หมดยุคแล้วกับการสงสารคนโสดหรือวิ่งตามหาความรักจากคนอื่น เพราะ ไม่ว่าใครก็สามารถมีความสุขด้วยตัวเองได้ “ดร.เอ๊ะ อิศริยา สายสนั่น” นักแสดง และผู้จัดละครมากฝีมือเชื้อแบบนั้นแม้จะโลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิงมากว่า 27 ปี แต่เราแทบไม่เคยได้ยินข่าว เรื่องความรักของเธอเลย วันนี้จึงขอนัดคิวมาค้นใจกันว่าอะไรที่ทําให้สาวสวยคนนี้ ตัดสินใจขออยู่แบบโสด ๆ

สะดวกแบบนี้
“ต้องเล่าก่อนว่าช่วงวัยรุ่นที่เอ๊ะเริ่มเข้าวงการ หนึ่งในประเด็นคําถามที่ต้อง ตอบนักข่าวเสมอคือเรื่องแฟน ตอนนั้นยังไม่ได้คิดอะไร จึงมักจะตอบว่าปล่อยให้ เป็นเรื่องธรรมชาติ จนวันที่เริ่มโตขึ้น เจอคําถามเดิมบ่อยเข้า ก็นั่งวิเคราะห์ตัวเอง และพบว่าเราคงชอบการใช้ชีวิตโสดที่แฮปปี้ดี จนความสัมพันธ์ในแบบคู่รักแทบ ไม่ได้อยู่ในความคิดเลย”
“แต่ถ้าถามว่ามีอะไรที่ส่งผลต่อความคิดบ้างหรือเปล่า คิดว่าน่าจะเป็นเรื่องที่คุณพ่อคุณแม่แยกทางกันตั้งแต่เอ๊ะ 2 – 3 ขวบ ไม่รู้ว่าเป็นปมหรือเปล่า เอ๊ะอยู่กับ คุณแม่และพี่น้องอีก 4 คน ซึ่งท่านดูแลลูก ๆ มาอย่างดี จึงอาจเป็นหนึ่งในปัจจัย ที่ทําให้เห็นว่าการอยู่คนเดียวก็ไม่แย่ สามารถอยู่ได้อย่างมีความสุข แต่ถ้าถามถึง ประสบการณ์ตรง เอ๊ะไม่เคยมีความรักในรูปแบบแฟน จึงไม่มีปมของคนผิดหวัง หรืออกหัก เคยเห็นจากคนรอบข้าง เลิกกับแฟนแล้วต้องเสียใจ ทนทุกข์อยู่เป็นปี ๆ ก็ไม่อยากอยู่ในสถานการณ์นั้น เราแค่รู้สึกว่าอยู่แบบไหนแล้วมีความสุขก็เลือก แบบนั้นค่ะ ขณะเดียวกันเวลาเห็นใครมีความรักก็ดีใจด้วยที่เขาเจอพาร์ตเนอร์ที่ดี อย่าง พี่น้องเอ้ะทุกคนที่มีแฟนคอยซัพพอร์ตซึ่งกันและกัน เราก็ยินดีด้วย แต่คิดว่ามันไม่ใช่ทางของเรา นึกไม่ออกว่าถ้ามีแฟนจะเป็นยังไง”
“ความที่เอ๊ะเรียนโรงเรียนหญิงล้วน มีเพื่อนผู้หญิงเป็นส่วนใหญ่ พอวันที่ เข้าวงการแล้วมาเจอผู้ชายมากหน้าหลายตา ต้องทํางานด้วยกัน ก็ต้องปรับตัวเยอะ ในช่วงแรก ทั้งที่ก็มีพี่ชายนะ แต่ไม่รู้ว่ากับคนอื่นที่ไม่ใช่คนในครอบครัวต้องคุย แบบไหน เพราะถ้าน้อยเกินไปอาจโดนมองว่าหยิ่ง แต่ถ้ามากเกินก็จะดูเหมือนไปเล่น กับเขา จนผ่านไปสักพักจึงเริ่มชิน โอเคขึ้นว่าเราสามารถมีเพื่อนผู้ชายที่ดีได้ บวกกับภาพจ้าที่คนอื่นมองมาว่าเราอยู่โรงเรียนหญิงล้วน ชอบผู้หญิงหรือเปล่า พอมารวมกับเรื่องการเรียนบวกกับลุคที่ดูนิ่งขรึม ดูเนิร์ด ทําให้ผู้ชายหลายคน อาจกลัว ที่รู้เพราะว่าตอนนั้นเพื่อนสนิทมาบอกว่ามีคนชอบ แต่ไม่กล้าเข้าหา จีงมาปรึกษาเพื่อนว่าเราเป็นคนยังไง ชอบอะไร ควรรีบแบบไหน ซึ่งเพื่อนก็จะ ตอบแทนให้เลยว่าเราไม่อยากมีแฟน จากนั้นผู้ชายก็เฟดออกไปเอง เพราะเรา ไม่ได้เล่นด้วย สําหรับเอ๊ะไม่ว่าจะกับเพื่อนผู้หญิงหรือผู้ชายก็ไม่ได้คิดอะไรในแบบแฟน”

กําแพงหัวใจ
แม้ไม่ได้ตั้งเป้าอยากมีความรัก เพราะกลัวความเจ็บปวด แต่หากเธอได้รัก แล้วก็พร้อมทุ่มให้เต็มร้อย “ยอมรับว่าเอ๊ะมีกําแพงในใจสูงประมาณหนึ่ง อาจเห็น จากคุณแม่หรือเพื่อนแล้วไม่อยากเสียใจแบบนั้น เพราะเราพร้อมทุ่มเทให้กับคนที่รัก แบบ 100 เปอร์เซ็นต์ ถ้ามีแฟนแล้วต้องเลิกกันคงทรมาน จึงตัดไฟตั้งแต่ต้นลม คือขอไม่คบใครดีกว่า จะได้ไม่ต้องคาดหวังในกันและกัน ไม่ต้องมีการเปลี่ยนแปลง
“ความสัมพันธ์ ไม่อยากเกลียดใคร และไม่อยากถูกใครเกลียดด้วย จึงคิดว่าใช้ชีวิตแบบโสดน่าจะมีความสุขมากกว่า เพราะเราก็มีชีวิตแบบนี้มา ตั้งนานแล้ว ราบรื่นดี ไม่มีเรื่องให้ปวดหัว และถ้าวันหนึ่งมีแฟนก็ต้องดีกว่าอยู่ คนเดียว ความที่เราอยู่แบบนี้ได้ดีมากๆ จึงไม่ได้ขวนขวายที่จะมี แต่ก็ไม่ได้ปิดกั้นนะคะ พูดคุยได้ปกติ เพียงแต่ถ้าคุยในทางชู้สาวเราจะมีกําแพงขึ้นมา เพราะยัง ไม่พร้อม วันใดที่มีคนเข้ามาหลายกําแพงได้ คงเปิดใจมากขึ้น”
“ซึ่งคนที่มีโอกาสเข้ามาได้คงต้องมีความคล้ายพระเอกละคร ขรึม ๆ นิ่งๆ มีเสน่ห์ ไม่ท็อกซิก ดูเป็นผู้ใหญ่ที่อบอุ่น ฟิลเหมือนตอนที่เราอยู่กับคุณแม่แล้วรู้สึก สบายใจ เห็นเขาเป็นที่พึ่ง เป็นที่พักพิงให้เราได้ ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นก็จะคอยอยู่ข้างๆ”
“เอ๊ะไม่ได้กลัวความรักนะคะ เพราะไม่เคยผิดหวังหรือสมหวัง ประสบการณ์เป็นศูนย์ และไม่ได้มีความรู้สึกว่าจะต้องมี สมัยเด็กเคยคิดว่าความรักเป็นเรื่อง เสียเวลา เพราะเรียนด้วยทํางานด้วย ถ้ามีความรักก็ต้องแบ่งเวลาออกไป ไม่สามารถ โฟกัสกับงานได้เต็มที แต่พอโตขึ้น ความคิดเปลี่ยนไป มองว่ามันก็มีข้อดี ถ้ามี คน ๆ มาซัพพอร์ต เพียงแต่คงไม่ใช่กับเราเท่านั้นเอง “
และถ้าจะให้มีแฟนตอนนี้ คงไปกันไม่รอดอยู่ดีค่ะ เพราะเมื่อคบใครแล้ว ก็ต้องมีเวลาให้กัน ซึ่งเรารู้ตัวเองดีว่าไม่มีเวลามากขนาดนั้น จึงไม่อยากเห็นแก่ตัว และไม่อยากทําร้ายใคร ขออยู่คนเดียวแบบนี้ดีกว่าค่ะ” (ยิ้ม)

เรื่องรักเป็นรอง
“ที่เธอไม่ห่วงเรื่องเหงา เพราะตารางชีวิตทุกวันนี้อุทิศให้กับครอบครัว การเรียน และการทํางานแบบแน่นเอี้ยด “เอ๊ะทุ่มเทมาก สมัยที่เรียนไปด้วยทํางานแสดงไปด้วย ตั้งแต่อายุ 15 ชีวิตเหมือนรถไฟเหาะเลยค่ะ เรียนมัธยมที่โรงเรียนเซนต์ฟรัง- ชิสซาเวียร์คอนแวนต์ จบม.4 แล้วสอบเทียบวุฒิ ม.6 เพื่อยื่นเข้ามหาวิทยาลัย จนสอบเอนทรานซ์ติดคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ช่วงนั้นก็เป็น นักแสดงด้วย ทํางานควบคู่กันไปด้วย เมื่อเรียนจบด้วยแพสชั่นที่ชอบละคร จึงตัดสินใจเรียนต่อปริญญาโท คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ช่วงนั้นเริ่มเฟดตัวออกจากวงการนักแสดงและผันตัวมาเป็นผู้จัดละคร ช่อง 8 พอทําไปได้สักพักก็เรียนต่อปริญญาเอกที่คณะเดิม ซึ่งต้องทุ่มเวลา 4 ปีเต็ม กว่าจะเรียนจบ พอหาสําเร็จภูมิใจมาก ๆ ค่ะ”
“งานหลักของเอ๊ะตอนนี้ถือเป็นผู้จัดละคร นักแสดง พิธีกร ล่าสุดเป็น อาจารย์ประจําคณะวารสารศาสตร์ฯ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ด้วย ตารางชีวิตแน่น จริง ๆ ซึ่งแน่นอนว่าระหว่างทางก็มีเครียดบ้าง เหนื่อยบ้าง เป็นเรื่องปกติ วิธี คลายเครียดของคนที่มีแฟนเขาอาจจะให้กําลังใจกัน พาไปเที่ยว ไปกินข้าว แต่ สําหรับคนโสดแบบเอ๊ะ กําลังใจสําคัญมาจากครอบครัว ถ้าเหนื่อยก็พักไปหา ของอร่อยหรือเล่นกับหลาน และความที่เราเป็นครอบครัวใหญ่ มีพี่น้องเยอะ วันหยุดก็พากันไปเที่ยว ไปไหว้พระ ทําแบบนี้มานานแล้ว แฮปปี้ดี” (ยิ้ม)

คุณแม่รับจบ
ไม่ว่าใครจะเข้ามาหาคุณเอ๊ะก็ต้องผ่านทางคุณแม่ หนุ่ม ๆ เตรียมใจเลยนะคะ “คนที่เข้ามาหาส่วนใหญ่จะมีความเกี่ยวพันกับเรื่องงาน ต้องมีการแลกเบอร์โทรศัพท์ หรือช่องทางติดต่อเพื่อที่จะคุยงานได้สะดวก ซึ่งเวลาเขาทักมา เราก็ต้องตอบเป็น มารยาทที่ดี เพราะไม่รู้ว่าเขาเข้ามาแบบไหน อาจจะแค่ในรูปแบบของเพื่อนร่วมงาน เท่านั้นก็ได้ แต่ถ้าวันหนึ่งที่รู้สึกว่าเกินคําว่าเพื่อนร่วมงาน อย่างเช่นโทร.หาบ่อย ๆ คุยถามเรื่องส่วนตัว ทําอะไรอยู่ กินข้าวหรือยัง หรือมีการบอกฝันดี เราจะรู้สึก ขนลุกและรู้ละว่าเขาคิดอะไร ก็จะตีตัวออก โดยส่งให้คุณแม่จัดการ (หัวเราะ) แต่เอ๊ะก็ยังร่วมงานได้นะคะ เพราะเราแยกแยะได้ว่างานต้องมาก่อนอยู่แล้ว
“ถ้าใครโทร.แล้วเอ๊ะไม่รับสายจะโอนไปที่โทรศัพท์คุณแม่อัตโนมัติ เคยมี บางคนรู้ว่าเอ๊ะไม่ยอมคุย จึงพยายามเข้าทางคุณแม่โดยการโทร.หาทุกวัน คุยจน สนิทกันเลยค่ะ คุณแม่ก็เอ็นดู และยอมพูดตรง ๆ ว่าคงไม่ได้เป็นแฟนกับเอ๊ะละ แต่ให้มาเป็นลูกแม่อีกคนแล้วกัน”
“โชคดีที่คนที่เข้ามาส่วนใหญ่สุภาพ มีมารยาท และให้เกียรติ ถ้าเราบอกว่า ยังไม่พร้อมมีแฟน เขาก็เข้าใจแล้วค่อย ๆ ถอยออกไป ถือว่าพูดรู้เรื่องทุกคนเพราะแน่นอนว่าอีกฝ่ายเขาก็มีตัวเลือก เราไม่ได้เป็นผู้หญิงคนเดียวบนโลก เขา ไม่จําเป็นต้องมานั่งรอเราเปิดใจ ทุกวันนี้ยังมีคนที่มาชอบแล้วกลายมาเป็นเพื่อน เป็นพี่ เป็นน้องที่สนิท เรียกว่าเรามีความรู้สึกที่ดีให้ในฐานะอื่นที่ไม่ใช่แฟน ส่วน คนที่ต่อมากๆ แสดงอาการไม่พอใจ หรือก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวจนเกินไป ก็จะให้ คุณแม่ช่วยจัดการ หรือไม่ก็ต้องบล็อก”
“ทุกวันนี้ยังไม่เคยคุยกับใครไปจนถึงขั้นเปิดใจคบเลยค่ะ ไม่เคยมีการเด ด้วย เพราะมองว่าการเดตเราต้องมั่นใจพอสมควรว่าน่าจะไปกันต่อได้ แต่อย่างที่ บอกว่าเราไม่ได้คิดจะคบใคร ฉะนั้นก็อย่าเดตเลย ไม่อยากทําให้เขาต้องเสียความรู้สึก คือเอ๊ะนึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่าถ้าตัวเองมีแฟนจะเป็นยังไง คงจะเป็นน่าดู แม้จะเป็นนักแสดง เล่นละครมาเยอะ อย่างเวลาตัวละครชอบกันแล้วต้องมองหน้าสบตาเราก็ไม่รู้ว่าสายตาต้องเป็นแบบไหน ต้องรู้สึกยังไง การมีแฟนของเอ๊ะจึงถือว่าเป็น เรื่องที่ยากที่สุดในชีวิต”
“ถ้าถามว่าเคยรู้สึกปลื้มใครไหม แน่นอนว่าเคยค่ะ แต่เป็นการปลื้มตัวละคร จากในหนังหรือซีรีส์เกาหลี พระเอกจะค่อนข้างเป็นสุภาพบุรุษ นิ่ง ๆ แต่ใจดี ซึ่งเราไม่เคยปลื้มคนในชีวิตจริงเลย เพราะยังไม่เคยเจอใครแบบนั้น แปลกใช่ไหมคะ อาจเพราะโตมาในกรอบ บวกกับส่วนตัวไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้อยู่แล้ว จึงทําให้ ไม่ได้สนใจใครในชีวิตจริง”

โสดให้มีความสุข
“บนโลกนี้ยังมีอีกหลายสิ่งที่ทําให้มีความสุข โดยไม่ต้องพึ่งพาความสัมพันธ์ แบบคู่รัก คุณเอ๊ะเชื่อแบบนั้น “ความสุขของเอ๊ะคือครอบครัวค่ะ พวกเขาเป็นความมั่นคง เหมือนเป็นเสาหลักที่ทําให้ใจของเรามีที่ยึดเหนียว มีที่พักพิง ไม่ว่า จะเกิดอะไรขึ้นหรือมีปัญหาอะไร เรายังมีพี่ มีน้อง มีครอบครัว ฉะนั้นเราก็สู้ตาย พร้อมเผชิญกับปัญหา”
“เคยถามคุณแม่เหมือนกันค่ะว่าถ้าลูกโสด ไม่มีแฟน ไม่แต่งงาน จะโอเค ไหม เพราะเราแคร์คุณแม่มาก ๆ ซึ่งท่านโอเค ไม่ได้บังคับหรือกดดัน เอ๊ะโชคดี คุณแม่หรือญาติๆ มีความคิดที่ค่อนข้างสมัยใหม่ ให้เราเลือกใช้ชีวิตในแบบของเรา ได้อย่างเต็มที่ แต่ถ้าให้ย้อนกลับไป 20 ปีที่แล้วเราอาจดูเป็นของแปลก อาจมีค่าถาม จากสังคม แต่สําหรับตัวเองไม่ได้รู้สึกอะไรตั้งแต่แรกแล้วกับคําว่า “คาน” เพราะมัน เป็นสิ่งที่เราเลือกเอง แล้วก็มีความสุขดี ฉะนั้นใครจะมองยังไงก็ไม่ได้กระทบกับ ความรู้สึกของเราสักนิดค่ะ”
“สําหรับแพลนชีวิตโสดคือทาตัวเองให้แฮปปี้ในทุกวันและมีคุณค่ากับสังคม ไม่สร้างภาระให้ใคร พยายามหาสิ่งที่เข้ามาเติมเต็มให้ชีวิตมีสีสัน ส่วนตัวเอ๊ะค่อนข้างใฝ่รู้ ฉะนั้นก็จะมีแพลนไปเรียนเพิ่มเติม รับความรู้ใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาด้านการเป็น ผู้จัดละคร”
“และความที่เรามีความสุขง่าย อาจเพราะทํางานตั้งแต่เด็ก อยู่กับแสงสี เสียงที่ฟุ้งเฟ้อมาก ๆ ถ้าวันหนึ่งเลือกได้ ไม่ต้องทํางานแล้ว ก็คงขออยู่บ้าน นอน ดูหนังนิ่ง ๆ ดีกว่า ไม่ใช่ว่าการทํางานไม่ดีนะคะ มันเป็นโอกาสที่ดีที่ทําให้เราได้เจอ คุณค่าในชีวิตตัวเองว่าเราสามารถเป็นนักแสดง เป็นผู้จัดละครที่ดี เพื่อมอบความ บันเทิงให้แก่ผู้ชมได้ หรือการที่ได้เป็นอาจารย์เพื่อมอบความรู้ให้นักศึกษา แต่ เมื่อวันหนึ่งที่ค้นพบว่าความสุขของเราคือความสงบ ไม่ได้อยู่กับความวุ่นวาย อาจจะ แค่ได้กินอาหารอร่อย ไม่จําเป็นต้องเป็นอาหารแพง ๆ ได้อยู่กับครอบครัว แต่นั้น ก็มีความสุขแล้วค่ะ”
“ส่วนแพลนระยะยาวก็คือพยายามทุ่มเทกับการทํางาน เพื่อหาทุนมาดูแล ตัวเองในอนาคต เมื่อถึงเวลาเกษียณจะได้มีเงินพอที่จะดูแลตัวเองได้ ไม่จําเป็นต้องไปฝากชีวิตไว้ที่ใคร”

ความรักเป็นสิ่งสวยงาม
“ใครที่กําลังตามหาความกแล้วยังไม่เจอก็อย่าเพิ่งท้อนะคะ ใช้ชีวิตให้มีคุณค่า แล้ววันหนึ่งสิ่งที่คู่ควรก็จะเข้ามาหาเอง คือเอ๊ะเชื่อเรื่องของพรหมลิขิตนะ อย่างที่บอก ว่าเวลานี้สําหรับเราคิดว่าไม่อยากมีแฟนแล้ว แต่ถ้าในอนาคตข้างหน้า อะไรก็เกิดขึ้นได้ อาจจะมีใครสักคนเข้ามาเปลี่ยนความคิด ก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน”
“สําหรับเอ๊ะการเป็นโสดเป็นเรื่องปกติ เราสามารถมีความสุขได้ด้วยการรักตัวเอง ดูแลตัวเองดี ๆ หมั่นออกกําลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ แต่งหน้าทําผมให้ดูดี และมุ่งมั่นทําในสิ่งที่รักต่อไป เหมือนเป็นการเตรียมความพร้อมที่จะมีความรักดีๆ ถึงแม้วันหนึ่งไขว่คว้าหาแล้วยังไม่เจอ อย่างน้อยเราก็ยังมีความรักให้ตัวเอง “คําพูดที่ว่าก่อนจะรักใครต้องรักตัวเอง ทําตัวเองให้เป็นเวอร์ชั่นที่ดีที่สุดนั้นเป็นเรื่องจริง”

เรื่อง Prince
ภาพ วรสันต์
สไตลิสต์ ชัญญาภัค เขมหิรัญกิจ