นับๆดูเป็นเวลา 18 ปี แล้วที่แฟนๆ ได้รู้จักกับนางเอกสาวมากความสามารถเบอร์ต้นๆ ของประเทศไทย มิน-พีชญา วัฒนามนตรี ที่มีผลงานโด่งดังเป็นที่พูดถึงไม่ว่าจะเป็น เรือนซ่อนรัก,ปิ่นอนงค์,หยกเลือดมังกร,บ้านทรายทอง,สองนรี ฯลฯ ซึ่งทุกบทบาทมินทุ่มเทอย่างสุดชีวิต รวมถึงผลงานล่าสุดกับช่องวัน 31 “เกมรักปาฏิหาริย์”ประกบคู่พระเอก“ฟิล์ม ธนภัทร กาวิละ” ร่วมทัพด้วยนักแสดงมากฝีมือ นก-สินจัย, แซม-ยุรนันท์, ท็อป-จรณ, เพลงขวัญ- นัตยา, นาน่า-ศวรรยา, ต้อม-พลวัฒน์, แทค-ภรัณยู ฯลฯ กำกับโดย เหมี่ยว–ปวันรัตน์ นาคสุริยะ โดยผู้จัดมากฝีมือ “ปุ๊ย ผอูน จันทรศิริ
เป็นนักแสดงอิสระมากี่ปีแล้ว?
“ประมาณ 3 ปี ตั้งแต่โควิด จริงๆ มีละครเข้ามาเรื่อยๆ ยิ่งตอนปีแรกต้องไปสวัสดีปีใหม่ทุกท่านเลย เพราะไม่อยากให้ผู้ใหญ่รู้สึกว่าเราไม่น่ารัก เราแฮปปี้กับทุกค่าย แต่เราเลือกได้แค่เรื่องเดียว ก็เลยมาเป็นนักธุรกิจกลับไปช่วยครอบครัว เพราะที่บ้านมีโปรเจ็กต์ที่มันยังไม่มีคนไปเติมเต็ม ซึ่งมันต้องเป็นสายเลือดก็ต้องเข้าไปช่วย พอเป็นนักแสดงอิสระ บทจะส่งมาเยอะมาก แต่เราต้องดูพื้นที่ที่เราอยากจะอยู่ว่าเราเข้าไปแล้วจะเป็นยังไง ถ้าบทมาเป็นแอ๊กชั่นบู๊ก็ไม่ใช่ ต้องเป็นอะไรที่รู้สึกว่าเรามองเห็นตัวเอง อย่างมีซีรีส์หญิงหญิงติดต่อมา อ่านแล้วนึกภาพไม่ออก แต่ไม่ใช่วันนี้นึกไม่ออกแล้ววันหน้าจะนึกไม่ออกนะคะ อาจเป็นบริบทของตัวละครตัวนั้นที่ติดต่อมาแล้วเราอ่าน เราไม่เข้าใจ มองไม่เห็น ตีความเชิงลึกไม่ได้ ไปไม่ถึง แสดงว่าบทนี้เขามีเจ้าของอื่น เราไม่ได้ปิดกั้น รู้สึกน่าสนใจ มีความท้าทาย แค่เราอาจมองแล้วคิดภาพไม่ออกเฉยๆ บทนี้อาจยังไม่เหมาะกับเรา”

แล้วทำไมถึงตัดสินใจรับเรื่องนี้?
“จริงๆ คุยกับพี่ป้อน (นิพนธ์ ผิวเณร) ไว้เรื่องนึงแล้ว พอดีเรื่องนั้นยังไม่ลงตัว พี่ป้อนเลยบอกว่าบทเรื่องนี้น่าสนใจ ลองดูมั้ย ฟังพล็อตก็เลยรู้สึกว่าใหม่ดี อยากเล่นอะไรที่ยังไม่เคยเล่น และเรื่องนี้มีความซีรีส์ แต่ยังมีความละครด้วย มินชอบการแสดงอยู่แล้ว และอยากร่วมงานกับช่องวันด้วย เป็นบ้านที่ขึ้นชื่อเรื่องการแสดง มีละครเวทีด้วย เพราะมินก็เคยร่วมงานกับพี่บอย (ถกลเกียรติ วีรวรรณ) ก็เลยสนใจลองมาคุย แล้วมาฟังบทฟังเรื่อง พี่เหมี่ยว (ปวันรัตน์ นาคสุริยะ) เป็นผู้กำกับฯ พี่ปุ๊ย (ผอูน จันทรศิริ) เป็นผู้จัด ทุกคนมีความเป็นนักแสดงมืออาชีพ และพอเราเข้ามามันก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ”

เรื่องนี้แปลกใหม่สำหรับเรายังไงบ้าง?
“ช่วงหลังมินติดซีรีส์ ดูของต่างประเทศเยอะ และเรื่องนี้จะมีกลิ่นความเป็นซีรีส์นิดนึง ถ้าเป็นเกาหลีก็จะมีความคล้ายเรื่อง The Glory นิดๆ เป็นความแก้แค้นผสมกับเป็นคนใสๆ และอยู่ๆ พัฒนากลายเป็นตัวละครที่มีความแค้น แต่ก็กลับมาเหมือนคนปกติ แต่ข้างในเต็มไปด้วยความอยากค้นหา สงสัย ไม่เข้าใจ และแค้นด้วย”

มินปรับมายด์เซ็ตทางการแสดงใหม่ด้วย?
“ใช่ค่ะ ปรับเยอะเลย เพราะมินมาจากผู้ใหญ่สอนว่าเข้ามาในกองถ่ายจะต้องเป็นตัวละครตัวนั้น พูดง่ายๆ ลงจากรถมาต้องเป็นตัวนั้น หรือในภาษาการแสดงเรียกว่า Method Acting ซึ่งมันค่อนข้างกลืนพลังงานเรา และหลายคนก็ป่วยเป็นซึมเศร้าเพราะแบบนี้เหมือนกัน เพราะเวลากลับบ้านเราเป็นตัวนั้นโดยไม่รู้ตัว ซึ่งในการแสดงมันไม่จำเป็นต้องเล่นตลอดเวลาแบบนั้น อย่างที่เราเห็นดาราฮอลลีวู้ดบางคนกลายเป็นตัวนั้นแล้วดิ่งไปเลย ซึ่งครั้งแรกที่มินถ่ายทีเซอร์ มินหยุดร้องไห้ไม่ได้ เป็นฉากที่แม่หล่นลงมาตายต่อหน้า ตอนนั้นดิ่งมาก พอสั่งคัตกว่ามินจะหยุดร้องไห้ได้เกือบ 1 นาที พี่เหมี่ยวเดินมาจับมือแล้วบอกหยุดร้อง เป็นอย่างนี้ไม่ดีนะ ไม่ดีทั้งกับการแสดงและชีวิตส่วนตัวด้วย”

ตอนที่เป็นรู้สึกยังไงที่เราเอาเขาไม่ออก?
“มันอิน ร้องไห้แล้วอยู่ในอารมณ์นั้นนานๆ แล้วมันหยุดไม่ได้ จะสะอึกสะอื้น หายใจไม่ทัน พอเจอพี่เหมี่ยวเขาก็บอกว่าไม่ดีนะ ต้องเอาตัวเองกลับมา ตั้งแต่เริ่มเรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่มินเล่นแบบเก็บพลังแล้วปล่อย มินรู้สึกว่าพลังงานข้างในมันอัดแน่นกว่ามากๆ จากที่ตัวเองรู้สึกว่าตอนเล่นอินเนอร์มันแรง แต่มินรู้สึกว่าเรื่องนี้แรงกว่า”
ตอนเอาไม่ออก มันมีผลเสียกับชีวิตยังไงบ้าง?
“ร่างกายอักเสบ เป็นฝีอยู่ตรงกลางอก เกิดจากความเครียด เราเครียดตลอดเวลา ก่อนนอนก็ยังเป็นตัวละครนั้นไม่รู้ตัว และมันไม่ออกไป มีผลกระทบกับความสัมพันธ์คนในครอบครัว บรรยากาศอึมครึม ไม่สดใส ปกติมินจะเป็นคนร่าเริงและค่อนข้างตลก แต่ถ้าช่วงนั้นถ่ายละคร คนรอบๆ จะสังเกตว่าเรานิ่งๆ เงียบๆ เหมือนไม่ใช่ตัวเรา เพราะเราอินอยู่ในการแสดงมากๆ”

ตัวละครตัวไหนที่เราสลัดไม่ออก?
“เรื่อง สองนรี ตัวละครชื่อหนึ่ง คือตัวที่ป่วยเป็นโรคฮิสทีเรีย ตอนเล่นมันมีความบ้า มีความหิวความรักแบบรุนแรง เป็นเด็กขาดความรักรุนแรง แล้วเขาต้องการจากทุกคน ซึ่งต่างจากชีวิตเราที่พ่อแม่รัก มีเพื่อนเยอะ แต่ช่วงนั้นที่เล่นเป็นหนึ่ง เราจะรู้สึกตาขวาง เห็นอะไรก็โหยหา อิจฉา อยากได้ มีความคิดเชิงลบอยู่ตลอดเวลา แต่เราไม่ได้คุยกับใครนะ เพราะรู้ว่าอันนี้ไม่ใช่เรา”
แสดงว่าในหัวจะมี หนึ่ง กับ ตัวเรา สู้กันอยู่?
“ใช่ ช่วงนั้นถ่ายหนักมาก และช่วงเวลาที่เป็นมินน้อยกว่าเป็นหนึ่ง ช่วงเป็นมินคืออาบน้ำ ล้างหน้าแล้วหลับ ไม่มีสติด้วย (ยิ้ม) ตอนนั้นรู้เลยผิดปกติ กำลังอินอยู่มากๆ แต่เรากลับชอบช่วงนั้น เพราะพอกลับเข้ากองแล้วมันอินมาก ไม่ต้องคิด เล่นได้แบบเข้าปุ๊บก็เป็นตัวนั้นเลย
จริงๆ เรื่องนั้นได้รางวัลเยอะอยู่นะ แต่ก็ต้องแลกกับชีวิตส่วนตัวส่วนนึงที่ต้องแยกทางกันไป ตอนนั้นยังไม่รู้ว่ามีวิธีเล่นอีกแบบที่ไม่ใช่ Method Acting ซึ่งพอมาเรื่องนี้ก็เล่นอีกแบบนึงเลย ทำให้บรรยากาศกองดีมาก ทุกคนในกองน่ารักและสนิทกันทุกคน”

พอต้องเปลี่ยนวิธีในการแสดง ต้องเริ่มศึกษาใหม่เลยไหม?
“ใช่ค่ะ แรกๆ งง อย่างร้องๆ ไห้อยู่แป๊บนึงก็หัวเราะ คือมันต้องกลับมาเป็นตัวละคร ต้องเรียบเรียงใหม่ ก็จะมีการขอทำสมาธิแป๊บนึง (ยิ้ม) เหมือนฝึกถอดโหมดฝึกจิตให้มีความไวในการถอดมากขึ้น ต้องมีสติมากขึ้น ช่วงแรกเริ่มเรื่องเราวิ่งไปเช็กจอตลอดเวลา เพราะกังวลว่ามันใช่ไหม แต่ทุกคนชมและปรบมือให้ ก็ใจชื้น มีกำลังใจว่ามาถูกทาง เพราะเราแอบเปลี่ยนทักษะของเรา พัฒนาหลังจากที่พี่เหมี่ยวพูด เรื่องนี้ทำการบ้านและเวิร์กช็อปเยอะจริงๆ ดีใจมากที่ได้เวิร์กช็อปเยอะ เพราะเวลาถึงหน้างานไม่ต้องรอให้สนิทกัน ด้วยมันสนิทกันตั้งแต่ก่อนจะเริ่มถ่ายทำ เหมือนเป็นการเปิดโลกใหม่ทางการแสดงของเราเลยค่ะ เพราะปกติมินก็มากับการเอาตัวรอดได้ค่อนข้างดี แก้ปัญหาหน้างานได้ แต่พอมาเจออะไรที่มีให้เราเตรียมการบ้านด้วย งานมันออกมาละเอียดกว่าเดิมเยอะมากเลยค่ะ”
เรื่องนี้ได้ร่วมงาน ‘ฟิล์ม ธนภัทร’ เป็นอย่างไรบ้าง?
“น่ารักค่ะ ตอนนี้กลายเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดี สนิทกันพอสมควร ตอนแรกต่างคนต่างคิดว่าแต่ละคนจะต้องหยิ่ง ฟิล์มบอกว่าฉันเจอเธอครั้งแรก เธอจะมาเป็นนางพญา ส่วนมินก็คิดว่าถ้าเจอฟิล์มเขาต้องหยิ่งแน่ๆ เพราะเป็นพระเอกตัวใหญ่ของช่อง แต่พอเจอกันเหมือนคนเพี้ยนสองคนอยู่ด้วยกัน ก็ตลกดีค่ะ
เวลาทำงานเรามืออาชีพ แต่เวลาเล่นก็คือพักเลยค่ะ เราค่อนข้างเหมือนกัน ขี้บ่น ขี้หิว ขี้ง่วง (หัวเราะ) บางวันเราถ่ายเยอะ ถ้าไม่ได้รีแล็กซ์เลยก็จะเครียด วิธีรีแล็กซ์ก็คือบ่นใส่กัน แกล้งกัน คุยเรื่องหมาคุยเรื่องแมว นอกกองคือเฮฮามาก แต่ในพาร์ตการแสดงนี่ฟาดใส่กันไม่ยั้ง”

ละครเรื่องนี้เป็นดราม่าเกือบทั้งหมด?
“เป็นแนวสืบสวนค้นหาความจริงด้วย ถือเป็นแนวใหม่สำหรับมิน เพราะที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะเป็นแนวกุ๊กกิ๊ก แต่อันนี้ไม่ร้องไห้ก็หน้าตึง บทค่อนข้างยาก จะมีเรื่องกฎหมาย การสืบสวน สนุกตรงที่ต้องไปหาหลักฐาน มีเรื่องการเดิมพันชีวิตเข้ามาเกี่ยวข้อง มีคนตาย ยิ่งใกล้ความจริงท้ายๆ เรื่องยิ่งสนุกมาก มินว่ามันมีความเป็นซีรีส์สูงกว่าเป็นละครไทย”
คุ้มค่ากับสิ่งที่เรารอคอยไหม กว่าจะตัดสินใจรับในฐานะนักแสดงอิสระ?
“มันคุ้มตั้งแต่มินได้เจอเรื่องนี้แล้ว ทั้งผู้กำกับฯ และนักแสดงทุกคน คุ้มตั้งแต่เราได้เจอกันแล้ว ที่เหลือเป็นกำไร”

การเป็นนักแสดงอิสระ ก่อนจะรับเรื่องนี้ มันท้าทายกับชื่อเสียงที่เราสร้างมายังไง?
“มันไม่ได้ท้าทายชื่อเสียงที่เรามีมาหรอก และมินก็ไม่ได้ยึดติดกับชื่อเสียง มินว่ามันท้าทายกับเราที่เล่นมาเยอะแล้ว แล้วกลัวจะเบื่อ เวลาเล่นละครเรื่องหนึ่งนาน 6 เดือนถึง 1 ปี ถ้าเราต้องอยู่กับบทนั้นแล้วเราเบื่อ ไม่ชอบ มันจะทำให้เราหมดพลังงานไปเลย มินก็เลยพยายามหาอะไรที่นอกจากรู้สึกว่าบทจะดีแล้ว เราต้องเอ็นจอยด้วย คิดดูสิวันปิดกล้องมินแอบขึ้นรถมาร้องไห้เลย มันผูกพัน”
แสดงว่าเราก็อยากเล่นให้คนดูจำด้วย?
“คือมินอยากเล่นแล้วอยากให้แฟนคลับได้เห็นคุณภาพในสิ่งที่มินอยากเล่น มากกว่าการที่เล่นไปเรื่อยๆ แล้วเล่นตลอดเวลาค่ะ”
เรื่อง นนทพร สุทธิพิบูลย์
ภาพ ช่องวัน 31