นเป็นผลจากการฝึกใช้ชีวิตอยู่กับคําว่า “วินาทีนี้ตอนนี้” ซึ่งเขาพอใจแล้ว
ช่วงที่พักงานทําอะไรบ้างคะ
“ยุ่งกับการสร้างสถานปฏิบัติธรรมให้แม่ (คุณแม่ปราณี วรรธนะภูติ) ชื่อว่า เรือนธรรม สร้างบนเนื้อที่ขนาด 2 ไร่แถวลาดกระบัง ใช้เงินตัวเองทั้งหมด คอนเซ็ปต์ ที่นี่เรียบง่าย ประหยัด ไม่เน้นความสวยงามหรูหรา แต่สงบร่มเย็น ผมไม่ยุ่งเรื่อง การออกแบบเลย แต่ยุ่งเรื่องการจัดสวน หาต้นไม้มาตกแต่งเท่านั้น
“สําหรับกิจกรรมต่าง ๆ ในสถานปฏิบัติธรรมก็ปล่อยให้แม่ดูแลจัดการทั้งหมด ที่นี่จะมีห้องพักพร้อมอาหาร มีครูมาสอนธรรมะ ใครสนใจสามารถมาปฏิบัติธรรม 5-7 วันได้ โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ที่ผ่านมาผมก็มาพักที่นี่บ้างเหมือนกัน นานสุด คือ 10 วัน แต่ไม่ได้เข้าคอร์สนะ มาพักเพื่อดูใจตัวเอง…สงบดี
“ส่วนชีวิตนอกเหนือจากนี้ไม่ต่างจากปีก่อนหน้า คืออยู่บ้านเป็นหลัก ออกกําลังกาย ตีกอล์ฟบ้าง และดูแลธุรกิจอาหารเสริม SANO สําหรับงานละคร ตอนนี้มีติดต่อเข้ามาแล้วครับ เป็นแนวรักโรแมนติก วิทยาศาสตร์ ก็ต้องรอดูว่า จะเปิดกองประมาณช่วงไหน ถ้าหากไม่ติดอะไร ประมาณกลางปีหน้าแฟน ๆ น่าจะ ได้ชมผลงานกัน”

ตอนอายุ 38 โป๊ปเคยบอกว่า “ไม่มีงานก็ไม่เป็นไร ดีเสียอีกที่ชีวิต ว่าง” 4 ปีผ่านไปยังคิดเหมือนเดิมไหม
“เหมือนเดิมเลย ยังไม่เปลี่ยน ผมคิดว่าอะไรจะเป็นก็เป็นไป เราอยู่ได้ทั้งใน สถานการณ์ที่สมหวังและไม่สมหวัง โดยไม่ได้คาดหวังอะไรด้วย เพราะธรรมชาติ ชีวิตคนเราเดินหน้าสู่ความเสื่อมอยู่แล้ว แน่นอนว่าช่วงที่ว่าง ๆ ความรู้สึกเบื่อก็มีนะ มีหมดทุกอารมณ์นั่นแหละ แต่เป็นเพียงความคิดที่จะผ่านไป อยู่ที่ว่าเราจะทันมัน หรือเปล่า ถ้าเบื่อแล้วยังไง จะทิ้งอารมณ์เบื่อไปทําอย่างอื่นหรือจะอยู่กับมันต่อ ก็เท่านั้นเลย ผมฝึกคิดอย่างนี้
“อย่างธุรกิจที่ผ่านมาก็ยังทําไปได้เรื่อย ๆ ขายดีบ้าง ไม่ดีบ้าง ถ้าวันหนึ่ง ขายไม่ได้ก็คิดว่าจะเลิกทํา เช่นเดียวกับงานละคร ถ้ามีละครดีๆ ติดต่อมาก็เล่น แต่ ถ้าไม่มีบทบาทที่สนใจ อยู่เฉย ๆ ก็สบายใจดี คิดว่าชีวิตที่ผ่านมาก็ทํามาดีมากแล้ว ถ้าใช้เงินเป็น เก็บออมให้ดี รู้จักประหยัดตามที่มี ก็อยู่ได้จนแก่ตาย เพราะฉะนั้น จึงไม่อยากมี ไม่อยากเป็นอะไรมากกว่าที่เคยเป็นมา
แปลว่าวางแผนการเงินมาดี
“ใช่ครับ แพลนมานานแล้ว น่าจะตั้งแต่จําความได้เลยนะ คือผมใช้เงิน เท่าที่ตัวเองมีมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งแปลกมาก เพราะแม่ก็ไม่เคยสอน แค่รู้สึกกลัวที่จะ ใช้เงินในอนาคต สมมติมีเงิน 5 แสน ก็จะซื้อรถไม่เกิน 5 แสน ไม่ว่ามันจะสวย วิเศษแค่ไหนก็ไม่เอาเลย มีเท่าไรก็ใช้เท่านั้น
“แต่ถ้าผมมีเงิน 100 บาท รถราคา 10 บาท ก็ซื้อเลยนะ โดยไม่เคย แยกงบชัดเจนว่าฉันต้องเก็บเงินก้อนนี้เพื่อซื้อรถคันนี้ ผมเป็นประเภทถ้าถึงเวลานั้น มีเงินพอ แล้วเตะตากับของชิ้นนี้ พิจารณาแล้วว่าซื้อแล้วไม่เดือดร้อน ไม่ผิด ศีลธรรม ชีวิตหนึ่งได้ใช้มัน ได้ขับมัน ก็ซื้อเลย โดยมีข้อแม้ว่าจะไม่ยอมผ่อนเพื่อ เป็นหนี้ นิสัยผมเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็ก และติดตัวจนกระทั่งมาเป็นนักแสดง แม้ จะมีเงินมากกว่าแต่ก่อน ผมก็ใช้เงินนั้นดูแลตัวเอง ครอบครัว และช่วยเหลือคนอื่น โดยไม่เคยใช้เกินจากที่ตัวเองมี”

รถหรูที่เห็นในไอจีก็ซื้อด้วยเงินสด?
“ซื้อเงินสดทุกอย่าง ซึ่งบัตรเครดิตก็มีนะ แต่มีแค่ใบเดียว ธนาคารก็ พยายามให้ผมสมัครบัตรพรีเมียมต่าง ๆ แต่ไม่เคยทํา ผมจะใช้บัตรตอนที่ไม่พก เงินสดเท่านั้น และจะรูดเท่าที่จ่ายไหว ส่วนมากรูดหลักพันหลักหมื่นแค่นั้น ใช้เงิน แบบรู้ตัว”
เคยทุกข์อยากได้อะไรแต่เงินไม่พอไหมคะ
“ก็มีนะ แต่พยายามลืม ๆ มันไป (หัวเราะ) คือสุดท้ายความคิดเป็นสิ่ง ไม่แน่นอน บางทีไม่กี่ชั่วโมงก่อนอยากซื้อของชิ้นนี้ แต่พอไปตีกอล์ฟ ความคิดที่ อยากได้หายไปละ พอรู้เท่าทันความอยาก จึงเริ่มเฉย ๆ กับทุกสิ่ง แต่ก็อย่างที่ เล่าไป ถ้ามีเงินพอก็ซื้อตรงนั้นเลย”
“สุดท้ายผมคิดว่าความอยากของคนจะไปจบที่คําว่าพอ อย่างผมพอเพราะฝึกใช้เงินมาตั้งแต่เด็กเมื่อมองย้อนกลับไปจะเห็นว่าที่ไม่ลําบากก็เพราะใช้ชีวิตถูกมาตลอด ไม่ได้ประหยัดดีเด่นกว่าใครหรอกนะ แต่แค่รู้ว่ามีเงินเท่าไรก็ใช้ เท่าที่มี เมื่อก่อนก็อยู่บ้านหลังเก่า ๆ กับแม่มาตั้งแต่เล็กจนโต กระทั่งมีชื่อเสียง สร้างบ้านหลังใหม่ ก็ไม่ได้ซื้อในราคาหลายสิบล้านเพียงเพราะเป็นดาราและต้อง มีบ้านราคาเท่านั้นเท่านี้ ทุกวันนี้ที่สบายใจและใช้ชีวิตโดยไม่ต้องการทําอะไรมากมายก็เพราะสะสมมาพอแล้ว”
“ผมรู้จักคนรอบตัวที่เป็นทุกข์เพราะมีหนี้สิน หรือบางคนมุ่งทํางานหาเงินจน หาความสุขไม่ได้ บางคนเขาทุกข์ใจมาปรึกษาบ้าง เราก็เข้าใจว่าเหตุเกิดจากอะไร ทําไมเขาต้องทุกข์กับชีวิตที่ต้องต่อสู้หนักหนาขนาดนั้น ทุกอย่างเกิดจากความ อยากได้อยากมีเหมือนคนอื่น ยิ่งทุกวันนี้โซเชียลกระตุ้นความอยากของคน ทั้งที่ บางสิ่งที่ปรากฏในนั้นเป็นภาพลวงตา เราไม่รู้หรอกว่าอะไรจริงหรือไม่จริง ถ้าไม่มีสติ หยุดความคิดไม่ได้ จะกลายเป็นปัญหา ไม่สามารถก้าวข้ามหาความสงบได้”

ถ้ารู้จักพอ อาจไม่ต้องทํางานหนัก
“ถูกต้อง ไม่ใช่ว่าผมมีเงินแล้วพูดได้นะ แต่มันคือเรื่องจริง ถ้าใช้เท่าที่มี ไม่สร้างหนี้ ก็มีเงินเหลือใช้ ไม่ต้องอยากมีมากไปกว่าที่มีอยู่ อยู่ของเราแบบนี้ ก็พอใจแล้ว และพยายามไม่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น เพราะมันจะไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเปรียบเทียบไปเพื่ออะไร”
แล้วเคยเปรียบเทียบไหมคะ
“เคยนะ แต่ไม่ถึงขั้นว่าต้องพยายามเพื่อจะเป็นเหมือนเขาหรือไปไกลกว่าเขา ตั้งแต่ทํางานใหม่ ๆ จนถึงวันนี้ ความรู้สึกของการเปรียบเทียบก็ยังมีอยู่ เช่น คนนี้ ทํางานไปไกลกว่าเราแล้วนะ อย่างนั้นอย่างนี้ ผมรู้สึกนะ แต่ก็หยุดตรงนั้น และ พอหยุดได้ ความคิดจึงไม่เคยเลยเถิดถึงขั้นว่าต้องพยายามเพื่อจะเป็นเหมือนใคร เพราะฉะนั้นถ้ามีสติรู้ มีศีลกํากับ ความคิดและอารมณ์จะทําอะไรเราไม่ได้เลย ถึงทุกวันนี้ผมจะยังมีความอิจฉา อยากมี อยากเป็น แต่ไม่เคยเผลอดิ้นรนเพื่อ ให้มีเทียบเท่าใครหรือมากกว่าใคร เขาจะไปไกลกว่าก็เรื่องของเขา คนละชีวิตกัน”
“เมื่ออารมณ์ผุดขึ้นมาต้องตัดทิ้งเลย อยู่กับปัจจุบัน ถ้าอยู่กับสิ่งตรงหน้าได้จะไม่มีการเปรียบเทียบ ทํางานให้ดี ให้เต็มที่ ผลจะดีกว่าหรือแย่กว่าไม่เกี่ยวแล้ว เพราะมันเป็นผลลัพธ์ ขึ้นอยู่กับว่าคุณมีความสุขกับสิ่งที่ทําไหม”
ใช้วิธีไหนดึงสติมาอยู่กับปัจจุบันคะ
“กลับมาอยู่กับลมหายใจเข้า – ออก ถ้าเห็นอะไรแล้วรู้สึกชอบก็รู้แค่ว่าชอบ ถ้าชอบมากจนรู้สึกบีบคั้น อยากได้นั่น อยากได้นี่ ดูแล้วเป็นทุกข์ก็อย่าดูแค่นั้นเอง ทําไปทีละขั้น”
“เช่น ถ้าดูโซเชียลแล้วเพลินก็ให้รู้ว่าเพลิน แต่ถ้าเพลินมาก ใจเริ่มไป ก็จะไปต่อเรื่อย ๆ ไม่จบ ก็แค่ปิดมือถือซะ หรือถ้าวันไหนเจอเรื่องแย่มากๆ ก็กลับมา อยู่กับลมหายใจ โกรธก็ให้รู้ว่าโกรธ ดูว่าโกรธอยู่นานไหม บางครั้งผมโกรธอยู่ เพื่อนทักมาว่า ‘ไปกินข้าวกัน” ความโกรธหายไป ความดีใจแทนที่เพราะเพื่อน”

ชวนไปกินข้าว นี่คือการดูตามความเป็นจริง เป็นวิธีที่ฝึกอยู่เสมอ
“ตั้งแต่ศึกษาธรรมะมา การอยู่กับปัจจุบันคือคําสอนที่ดีที่สุด พระพุทธเจ้า สอนหลายเรื่อง แต่หลักการใหญ่คือการอยู่กับช่วงเวลาตรงหน้า พระพุทธเจ้าตรัส ว่าลมหายใจเป็นสิ่งที่เลิศที่สุด มันมีอยู่ในร่างกายตลอดจนเราตาย ถ้าเราอยู่ใน ทางสายกลาง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่เบี่ยงไปซ้ายหรือขวา แค่รับรู้อารมณ์ก็ถือว่า เก่งมาก หรือบางทีถ้าอยู่กับลมหายใจไม่ทัน อยู่กับจิตก็ได้ แต่ผมเข้าใจนะ สิ่งเหล่านี้ทํายาก ต้องอาศัยการปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง เพราะตัวเองยังหลุดเลย บางที ก็ยังอยากที่จะสนุกสนาน ยังมีความอยาก เพลินกับการกิน การดู สัมผัส แค่ ไม่ออกไปนอกศีลธรรม”
เรื่องไหนที่ห้ามใจไม่ไหว
“ทุกอย่างเลยนะ ยังชอบกินอาหารอร่อย ชอบรถ ชอบมองผู้หญิงสวย ยังอยากอยู่กับเพื่อน เพลินกับการหัวเราะ เพลินกับการสัมผัส ชอบเล่นกีฬา เรื่อง เหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่แย่ แต่ถ้าเรามีสติรู้ตัวว่ากําลังทําอะไรอยู่ หลงกับมันมากไปไหม ใช้เวลาอยู่ตรงนี้นานเท่าไร อย่างบางทีนั่งดูหนังเพลินมาก ๆ เผลอนั่งยิ้มคนเดียว คือเพลินไปละ เราอาจจะไม่มีสติรู้ว่ากําลังทําอะไร จนบางทีก็คิดเพ้อฝันไปว่าฉัน อยากจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้”
“แต่ชีวิตนี้ก็ยังห่วงอีกเยอะ ยังห่วงที่บ้าน มีอีกหลายอย่างที่ปล่อยไม่ได้ แต่ ไม่ได้มากถึงขนาดว่าถ้าขาดไปตายแน่ ผมไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว เราสามารถปล่อยวาง จากหลาย ๆ เรื่องได้”
บางคนอาจคิดว่าการปล่อยวางอาจหมายถึงการไม่กล้าเผชิญหน้ากับเรื่องที่ทุกข์ใจหรือผลักความรับผิดชอบ
“แล้วแต่ว่าใครจะมองมุมไหน คือถ้าจะมองอย่างนั้นก็ได้ ไม่ผิด แต่คนที่ ปล่อยวางได้ เขาก็จะคิดว่าการวางได้คือการชนะใจตัวเอง ไม่ไปสนใจ ไม่ทะเลาะ หรือต่อความยาวกับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่ทั้งนี้ก็แล้วแต่สถานการณ์และความเหมาะสม “เช่น A กับ B จะบวช A อาจบวชโดยไม่สนใจพ่อแม่ เขาตั้งเป้าเดียว ในชีวิตคือทําเพื่อความสูงสุดของจิต ขณะที่ B ออกบวชเหมือนกัน แต่ยังกลับมา ดูแลที่บ้าน เพราะยังเป็นห่วง ผมคิดว่าสองคนนี้ไม่มีถูกหรือผิด ขึ้นอยู่กับ ความคิดและเหตุปัจจัยของแต่ละคน”
“สําหรับผม หากถามว่าการปล่อยวางคือการทิ้งภาระหรือเปล่า ผมคิดว่า สุดท้ายมันจะกลายเป็นความคิดซ้อน คือมีความคิดนี้เข้ามาซ้อนกับอีกความคิด เช่น ฉันอยากวางเรื่องนี้ลงแล้ว แต่ก็คิดว่าถ้าตัวเองปล่อยจะดูละเลยไหมนะ เพราะฉะนั้นถ้าเอาแต่คิดวนเวียนอย่างนี้ สุดท้ายแล้วจะปล่อยอะไรไม่ได้เลย”

เคยฝึกไปถึงขั้นมรณานุสติไหมคะ
“ทําบ้างนาน ๆ ครั้ง เป็นการใช้ความคิดนั่นแหละ ให้พิจารณาว่าเราต้องตาย แล้วนะ นึกถึงภายในร่างกายที่เป็นกระดูก เอ็น น้ําหนอง เป็นความเน่าเปื่อย ถ้าใครทําได้ก็ถือว่าดี
“ผมคิดว่าความตายน่ากลัวที่สุดแล้ว ทุกวันนี้แค่เจ็บข้อเท้ายังอยากจะหาย ไวๆ เลย รู้ตัวว่าเวลาป่วยหนักใจเรากลัวแค่ไหน เขาจึงให้เจริญสติเพื่อรอคอยการตาย เพราะสุดท้ายก่อนตายมนุษย์ก็ใช้แค่นี้แหละ ให้มีสติทุกลมหายใจจนถึงจิตสุดท้าย ซึ่งเราก็ไม่มีทางรู้หรอกว่าตายแล้วจะไปที่ไหน ทั้งที่เราอาจจะวนเวียนเกิดมากี่ภพกี่ชาติแล้วก็ไม่รู้”
“ถ้าให้นึกภาพ ผมกลัวการตายของตัวเองมากกว่าคนรอบข้าง ถ้าคนที่เรารักตายเป็นทุกข์อยู่แล้ว แต่ยังไม่เท่าที่ตัวเองตาย ยังเป็นเรื่องที่กลัวที่สุดอยู่ดี ยังมีความรู้สึก เสียดายร่างกายนี้ เสียดายตัวตนของฉัน เคยเหมือนกันนะที่จินตนาการถึงความตาย ของตัวเอง แต่ก็พยายามไม่ใส่ใจกับมันมาก เพราะเป็นแค่ภาพความคิด เราไม่รู้หรอก ว่าวันข้างหน้าจะเป็นยังไง จะตายอายุเท่าไร สร้างเหตุในปัจจุบันให้ดีที่สุดดีกว่า”
ตั้งเป้าหมายชีวิตยังไงบ้างคะ
“อยู่กับปัจจุบันให้มากที่สุด คือเมื่อก่อนผมเคยมีเป้าหมายนะ เช่น อยากทํา เรื่องนี้มาก แต่ผ่านมา 5 ปีก็ยังไม่ได้ทําสักที ก็ตัดทิ้ง เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะทํา แล้ว มันเป็นแค่ความคิด ถ้าถามว่าเสียใจไหม ไม่นะ เพราะตัดทิ้งไปหมดแล้ว “เพราะฉะนั้นเป้าหมายทุกวันนี้มีแค่อยู่กับวินาทีนี้ ตอนนี้ เพราะทําให้ย้อนถึง อดีตและอนาคตน้อยลง อยู่กับกิจกรรมที่อยู่ตรงหน้า อยู่กับลมหายใจ แล้วชีวิต จะไม่เป็นทุกข์ เราเป็นทุกข์เพราะจินตนาการ ซึ่งไม่มีประโยชน์ สุดท้ายสิ่งที่ผ่านมา ก็ผ่านไป ส่วนสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็ยังไม่เกิดเพราะยังมาไม่ถึง การกลับมาอยู่กับลมหายใจ ตรงหน้าคือเลิศที่สุดแล้ว”
“อย่างเวลาตีกอล์ฟก็ตีกอล์ฟ พออยู่กับมันก็จะรู้ว่าชีวิตไม่แน่นอนนะ วันนี้ ที่ดีมาก อีกวันกลับแย่มาก ส่วนเวลาอยู่กับเพื่อนก็คืออยู่กับเพื่อน ผมจะหยิบ มือถือขึ้นมาเล่นน้อยมาก แม้เพื่อน ๆ จะหยิบมือถือขึ้นมาเล่นก็ตามเถอะ (หัวเราะ) เพื่อนจะเล่นก็เล่น เราก็ชวนเขาคุยไป คนสมัยนี้ติดโทรศัพท์กันเยอะ ก็ไม่ผิดหรอก เป็นเรื่องของเขา”
การที่ตั้งใจใช้ชีวิตกับเหตุการณ์ตรงหน้า เป็นเพราะกลัวว่าชีวิตไม่มีอะไรแน่นอน ไม่รู้ว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายหรือเปล่าคะ
“ไม่เคยคิดในมุมนั้น แค่รู้สึกว่าไม่รู้จะเล่นมือถือไปทําไม เพราะเราก็อยู่กับ เพื่อน ๆ แล้ว แต่ถ้าถามว่าเล่นโทรศัพท์ไหม ก็เล่นนะ แต่เล่นไม่นาน พยายามไม่หลง ไปกับมัน ผมจะหยิบโทรศัพท์เวลารถติด เช่น เล่นเกมสร้างเมืองฆ่าเวลาบ้าง ตอบไลน์หรือเปิดยูทูบฟังธรรมะบ้าง ชอบเพราะรู้สึกให้แก่นสารมากกว่าฟังข่าวคนฆ่ากัน หรือ บางครั้งก็นั่งเฉย ๆ อยู่กับตัวเองนี่แหละ ดูข้างในกายและใจเราว่ารู้สึกอะไรก็แค่นั้น”

จะมีโปรเจ็กต์ก่อการดี ทําบุญร่วมกับแฟนๆอีกไหมคะ
“มีคนถามเยอะ แต่ตอนนี้ยังไม่มีโอกาสครับ ซึ่งใจก็ยังนึกถึงแฟนคลับ ตลอดนะ เขาดีกับเรา รักเราเหนียวแน่น มีแต่ความหวังดีให้กัน ก็อยากให้เขามี ความสุข ซึ่งการที่ไม่ได้จัดกิจกรรมไม่ได้แปลว่าไม่คิดถึงนะ เป็นเรื่องของอนาคต ว่าจะจัดอีกเมื่อไหร่”
“ที่จริงโปรเจ็กต์ ก่อการดีก็คล้ายกับแฟนมีตย่อม ๆ ผมจัดกิจกรรมนี้ตั้งแต่มี แฟนคลับยุคที่ยังไม่มีใครรู้จักผม เราไปทําบุญที่ต่างจังหวัดกันประมาณ 50 คน ไปกัน ทุกปี จนกระทั่งมาเล่น บุพเพสันนิวาสมีแฟนคลับเพิ่มขึ้น ไปทําบุญกันกว่า 6,000 คน ซึ่งผมจัดกิจกรรมนี้ขึ้นมาเพื่อขอบคุณแฟน ๆ ที่ได้ทําบุญร่วมกัน นั่นคือเจตนาของผม “สําหรับผม “การให้” เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด และธรรมะเป็นสิ่งที่เลิศที่สุด การทําทานเป็นพื้นฐานที่ดีที่ทําให้ผมมีสติมาถึงทุกวันนี้ ช่วยขจัดความเห็นแก่ตัวและขยะในใจ ผมฝึกการให้มาตั้งแต่ยังหวังผล อยากรวย อยากจะมี อยากจะเป็นจนกระทั่งทุกวันนี้ไม่ขอพรอะไรอีกแล้ว ไม่อยากมี ไม่อยากเป็น และผมอยากให้ ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นกับแฟน ๆ บ้าง”
ต้องฝึกนานไหมกว่าจะให้โดยไม่หวังผล
“ฝึกมาเรื่อย ๆ สมัยเด็กเวลาทําบุญผมจะอธิษฐานตลอด แต่ช่วงหลังฝึกให้ โดยไม่หวังว่าจะได้อะไร รู้สึกว่ามันเป็นประโยชน์มากกว่า เพราะเจตนาการให้เป็นสิ่ง สําคัญ คุณทําได้ไหม ให้โดยไม่ป่าวประกาศออกไป ให้โดยไม่ต้องออกหน้า สละ ออกไปโดยไม่หวังอะไรเลยแม้แต่คําอธิษฐาน แต่ให้ด้วยประโยชน์ ให้เพื่อแผ่นดิน เพื่อธรรมชาติ ซึ่งเป็นการให้ที่อานิสงส์สูงสุด ขณะเดียวกันการให้ก็ไม่เกี่ยวกับ จํานวนเงินว่ากี่บาท บางคนมี 10 บาท บางคนมีล้าน ก็เป็นเรื่องของเขาที่จะสะดวก ให้เท่าไร เป็นเรื่องที่เทียบกันไม่ได้”

ตอนนี้อยากช่วยเหลือด้านไหนคะ
“อยากช่วยทุกอย่างเลยนะ ทั้งศาสนา การศึกษา โรงพยาบาล อยากทํา ทั้งหมด และที่ผ่านมาตลอด 20 ปีก็ช่วยมาเยอะ ทั้งเลี้ยงดูเด็กยากไร้ น้ําท่วม ไฟไหม้ เราให้หมด เพียงแต่ไม่ได้บอกใคร ที่เล่าเรื่องนี้เพราะว่าจะได้เป็นตัวอย่าง ให้คนที่ได้รู้รู้จักสละให้เท่านั้น ถ้าได้ทําก็จะดีกับตัวเอง”
“มุมมองด้านการให้เปลี่ยนไปแล้ว แล้วมุมมองความรักเปลี่ยนไหม “เหมือนเดิม ไม่ได้คาดหวังอะไร สมมติว่าเจอคนหนึ่งที่ชอบมาก แต่เขา ไม่ชอบเรา ก็ทิ้งได้ ไม่โหยหา ไม่อกหัก ซึ่งการอยู่กับความจริงตรงหน้าสอน ให้เราทิ้งได้หมด และความรักในที่นี้เป็นสิ่งเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ครอบครัว หมา แมว ญาติ บ้าน รถ ถ้าทิ้งไม่เป็น หากวันหนึ่งสูญเสียไปก็จะเป็นทุกข์”
สมมติว่าวันหนึ่งรถที่โป๊ปรักมากเป็นอะไรไป จะเสียใจมากไหม
“เสียใจ โกรธ แต่ก็รับรู้ว่าทุกอย่างต้องเสีย ต้องพัง ถ้าใครทําก็แค่ชดใช้ ค่าเสียหายเท่านั้นเอง แต่จะไม่ทําอะไรที่ขาดสติ เพราะเมื่อโกรธได้ก็หายได้ เรา ต้องปล่อยวางรถคันนี้ให้ได้ ซึ่งพอฝึกจิตมาจะปล่อยได้เอง
“ขอยกตัวอย่างเหตุการณ์หนึ่ง ผมสร้างบ้านใหม่ ตอนนั้นช่างทําได้ไม่ดี แล้วจู่ ๆ ก็หนีหายไป ไม่รับผิดชอบ ผมตัดปัญหาด้วยการหาช่างทีมใหม่มาแก้ไข ต้องเสียเงินเพิ่มอีก 5 แสน ถ้าเป็นคนอื่นเขาอาจจะไม่ยอม อย่างน้อยคงต้อง คุยกับผู้รับเหมาว่าช่วยออกเงินคนละครึ่งได้ไหม แต่ผมไม่ทํา เพราะรู้สึกว่าเขา หายไปไหนก็ไม่รู้ และไม่มีประโยชน์ที่จะไปทะเลาะหรือฟ้องร้องกัน คือจะทะเลาะ ก็ได้ แต่เลือกที่จะไม่ทํา คิดเสียว่าบริจาคเขาไปก็แล้วกัน แค่นั้นเลย”
“ถามว่าเราโกรธซ่างไหม โกรธสิ ต้องเสียเงินอีก 5 แสน แต่ก็ปล่อยไปและ เดินหน้าต่อ คิดเสียว่านี่คือสิ่งที่เราต้องเสีย แต่ไม่ใช่ว่าเรามีเงินก็จ่าย 5 แสนได้สิ ไม่ใช่อย่างนั้นนะ มันเป็นแค่สภาวะที่เราฝึกจิตมาให้ปล่อยทุกอย่างไปได้ “เพราะฉะนั้นผมไม่รู้หรอกว่าถ้าวันหนึ่งมีใครมาทํารถผมพังจะเป็นยังไง ในอนาคตอาจจะโกรธมาก ๆ ก็ได้ ใครจะรู้ เพราะสุดท้ายอนาคตก็ยังเป็นคําว่า ถ้า” ซึ่งยังไม่เกิดขึ้นจริง ผมอาจจะทําใจได้อย่างเรื่องบ้านก็ได้ หรือรถอาจจะไม่เป็น อะไรเลย อยู่ในสภาพเนี้ยบมาก ขนาดที่ผมตายไปแล้วก็ยังอยู่อีกนานก็ได้” (ยิ้ม)
ทําไมให้อภัยง่ายจัง
“เพราะสิ่งสูงสุดในชีวิตคือการมีความสุขไม่ใช่หรือ ถ้าเราเสียเวลาไปเอาเรื่องเขา ฉันไม่ยอม ก็กลายเป็นการอาฆาต ซึ่งมีแต่จะเป็นทุกข์ ในเมื่อทุกอย่างสูญเสียไปแล้ว ก็ต้องทําใจ อย่างที่บอกว่าโกรธได้ แต่ไม่ดําเนินไปจนถึงการทะเลาะ แค่ไปหาช่างใหม่ มาซ่อมสิ จบสุดท้ายความทุกข์ก็จบได้ที่ใจเรา”
