หนึ่งในท็อปลิสต์ศิลปินมาแรงวันนี้ ต้องมี Benzilla หรือ เบนซ์ – ปริญญา ศิริสินสุข นอกจากผลงานที่ร่วมกับแบรนด์ดังต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Maurice Lacroix, Versace, Audi, off-white, Vespa, Adidas ฯลฯ รวมทั้งได้รับเชิญไปจัดนิทรรศการส่วนตัวทั้งในและต่างประเทศ อาทิ อเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลี สิงคโปร์ ยังมี ‘LOOOK’ เอเลี่ยน 3 ตา สีสันสดใส ที่เป็นซิกเนเจอร์คาแร็คเตอร์ ภายใต้ภาพที่ดูสดใส น่ารัก มีนัยยะสื่อถึงปัญหา ความเศร้า ความกลัวแฝงไว้ด้วย
และล่าสุดกับ Solo Exhibition ของเขา GOOOD LUCK ณ Tang Contemporary Bangkok ก็ได้รับเสียงตอบรับอย่างท่วมท้น ซึ่งนิทรรศการจะจัดถึงวันที่ 15 ธันวาคมนี้เท่านั้น แพรวจะพาคุณไปทำความรู้จักเขาให้มากขึ้น
สีที่ไม่เหมือนใคร
“ผมเป็นเด็กโอตาคุ คลั่งการดูทีวีมากๆ นั่งหน้าจอทั้งวัน ชอบดูทุกอย่างตั้งแต่ สารคดี ดนตรี เกม และการ์ตูน พยายามหัดวาดรูปเลียนแบบการ์ตูนที่ชอบ ต้องบอกก่อนว่าครอบครัวผมเคร่งครัดเรื่องการเรียนและกิจกรรม ส่งให้เรียนพิเศษทุกวัน ทั้งวิชาการ ภาษา รวมถึงคอมพิวเตอร์ ดนตรี เพราะฉะนั้นการวาดการ์ตูนจึงเป็นสิ่งที่ผมได้ทำสิ่งที่ชอบจริงๆ ซึ่งที่บ้านก็สนับสนุนด้วยการไม่ห้าม
“พอเข้ามหาวิทยาลัยผมเลือกเรียนออกแบบดีไซน์กราฟิก ที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพฯ ซึ่งได้เจอวิชาที่น่าสนใจมากมาย เช่น การออกแบบโลโก้ รวมถึงได้เจอคนเก่งเยอะ กระทั่งปีสาม ผมเรียนวิชาภาพประกอบกับพี่โลเล (ทวีศักดิ์ ศรีทองดี) เขาให้วาดรูปพอร์เทรตเป็นสีขาว-ดำ แต่ผมกลับวาดโดยใช้สีชมพูสด พี่โลเลทักว่า ตาบอดสีเหรอ นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้ว่าตัวเองตาบอดสี ทั้งที่ตอนวาด ตั้งใจใช้สีเทา จึงไขข้อข้องใจบางอย่างได้ว่า ที่ผ่านมา งานผมสีสันสดใสคงเพราะมองบางสีเพี้ยนไป แต่ไม่ใช่ว่าเราจะไม่เห็นสีเลย คือผมยังมองเห็นสีเหมือนคนทั่วไป แต่ถ้ามีเฉดเขียว แดง ผสมอยู่จะดูยากขึ้นว่าคือสีอะไร
“ตอนที่รู้ใจแป้วมาก กำลังจะเรียนจบ มีความฝันอยากทำงานออกแบบ และสีคืออาวุธของการทำงาน ตอนที่สับสนไม่รู้ว่าจะแก้ไขยังไง อาจารย์ติ๊ก (สันติ เลารัชวี) ซึ่งสอนด้าน Communication Design บอกผมว่า ให้ทำเหมือนบีโธ่เฟ่น คือหูหนวกแต่ทำเพลงได้โดยใช้เครื่องมือช่วย งานของกราฟิกดีไซเนอร์ แม้จะต้องแม่นเรื่องสี แต่โชคดีที่การทำงานในคอมพิวเตอร์มีการอ้างอิงค่าสีที่ถูกต้องให้ รู้ว่าสีที่เลือกใช้คือสีอะไร เพราะฉะนั้นการเผชิญหน้าระหว่างผมกับสีจึงไม่ผิดพลาด แต่พอมาทำงานตัวเองต้องวาดรูปลงเฟรมผ้าใบ ยอมรับว่ายาก เพราะมีปัจจัยหลายอย่าง ทั้งแสงที่ตกกระทบเฟรมที่อาจจะทำให้มองสีเพี้ยนผิดไป ผมจึงดีลกับโรงงานสี สร้างสูตรสีของตัวเองขึ้นมาเพื่อให้สีที่ใช้นิ่งที่สุด ขณะเดียวกันหากทำงานกับลูกค้าแบรนด์ เขาจะส่งโค้ชรหัสสีมาให้ เราแค่นำรหัสที่ได้ ไปเลือกสีให้ตรงที่สุด แล้วส่งตัวอย่างสี กลับให้ลูกค้าตรวจสอบอีกครั้ง
“ผมตัดสินใจไม่ไปหาหมอ เพราะรู้ว่าโรคนี้ไม่มีทางหาย บวกกับผมเองก็ไม่อยากหายด้วย เพราะมีความเชื่อว่าอะไรที่เกิดขึ้นย่อมดีทั้งนั้น มันคงมีอะไรบางอย่างที่ทำให้ผมมองเห็นไม่เหมือนคนอื่น และคนอื่นก็มองไม่เหมือนผม ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันนะ ว่ารูปวาดที่ผมวาด ผู้ชมมองแบบเดียวกันหรือเปล่า แต่คิดว่านี่คือเรื่องที่สนุกดีครับ ถ้าต่างฝ่ายเห็นสีที่ไม่เหมือนกัน”
หลังจากทำงานในฐานะกราฟิกดีไซเนอร์ให้กับบริษัทโฆษณาและห้างสรรพสินค้าอยู่หลายปีรวมถึงทำงานศิลปะด้วย 4 ปีที่แล้วเขาตัดสินใจลาออกเพื่อให้มีเวลาทำผลงานส่วนตัวมากขึ้นโดยใช้ชื่อวงการว่า Benzilla “เบื้องหลังของชื่อมาจากอักษรตัวสุดท้ายของชื่อผมคือ Z ความที่ชอบวัฒนธรรมญี่ปุ่น คิดถึงตำว่า Godzilla จึงเลือกเติม zilla มาต่อท้าย แต่สุดท้ายชื่อก็คือชื่อ ความพิเศษต้องเกิดจากงานที่สามารถบอกตัวตนของเรา”
เพราะโลกโหดร้าย
งานของเบนซ์มีความน่ารักใช้สีสันสดใสโดยมีLoook หรือเอเลี่ยน3 ตาเป็นคาแร็คเตอร์ซิกเนเจอร์“หากสังเกต งานของผมเป็นลักษณะเรขาคณิต วงกลม วงรี ซึ่งเป็นรูปทรงที่ให้ความสบายใจ สะอาด เรียบง่าย เพราะผมชอบ แล้วใช้เทคนิคการวาดที่ทำให้รูปมีมิติ ดูนุ่ม ให้ความรู้สึกปลอดภัย
“สมัยเด็กผมไม่ได้วาดตัวการ์ตูนเท่ๆ เหมือนคนอื่น ชอบวาดแต่ตัวการ์ตูนตาโต หน้าตาน่ารัก เดาว่ามีความกลัวเป็นพื้นฐาน ซึ่งยังหาคำตอบไม่ได้จนถึงวันนี้ว่าเกิดจากอะไร ทั้งๆ ที่ผมเป็นสายชอบดูการ์ตูนโหดกับหนังสยองขวัญ อาจเป็นเพราะพอโตขึ้น ข่าวสารบนโลกถาโถมเข้ามา ทุกอย่างมีผลกับงาน ทุกวันนี้เรายังเห็นสงครามที่ยิงมิสไซล์สู้กัน น่าหดหู่และไม่เคยมีความสงบอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นในเมื่อมีเรื่องโหดร้ายเยอะเหลือเกิน รูปก็ต้องสดใส แต่แฝงด้วยเรื่องราว
“การ์ตูนเป็นศิลปะที่มีพลัง มันสามารถพูดด้วยภาษาภาพที่คนทุกวัยเข้าใจง่าย ผมวาดเรื่องราวผ่าน Loook แปลตรงตัวคือ การมองเห็น เป็นเอเลี่ยนที่มี 3 ตา ซึ่งดวงที่สามเหมือนกับการรู้แจ้ง นัยยะของมันคือผู้เฝ้ามองความเป็นไปบนโลกจากสายตาของบุคคลภายนอก แล้วสะท้อนว่าโลกนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง แทนค่าด้วยการมองอย่างมีสติ เพราะฉะนั้นการทำงานคือการพูดคุยกับตัวเองเหมือนกัน เหมือนการนั่งเขียนไดอารี่ เพียงแต่เขียนเป็นรูปภาพ
“ปีที่แล้ว ผมตั้งคำถามเรื่องอีโก้ เพราะเราทำงานมานาน มีบ้างที่หมกมุ่นอยู่แต่ในโลกตัวเอง และบางครั้งก็สร้างอีโก้เพื่อเป็นเกราะปกป้องไม่ให้รู้สึกแย่ การมีอีโก้เยอะไปอาจทำให้กร่าง จึงทำนิทรรศการเดี่ยวชื่อ Alter Ego ซึ่ง Think space art แกลเลอรี่ที่แคลิฟอร์เนีย เชิญให้ผมไปจัดนิทรรศการที่นั่นเป็นครั้งแรก ผมวาดตัวละคร loook สองตัว ตัวหนึ่งดี อีกตัวร้าย โดยมีพฤติกรรมสลับกัน คือในดีมีชั่ว ในชั่วมีดี เพื่อจะบอกว่า คนมักมองว่าสิ่งดีและชั่วต้องแยกจากกันชัดเจน แต่ในชีวิตจริงมนุษย์มีทั้งดีและชั่ว และเราควรต่อสู้กับแง่ลบไม่ให้มากเกินไป แม้จะไปจัดที่อเมริกาเป็นครั้งแรก แต่ได้รับฟีดแบคค่อนข้างดีขายผลงานได้หมดทุกชิ้น
“อีกนิทรรศการจะจัดขึ้นวันที่ 9 พฤศจิกายน-15 ธันวาคมนี้ ที่ Tang Contemporary Art ที่ River City ในชื่อ Goood Luck ที่แปลว่า โชคดี แต่มีนัยยะแฝง ผมสังเกตว่าเมื่อเราโตขึ้น เพื่อนฝูงเริ่มห่างกันออกไป ผมอยากใช้งานนี้บอกเล่าว่า ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้อยู่กับเราตลอดไป สิ่งที่เหลือคือความทรงจำ Goood luck จึงแทนความหมายว่า ดีใจนะ ที่ได้เจอเรื่องพวกนี้
“ภาพที่จัดแสดงมีหลายเซ็ต ขอยกตัวอย่างเซ็ตที่ชื่อว่า Picnic เป็นภาพที่คนร้องรำทำเพลงอยู่ในสวน ผมรู้สึกว่าโมเมนต์ง่ายๆ แบบนี้มีน้อยลงมากในยุคที่อินเตอร์เน็ตเกิดขึ้น เราอยู่กับจอคอม โทรศัพท์ ไม่ได้ปฏิสัมพันธ์กันต่อหน้า การจะนั่งเล่นในสวน ร้องรำทำเพลง กลายเป็นเรื่องเสียเวลา และเราไม่สามารถไปทำอะไรอ้อยอิ่งแบบนั้นได้อีกแล้ว แต่กิจกรรมพวกนี้มีคุณค่าในตัวเอง การนั่งเฉยๆ อ่านหนังสือ หรือเต้นรำในสวน มันคือคุณภาพชีวิตอย่างหนึ่งที่เรามีโอกาสใช้เวลากับเพื่อนฝูงหรือครอบครัว นิทรรศการจึงสื่อว่า บางเรื่องเราไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตอย่างนั้นได้อีกแล้ว เหลือไว้แค่ความทรงจำ”
ขณะเดียวกันการมีลูกสาวก็ทำให้สไตล์การทำงานและความคิดของเขาเปลี่ยนไปเยอะ “พอมีลูก วิธีการทำงานก็เปลี่ยนไป ต้องคิดอะไรในมุมของคนอื่นมากขึ้น ว่าเราจะมีส่วนร่วมช่วยโลกยังไงบ้าง เพราะลูกจะต้องเผชิญกับผลกระทบจากการกระทำของคนรุ่นเรา ตอนนี้จึงเริ่มทำงานด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น อย่างปีที่แล้ว ผมดีไซน์นาฬิกาให้กับแบรนด์ Maurice Lacroix ซึ่งวัสดุที่ใช้ทำนาฬิกามาจากพลาสติกที่รีไซเคิลจากขยะในทะเล ก็พบว่าศิลปะเป็นเครื่องมือในการสร้างสรรค์เรื่องราวเหล่านี้ได้ ซึ่งในอนาคตจะมีผลงานแนวนี้ให้ติดตามอีกแน่นอน”
สไตล์ที่ไม่มีนิยาม
นอกจากจะสร้างชื่อในฐานะศิลปินที่จัดนิทรรศการในต่างประเทศหลายครั้งเขายังสร้างผลงานผ่านการคอลแลปกับแบรนด์ดังมากมาย
“ผมชอบแฟชั่นและเราข้าวของอยู่แล้ว เช่น รองเท้า เสื้อผ้า พอได้ทำงานกับแบรนด์ที่ชอบ ก็จะรู้สึกยินดีมาก เพราะเรามีไอเดียอยู่แล้วว่าอยากทำอะไร อย่างปีนี้ผมมีโอกาสทำงานกับ Versace ด้วยความที่แบรนด์มีภาพที่ชัดเจน เวลาพรีเซนต์งานต้องทำละเอียดเพราะต้องนำเสนอทางสำนักงานใหญ่ บางครั้งก็ต้องปรับสไตล์ให้เข้ากับแบรนด์มากที่สุด จนอาจจะเจอกับสิ่งที่ไม่เคยชินบ้าง แต่ผมมองว่าเป็นเรื่องดี มันท้าทายให้เราเรียนรู้สิ่งใหม่ พัฒนาฝีมือเพิ่ม เวลาได้รับงานจากแบรนด์ ผมจะทำการบ้านด้วยการไปที่ร้าน ดูแคตตาล็อค ดูสารคดีของย้อนหลัง เพื่อรู้จัก DNA และแนวคิดของแบรนด์ หากเข้าใจ เราจะผลิตชิ้นงานได้“
“ในฐานะศิลปินแน่นอนว่าไม่มีใครชอบให้ผลงานถูกตำหนิแต่เมื่อต้องแก้ไขงานการยอมรับคือสิ่งสำคัญ “ต้องยอมรับให้ได้ ผมเองก็โดนตำหนิมาเยอะ แต่ชินแล้วเพราะตอนทำงานบริษัทก็ต้องอยู่กับการแก้งานของลูกค้า แต่ถ้าเป็นงานส่วนตัว ผมค่อนข้างย้ำคิดย้ำทำ กลัวว่าจะไม่ดีพอ เมื่อก่อนไม่ชอบความรู้สึกนี้ แต่พอมาคิดดู หากเราไม่พิจารณาหรือให้เกรดตัวเองก็จะไม่เก่งขึ้นเลย ถ้าคะแนนเต็มสิบ ผมให้ตัวเองไม่เกิน 7 มองว่า นี่คือสัญญาณที่ดีให้ฝึกฝนต่อไป เพราะยังมีคนเก่งกว่าเราเยอะ อีกอย่างคือผมไม่ได้จำกัดตัวเองว่าทำงานศิลปะแนวไหนและเชื่อว่าศิลปะไม่มีเส้นแบ่ง การแบ่งเกิดจากมนุษย์ที่อยากจะกำหนดทิศทางของมัน ซึ่งผมสนุกที่จะปล่อยให้ศิลปะของเราหลวมๆ มากกว่า ทำให้ฝึกได้หลากหลายขึ้น“
การผลิตนิทรรศการแต่ละคอลเล็คชั่นมีรูปภาพหลายสิบรูปต้องใช้เวลานานกว่า 3-4 เดือนจึงจะแล้วเสร็จคำถามที่หลายคนอยากรู้คือศิลปินเคยเบื่อรูปตัวเองบ้างไหม
“เบื่อแน่นอน การทำงานจะมีช่วงที่คิดไม่ออก และบางรูปใช้เวลาวาดเป็นเดือนก็อาจยังไม่สำเร็จ จึงต้องสู้กับมันเยอะ เวลาผมวาดรูป จะวาดไปทีละส่วน พอเบื่อก็หยุด และคิดอย่างเดียวว่า ทำให้เสร็จ เพราะถ้าคิดกลับกัน ตอนทำงานประจำมีบางเรื่องที่ไม่สนุกกว่านี้เยอะแต่ยังทำได้เลย นี่คือสิ่งที่เรารัก ก็ต้องลุยกับมันให้เต็มที่”
ศิลปะคือพลัง
“ในอนาคต ผมอยากพัฒนางานตัวเองให้ดีขึ้น ทุกวันนี้ผมวาดรูปเป็นหลัก มีงานประติมากรรม ทั้งเล็กและใหญ่ จัดแสดงตามพื้นที่ต่างๆ ทั้งในและนอกประเทศ รวมถึงงานดีไซน์ร่วมกับแบรนด์ หากเป็นชิ้นงานในฝัน ผมอยากจัดนิทรรศการ ที่เนรมิตสถานที่ให้คนที่มาชมได้รับประสบการณ์เหมือนอยู่อีกโลก ใช้ศิลปะทั้งงานภาพ เสียง ทุกอย่างที่เราสนใจรวมอยู่ในที่เดียว ใครอยากเป็นแนวร่วมด้วยกัน ยินดีนะครับ (ยิ้ม)”
เมื่อถามถึงคุณค่าในศิลปะเบนซ์ตอบว่า “ให้ลองจินตนาการว่าเรานั่งอยู่ในห้องที่ไม่มีสิ่งของ มีเพียงภาพวาดแปะอยู่ตามผนังเหมือนหน้าต่างบานหนึ่ง การมองภาพนั้น ทำให้เราได้เห็นวิวใหม่ๆ ช่วยให้หลุดจากเรื่องราวในปัจจุบันไปสักพัก เราอาจจะมองรูปแล้วรู้สึกอิ่มเอมกับความสุข เข้าใจความทุกข์มากขึ้น
“เพราะฉะนั้นผมมองว่าศิลปะมีพลังวิเศษ ที่สามารถพาเราไปที่ต่างๆ ได้ ไม่ต่างจากประตูของโดราเอม่อนครับ”
เรื่อง: Fai
ภาพ: วรสันต์