วันนี้ถ้าถามว่าอยากทําอาชีพอะไร วัยรุ่นจํานวนไม่น้อยจะตอบว่าบล็อกเกอร์หรืออินฟลูเอนเซอร์ ซึ่งปัจจุบัน มีบล็อกเกอร์หน้าใหม่เกิดขึ้นมากมาย ตั้งแต่ระดับนาโนไปจนถึงไมโคร แต่ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังความสําเร็จของการเป็น เจ้านายตัวเองไม่ใช่เพียงแค่การถ่ายคลิปแล้วโพสต์ลงโซเชียลเท่านั้น แต่คือการวางแผน คิดคอนเซ็ปต์ เพื่อให้ได้เนื้อหา
ที่น่าสนใจและโดนใจผู้คนหนึ่งในนั้นคือ “บิว – วราภรณ์ ปิยะนันทสมดี” เจ้าของช่อง Bew Varaporn ที่มีผู้ติดตามใน YouTube กว่า 1.03 ล้านคน แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ ใครจะรู้ว่าเธอเคยลองผิดลองถูก เคยทํามาแล้วกว่า 20 อาชีพกว่าจะเจอสิ่งที่ใช่!
ก่อนเป็น “Bew Varaporn”
“จุดเปลี่ยนแรกในชีวิตของนิ้วคือตอน 9 ขวบ ประมาณ ป.3 เป็นช่วงที่พ่อเสีย แต่ตอนนั้นบิวยังเด็กมาก ไม่ค่อยเข้าใจ อะไร รู้แค่ว่าเรามีหน้าที่ตั้งใจเรียน จนอายุ 15 – 16 ปีเหมือนได้เห็นโลกมากขึ้น เริ่มตั้งคําถามว่า “ทําไมผู้ใหญ่ขายของกัน เราเลยเริ่มทําตามคนอื่นบ้าง แต่ลึก ๆ ไอดอลในใจคือพ่อที่ทํางานเก่งมาก เมื่อก่อนพ่อเปิดโรงงานไม้ มีพนักงานกว่า 150 – 200 คน ซึ่งทุกคนรักพ่อมาก จนพ่อเสียเขาก็ทยอยลาออก จากนั้นญาติ ๆ ก็มาดูแลกิจการแทน
“จนถึงอายุที่เริ่มสมัครงานได้ บิวลองไปสมัครงานเป็นคอลเซ็นเตอร์ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง แต่ตอนนั้นไม่ผ่านโปร จึง เป็นพนักงานขายไอศกรีมแทน แต่ด้วยนิสัยขี้อายตั้งแต่เด็ก เวลาต้องต้อนรับลูกค้าคนเดียวจะรู้สึกว่าทําได้ไม่ดี ทําได้ไม่กี่วันก็ตัดสินใจลาออก
“ต่อมาช่วงปี 2554 ที่น้ําท่วมหนัก บิวต้องย้ายจากบ้านพระราม 2 มาอยู่บ้านญาติในเมือง ได้ใช้ชีวิตแบบใหม่ ได้ เปิดหูเปิดตา และทําให้นึกขึ้นได้ว่าเราเคยเสียโอกาสในวงการบันเทิงเพราะเป็นเด็กขี้อาย ทั้งที่ก่อนหน้านี้พ่อรู้จักกับผู้กํากับ หนังจักรๆ วงศ์ ๆ แต่ได้รับคําชวนทีไรก็ปฏิเสธตลอด ตอนนั้นจึงมีความคิดว่าอยากทํางานในวงการบันเทิง
“สิ่งแรกที่คิดออกคือคงต้องไปประกวด นิ้วประกวดมาทั้ง S Cawaii!, อุทัยทิพย์, Miss Teen Thailand และ Miss Grand มีเข้ารอบบ้าง แต่ไม่เคยได้รางวัลอะไร บิวหวังว่าจะมีแมวมองมาเห็นเราจากเวทีต่าง ๆ บ้าง ซึ่งก็ได้ผล เพราะ พอเริ่มประกวดก็มีโมเดลลิ่งมาติดต่อให้ไปแคสติ้งงานจริงๆ
“บิวลุยประกวดเวทีต่าง ๆ อยู่ 2 – 3 ปี จนรู้สึกว่าต้องพัฒนาตัวเองเพิ่ม จึงไปสมัครเรียนพัฒนาบุคลิกภาพ ตอนแรก ญาติ ๆ ก็ไม่สนับสนุนนะคะ แต่สุดท้ายก็ยอม ซึ่งการเรียนครั้งนั้นกลายเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตนิ้วเลย เพราะหลังจากเรียน ไป 4 เดือน โรงเรียนโทร.มาบอกว่าทางค่าย RS มีโปรเจ็กต์ใหม่ชื่อว่า YAAK TV เขาต้องการหาพิธีกรรายการเพลง ซึ่งตอนนั้นบิวยังพูดไม่เก่ง สัมภาษณ์ใครก็ไม่ได้ แต่เราตกลงไปก่อน ส่งรูปไปแคสต์ ปรากฏว่าทีมงานโทร.กลับมาว่าเราได้ทํางานนี้ ทําให้ได้เข้าไปทํางานในวงการบันเทิง เต็มตัวครั้งแรก เป็นงานประจําแรกที่มีเงินเดือน
“หลังจากนั้นก็มีงานโฆษณา ได้ถ่ายแบบ เล่นเอ็มวีบ้าง และระหว่างนั้น บิวก็เริ่มทําสินค้าสกินแคร์ของตัวเองขาย เพราะเราเห็นคนอื่นทําแล้วขายดี เลย อยากลองบ้าง โดยจ้างโรงงานผลิต จ้างบริษัทยื่น อย. เปิดขายแค่ในเฟซบุ๊ก ของตัวเอง ตอนนั้นลงทุนแค่หลักหมื่น แต่ได้ยอดขายหลักแสนต่อเดือน จึง ตัดสินใจซื้อบ้านหลังแรก พาแม่กับน้องย้ายออกมาอยู่กัน
“แต่พอวันหนึ่งมีแบรนด์ใหม่ ๆ เกิดขึ้น คู่แข่งมากขึ้น จากที่ยอดขายหลัก แสน เหลือแค่หลักหมื่น แต่เรามีภาระต้องผ่อนบ้านเดือนละ 25,000 บาท งาน ในวงการแคสติ้งก็รายได้ไม่พอ ตอนนั้นรู้แค่ว่ายังไงก็ต้องหาเงินผ่อนบ้านให้ได้ “จึงหาข้อมูลเกี่ยวกับการไปต่างประเทศ แล้วเจอว่ามีโครงการ Au Pair เป็นพี่เลี้ยงเด็กที่สหรัฐอเมริกา แต่ก่อนจะไปทํางานได้ต้องมีการฝึกงานที่โรงเรียน นานาชาติในไทยก่อน เลยไปสมัครเป็นผู้ช่วยครู ต้องตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า ขับรถ ไปโรงเรียนย่านสุขุมวิท เลิกงานบ่าย 3 โมง แต่ได้เงินเดือน 9,000 บาท ไม่พอ ค่าใช้จ่ายจริง ๆ เลยต้องหางานใหม่อีกครั้ง
“ตัดสินใจไปเป็นเซลส์ที่บริษัทซอฟต์แวร์แห่งหนึ่ง เพื่อให้มีเงินเดือนพอ ผ่อนบ้าน ตอนนั้นใช้ชีวิตเดือนต่อเดือนเลยค่ะ แต่ความที่ทํางานประจํา ทําให้บิว ไม่ค่อยมีเวลาไปแคสติ้งงาน ทําได้ 2 – 3 เดือนจึงตัดสินใจลาออก แต่โชคดีว่า ตอนนั้นยังพอมีงานถ่ายแบบ ถ่ายเอ็มวี และได้ไปถ่ายรายการ Take Me Out ทําให้มีคนรู้จักมากขึ้น และมีงานโฆษณาเข้ามาเพิ่มขึ้นในช่วงนั้น
“อีกงานที่ขอบคุณมาก ๆ คือช่วงนั้นแพลทินัมกําลังบูม เขาก็จ้างเราไป ถ่ายแบบเสื้อผ้า ครั้งหนึ่งถ่ายไม่ต่ํากว่า 100 ตัว อาทิตย์ละ 3 – 4 ร้านค้า เคยถ่าย เยอะสุด 200 ตัวต่อวัน บอกเลยว่าตอนนั้นอาชีพนี้แหละที่ปลดล็อกเรื่องเงิน เพราะรายได้ค่อนข้างดี แต่ถามว่าเป็นงานที่เป็นตัวเรามากที่สุดไหม ก็ยังไม่ใช่เพราะในหัวเรายังคิดตลอดว่าจะทําอะไรต่อไปดี
เริ่มด้วยแพสชั่น
“มิวชอบคิดชอบลองอยู่ตลอด และช่วงนั้นเริ่มมีคนทําคอนเทนต์ในออนไลน์ แต่ตอนนั้นยังไม่เคยมีใครบอกว่าจะเป็นอาชีพจริง ๆ ได้ไหม บิวจึงตัดสินใจใช้เงินเก็บ ที่ได้จากการถ่ายแบบไปซื้อคอมพิวเตอร์ จําได้ว่าตอนนั้นราคา 60,000 บาท พร้อม กล้องถ่ายภาพอีก 1 ตัว บอกเลยว่าทุ่มหมดหน้าตักเพื่อทํา YouTube แต่ยัง ไม่ได้คิดจะทําเป็นงานหลัก ทําเพราะความชอบล้วน ๆ ใช้เวลาว่างถ่ายคลิปตัวเอง แต่งหน้า ไปคาเฟ่ แล้วก็ลองติดต่อเอง
“เรียนรู้ทุกอย่างจากในอินเทอร์เน็ต ตอนนั้นบิวนั่งตัดคลิปตั้งแต่ 6 โมงเย็น ยัน 6 โมงเช้าได้แบบไม่ท้อเลย สนุกมากๆ ปรากฏว่าทําไปประมาณ 2 เดือนเริ่มมี ลูกค้าเข้า เลยบอกแฟน (ธนิน ศรีธวัชพงษา เจ้าของช่อง YouTube : Tanins) ว่าจะเลิกถ่ายแบบเสื้อผ้าแล้วนะ จะหันมาทํายูทูบจริงจัง
“แต่ธนินเป็นสายเซฟโซน จึงยังบิวไว้ว่าอย่าเพิ่งตัดสินใจแบบนั้น แค่ค่อยๆ จนคลิปที่เปลี่ยนชีวิตเลยคือแต่งหน้าสาย ฝ. มียอดดูกว่าลดงานถ่ายแบบลง2 ล้านวิว ทําให้มีงานจ้างเข้ามาต่อเนื่อง ทั้งที่เราเพิ่งทําแค่ 3 เดือน จึงกลายเป็น จุดเริ่มต้นของอาชีพบล็อกเกอร์อย่างจริงจังตั้งแต่ตอนนั้น”
คอนเทนต์ = การปรุงอาหาร
“สําหรับบิวไม่เคยมีวันที่คิดคอนเทนต์ไม่ออก อาจเพราะความชอบคิดชอบ ลองที่เราเป็นมาตั้งแต่เด็ก มีแต่คิดเยอะเกินไปแล้วทําไม่ทัน (หัวเราะ) นิ้วบอกน้อง ทีมงานตลอดว่าให้สแตนด์บายนะ เพราะบางทีบิวคิดอะไรขึ้นมาได้จะทําทันทีเลย
“อย่างธุรกิจของบิว Bondi Jelly (ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม) และ Bonnana (เค้กกล้วยหอม) ก็เกิดจากการอยากลอง อยากทําอะไรที่เป็นตัวเอง จําได้ว่าตอนทํา Bondi Jelly คือคิดตอนเช้าแล้วบ่ายลุยเลย บิวคิดว่าการทําคอนเทนต์เหมือน การปรุงอาหาร ถ้าไม่สดใหม่ก็จะไม่อร่อย ไม่สนุก
“อย่างก่อนมาสัมภาษณ์วันนี้ เมื่อเช้ามีเค้ก Bonnana ที่โกดัง 50 ชิ้น จึง ลองเปิดบริการเดลิเวอรี่ พอเราถามตัวเองแล้วได้คําตอบว่าใช่! นิ้วก็ลุยเลยค่ะ เปิดระบบ เป็นแอดมิน ตอบทุกอย่างเอง คนจึงมองว่านิ้วทํางานเยอะ แต่ จริง ๆ คือคิดแล้วท่าเลยมากกว่าค่ะ”
ใช่ชีวิตแบบ “วันต่อวัน”
“ทุกวันนี้มีคําถามเยอะว่าบิวมีกี่ร่าง ไม่เหนื่อยเหรอ บิวใช้ชีวิตแบบวันต่อวัน คือคิดแค่ว่าทําวันนี้ให้เต็มที่ เคล็ดลับคือโฟกัสสิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้ดีที่สุด แม้ว่า บางวันทํางานมาเหนื่อยแค่ไหน นิ้วก็ต้องลุกไปวิ่งตอน 6 โมงเช้าให้ได้ เพราะบิว คิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้น ความเหนื่อยคือเรื่องของเมื่อวาน ฉะนั้นเช้านี้คือการเริ่มต้น ใหม่แล้ว เป็นการใช้ชีวิตแบบวันต่อวัน ซึ่งการคิดแบบนี้ทําให้บิวไม่เครียดด้วยค่ะ
“บิวเคยอ่านหนังสือที่บอกว่าแค่เรากล้าที่จะเป็นตัวเองก็ถือว่าสําเร็จแล้ว แต่ก่อนหน้านี้บิวไม่กล้าเป็นตัวเอง เพราะด้วยข้อจํากัดเรื่องเงิน หนี้สินต่าง ๆ เราต้องทําอะไรหลายอย่าง ต้องอดทน ต้องสู้ แต่สุดท้ายก็มาถึงวันนี้ “ส่วนเรื่องความทุกข์ ความเครียด ความเศร้า สามอย่างนี้อยู่ในทุกช่วง ของบิวเลย แต่สุดท้ายมันอยู่ที่ใจเราเลยค่ะ ถ้าเราทําใจให้ราบรื่น และไม่มองว่า มันคือความทุกข์ เราก็จะไม่ทุกข์ อย่างเวลาเจอเรื่องหรือสถานการณ์ที่ดี บิว จะทําให้ตัวเองรู้สึกดีที่สุดให้ได้ ไม่ทําให้ตัวเองเจ็บหรือทุกข์ มันคือการรักตัวเอง “สิ่งสําคัญอีกอย่างคือชีวิตเป็นการลองผิดลองถูก ขอแค่ให้เราได้ลอง เพราะ ถ้าแค่คิด แต่ไม่ลอง มันก็จะเป็นแค่ความคิด หรือบางทีเรามัวแต่คิดว่าไม่อยากลอง เพราะมันยาก มันเหนื่อย มันก็อยู่แค่ในความคิดนั่นแหละ
“สําหรับนิ้ว ความสําเร็จจึงไม่มีสูตร มันคือความคิดและใจของเราค่ะ”
ข้อมูลนิตยสารแพรว