นางงามนักสู้ ฟ้าใส-ปวีณสุดา “อย่ากลัวล้มเหลว แต่จงกลัวการล้มเลิก”
ฟ้าใส-ปวีณสุดา

นางงามนักสู้ ฟ้าใส-ปวีณสุดา “อย่ากลัวล้มเหลว แต่จงกลัวการล้มเลิก”

Alternative Textaccount_circle
ฟ้าใส-ปวีณสุดา
ฟ้าใส-ปวีณสุดา

แพรวทอล์คสัมภาษณ์พิเศษ นางงามนักสู้ ฟ้าใส-ปวีณสุดา ดรูอิ้น “อย่ากลัวความล้มเหลว แต่จงกลัวการล้มเลิก”

ชื่อของ ฟ้าใส-ปวีณสุดา ดรูอิ้น ไม่เพียงเป็นที่รู้จักในฐานะ  สาวสวยตัวแทนประเทศไทยเจ้าของตำแหน่ง Miss Universe Thailand 2019 แต่เธอยังเป็นต้นแบบของนางงามนักสู้ จากการผ่านสังเวียนการประกวดมากมาย แม้จะยังไปไม่ถึงตำแหน่งที่วาดหวัง แต่ด้วยความมุ่งมั่นบวกกับความฝันอันแรงกล้า ทำให้เธอไม่เคยกลัวความล้มเหลวหรือล้มเลิกความตั้งใจ จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลายคน

เส้นทางนางงามผู้ไม่เคยยอมแพ้

“สมัยเด็กตอนที่อยู่รัฐแอลเบอร์ตาฟ้าใสมีความฝันอยากเป็นหมอ ไม่คิดเลยว่าโตมาจะมาเป็นนางงาม ซึ่งจุดเริ่มต้นของเส้นทางนี้เริ่มจากตอนอายุ 19 ปี ฟ้าใสมาซัมเมอร์ที่ประเทศไทย แล้วครูนำรูปส่งไปสมัคร Miss Thailand Chinese Cosmos โดยไม่ได้บอก แล้วพอผ่านเข้ารอบคุณครูก็โทรมาถามว่าสนใจการประกวดไหม เที่ยวฟรี กินฟรี ได้เพื่อนใหม่ด้วยนะ เราไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อนรู้สึกว่าน่าสนใจ

“เราไปโดยไม่มีประสบการณ์เลย ไม่เคยใส่ส้นสูงด้วยซ้ำ เป็นครั้งแรกที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนซินเดอเรลล่า มีคนมาแต่งหน้าให้ ได้ใส่ชุดสวยๆ ใจตอนนั้นไม่ได้คาดหวังไม่คิดว่าจะชนะ จึงคาดไม่ถึงว่าจะได้ตำแหน่งรองชนะเลิศ อันดับ 2 Miss Thailand Chinese Cosmos 2013

ฟ้าใส-ปวีณสุดา

“จากนั้นฟ้าก็ได้เป็นตัวแทนไปประกวด Miss Chinese Cosmos Southeast Asia 2013 ที่ประเทศมาเลเซีย ได้เขารอบลึกสุด 8 คนสุดท้าย ถัดมาก็ได้ร่วมประกวดเวที นางสาวไทย ได้ตำแหน่ง รองชนะเลิศอันดับ 1 พอดีกับที่หมดช่วงซัมเมอร์ฟ้าใสจึงต้องพักกิจกรรมแล้วกลับประเทศแคนาดาไปเรียนต่อปริญญาตรีที่ University Of Calgary สาขาวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหว ศึกษาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของมนุษย์โดยบูรณาการศาสตร์ด้านต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับ ชีวกลศาสตร์การเคลื่อนไหว การออกกำลังกาย เทคโนโลยีทางสุขภาพ และแนวคิดด้านการออกแบบสภาพแวดล้อมและที่อยู่อาศัย เพื่อนำไปประยุกต์ใช้ในการป้องกัน ปรับปรุง แก้ไข ส่งเสริมสุขภาพของประชาชนทุกช่วงวัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ที่มีปัญหาด้านการเคลื่อนไหว ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

“หลังจากเรียนจบฟ้าใสกลับมาประกวด Miss Universe Thailand 2017 ปีเดียวกับพี่มารีญา พูลเลิศลาภ ได้ตำแหน่งรองอันดับบสอง และได้รับโอกาสไปประกวด Miss Earth 2017 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ เข้ารอบ 8 คนสุดท้าย

“จากนั้นได้กลับมาร่วมประกวด Miss Universe Thailand 2019 มีโอกาสกลับมาขึ้นเวที และชนะเลิศการประกวดได้สายสะพายมิสไทยแลนด์เข้าร่วมประกวด Miss Universe 2019 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาโดยครั้งนี้ฟ้าใสได้เข้ารอบ 5 คนสุดท้าย ถามว่ารู้สึกยังไงคือถ้าได้เข้ารอบดีใจแน่นอน แต่ถ้าไม่ได้ก็ภูมิใจเพราะทำเต็มที่แล้ว อีกอย่างเป็นเวทีที่เราใฝ่ฝันและเราได้เป็น 1 เดียวในเอเชีย”

นางงามที่ (ยัง) ไม่ประสบความสำเร็จ

“ที่ผ่านมายอมรับว่าฟ้าใสยังไปไม่ถึงคำว่า “ประสบความสำเร็จในการเป็นนางงาม”  หลายคนพูดว่าฟ้าใสคือตำนานนางรอง เป้าหมายของเราคืออยากเป็นตัวแทนประเทศไทยยืนอยู่บนเวที Universe จึงเข้าประกวด  Miss Universe Thailand  ถึง 2 ครั้งในปี 2017 และ 2019  แต่พอมานั่งนึกย้อนทำให้เห็นว่าตลอดเส้นทางการประกวด เราไม่ประสบความสำเร็จนั้นใน 6 ครั้ง 6 เวทีการประกวด แต่ละเวทีเราไม่ได้ผิดพลาดที่จุดเดิม ทุกเวทีคือการพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ เหมือนเก็บเกี่ยวประสบการณ์

“อีกอย่างมายด์เซตในแต่ละครั้งที่ประกวดก็ไม่เหมือนกันเลย อย่างเวทีแรกเราไม่ได้คิดว่าจะชนะ เราไปเพียงเพราะอยากได้เพื่อนใหม่ เวทีที่ 2 ฟ้าใสอยากทำความฝันเล็กๆ ของคุณแม่ให้เป็นจริง ไม่ได้คาดหวังว่าจะชนะแต่ก็ไม่คิดว่าจะไปลึกถึงขั้นได้รอง 1 พอมาเวที Miss Universe Thailand 2017 ยอมรับว่าฟ้าใสคาดหวังกับเวทีนี้มาก เตรียมตัวมาเยอะ ทำการบ้านจนมั่นใจ พอผลออกมาว่าได้รองอันดับ 2 ก็แอบใจสลาย เพราะจะไม่ได้ไปเวที Miss Universe ที่ใฝ่ฝัน ตอนนั้นเหมือนคนหลงทาง ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ

ฟ้าใส-ปวีณสุดา

“ก่อนจะกลับมาสู้อีกครั้งในการประกวด Miss Universe Thailand 2019 ฟ้าใสถามตัวเองเยอะเหมือนกัน ว่ามันเป็นความต้องการจริงๆ หรือแค่อยากลบคำสบประมาท คำตอบคือ มันกลายเป็นสิ่งที่เรารักจริงๆ จึงอยากลองอีกสักครั้ง ถ้าฟ้าใสกลัวความล้มเหลว หยุดการประกวดไว้ที่ปี 2017 ก็จะไม่มีฟ้าใสในเวอร์ชั่นที่ทุกคนเห็นนี้ ฉะนั้นสำหรับฟ้าใส เราต้องไม่กลัวความล้มเหลว แต่จงกลัวการล้มเลิก

“ฟ้าใสไม่กลัวคำว่าล้มเหลวเพราะที่ผ่านมาก็ล้มหลายครั้ง และเข้าใจถึงความรู้สึกท้อเพราะเรามีความหวังกับสิ่งนั้นมาก แต่ด้วยความฝันที่ยังมีอยู่ ฟ้าใสจึงเลือกที่จะมุ่งหน้าต่อไปกับเป้าหมายที่จะเป็น ประสบการณ์ล้มลุกคลุกคลานที่ผ่านมาคุ้มค่ามาก และขอบคุณตัวเองที่ไม่ท้อไปก่อน”

นางงามไม่ใช่แค่สวย

“หลายคนถามว่าทำไมมุ่งมั่นอยากเป็นนางงามมากขนาดนี้ ฟ้าใสมองว่าการเป็นนางงาม จริงๆ มันมีอะไรมากกว่านั้นเยอะ การที่เราจะเป็นนางงาม เราต้องมีจิตใจที่เข้มแข็ง เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าต้องเจอกับไซเบอร์บูลลี่ อย่างที่ฟ้าใสก็เคยถูกว่าสารพัด หน้าตาเหมือนจระเข้ ตาห่าง ตาเล็ก ตาตี่ ตัวใหญ่ อ้วน ฯลฯ

“ฟ้าใสจึงมองการประกวดนางงามเหมือนบิวตี้โอลิมปิก เราต้องเป๊ะ ตอบคำถามได้ดี การเดินต้องเป๊ะ ชุดสวย ภาพลักษณ์ทุกอย่างต้องดูดี มีความสามารถรอบด้าน เวทีสมัยนี้กับในอดีตไม่เหมือนกัน ถ้าสมมติว่าเราไม่มีความสามารถที่จะต่อยอดต่อ ก็จบแค่นี้ ฉะนั้นมันเยอะจริงๆ กับคำว่านางงาม ไม่ใช่แค่สวยอย่างเดียวแน่นอน”

สวยระดับตัวแทนประเทศแต่ยังมิวายถูกบูลลี่ว่าไม่สวย

“ถ้าพูดถึงนิยามของบิวตี้สแตนดาร์ดในแบบของฟ้าใส มองว่าไม่มีอะไรถาวร เพราะมันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะยุคไหนสุดท้ายเราจะเห็นการเปลี่ยนแปลง อย่างเช่น  ฟ้าใสจำได้ว่าตอนช่วงเด็กบิวตี้สแตนดาร์ดในตอนนั้นคือผู้หญิงต้องมีคิ้วเล็กเรียวถึงจะมองว่าสวย แต่พอมาถึงตอนนี้เทรนด์ก็เปลี่ยนไปความนิยมการมีคิ้วที่หนามีมากกว่าเพราะจะทำให้หน้าดูเด็ก

“ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ฟ้าใสอยู่ในเส้นทางการประกวดมีความเจ็บปวดเกี่ยวกับบิวตี้สแตนดาร์ดมาไม่น้อย ช่วงแรกที่ฟ้าใสเข้ารูปร่างสำหรับคนเป็นนางงามต้องตัวเล็กไซซ์ศูนย์ ในขณะที่เราเป็นฝรั่ง โครงใหญ่ บวกกับหน้าตาที่ไม่ค่อยเป็นไทยเลยถูกติดว่า จะเป็นตัวแทนประเทศไทยได้ยังไง แต่เราได้พยายามให้กำลังใจตัวเอง สิ่งหนึ่งที่ดีใจคือเราไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวเองตามคำพูดของคนอื่น และเราไม่เปลี่ยนแปลงตัวเองตามอุดมคติบิวตี้สแตนดาร์ดของกลุ่มนั้นๆ เพราะเราเห็นคุณค่าตัวเองมากกว่าเราแฮ็ปปี้ที่จะเป็นในแบบของตัวเอง”

สิ่งที่มากกว่าวินัยคือเป้าหมาย

 “ถ้ามีเวลาก็จะเน้นการออกกำลังกาย คาดิโอเพื่อให้รูปร่างเป๊ะขึ้น และยกน้ำหนักเพิ่มความฟิต ดื่มน้ำเยอะๆ นอนหลับให้เพียงพอ เรื่องอาหารการกินก็จะดูครบทั้งหมดเลย เน้นทานผักผลไม้ โดยช่วงเช้าและกลางวัน จะไม่ค่อยเข้มงวดมาก ก็จะเลือกทานพวกขนมปังโฮลวีต ข้าวก็เป็นข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอร์รี่ แล้วก็เลือกทานสัตว์เล็ก อย่างพวกไก่ หรือว่าปลา ส่วนช่วงเย็นจะเลือกทานอาหารที่ไม่ค่อยมีแคลอรี่เยอะ เช่น แอปเปิ้ลเขียว เม็ดแมงลัก เพื่อจะทำให้อิ่มท้อง 

ถึงแม้ฟ้าใสจะมีความสุขกับการที่มีใบหน้าและรูปร่างในแบบฉบับของตัวเอง แต่เธอไม่ได้เป็นคนหย่อนยานวินัยในการดูแลรูปร่างของตัวเองอย่างที่หลายคนเข้าใจผิด ฟ้าใสเล่าวว่า “ยอมรับว่าสมัยอยู่ต่างต่างประเทศเธอจะกิน นม เนย ชีท เป็นหลัก ไม่ค่อยออกกำลังกาย ไม่ควบคุมอาหาร กินฟาสต์ฟู้ด แต่พอได้มาอยู่ที่ประเทศไทย ไลฟ์สไตล์ก็เปลี่ยนไป หลักๆ เลยคือเรามีโอกาส ขยับร่างกายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นเมลล์ รถไฟฟ้า มันเป็นกึ่งบังคับให้ขยับร่างกาย 

“แต่นอกเหนือจากการออกกำลังกายและรับประทานอาหารแล้ว เราต้องมีวินัยด้วย ระหว่างทางเราก็จะเจอกับความยากเช่นเหนื่อยมากก็ไม่อยากออกกำลังกาย หรือ การรบประทานโปรตีนที่น่าเบื่อ แต่เราต้องก้าวข้ามผ่านสิ่งนี้ไปให้ได้ ซึ่งการที่เราจะทำให้สำเร็จนอกจากต้องมีวินัยแล้วเราต้องมีเป้าหมายด้วย เพราะนี่จะเป็นเหตุผลที่กระตุ้นไม่ให้เราหมดความพยายาม ถ้าไม่มีเป้าหมายการออกนอกลู่นอกทางก็จะเกิดขึ้น”

 “นางรอง” คำนี้บั่นทอนหัวใจ

“ตอนนั้นคำว่า “นางรอง” เป็นคำที่กัดกินความรู้สึกจนฟ้าใสมองตัวเองในแง่ลบไปเลย รู้สึกว่าทำยังไงก็ไม่ดีพอ พยายามแค่ไหนมันก็ยังไกล เราจะประกวดทำไมในเมื่อทำเท่าไรก็ไม่สำเร็จเสียที แต่โชคดีที่เจอทีมที่ดี เขาเห็นถึงความสามารถที่ซ่อนอยู่ และยังคอยสนับสนุนเราเสมอ

“เหตุการณ์หนึ่งที่รู้สึกว่าเป็นพลังใจให้มากๆ คือ มีแฟนคลับคนหนึ่ง ส่งข้อความมาหาขอให้ฟ้าใสประกวดอีกสักครั้ง ตอนนั้นด้วยความที่เรารู้สึกเฟลเลยถามเขาว่า “ขอถามได้ไหม ทำไมถึงเชียร์ ทำไมอยากให้ฟ้าใสประกวดอีก? เขาบอกว่าฟ้าใสเฟรนด์ลี่ พูดภาษาอังกฤษเก่ง รูปร่างสูง เป็นฝรั่งหน้าเก๋ ไม่ซ้ำใคร ซึ่งความจริงคนอื่นก็มีคุณสมบัตินี้ แต่เขาบอกว่าอยากให้ฟ้าใสกลับมาจริงๆ พอนำเรื่องนี้ไปเล่าให้พ่อฟัง พ่อบอกว่า “ทำไมคนอื่นเชื่อมั่นในตัวลูก แต่ลูกกลับมองไม่เห็นความสามารถที่ซ่อนอยู่ของตัวเอง” ทำให้กลับมามองตัวเองด จากที่เห็นแต่สิ่งไม่ดี ไม่เหมาะ ไม่ควรจะได้ ปรับมายด์เซตตัวเองใหม่หาจุดเด่นว่าอะไรที่เป็นลักษณะเฉพาะตัว ที่เรานำเสนอได้ในแบบของตัวเอง

“สำหรับสิ่งที่ฟ้าใสภูมิใจมากที่สุดคือเราไม่ได้ทำให้คำพูดของคนอื่นที่บอกว่าฟ้าใสเป็นแค่นางรอง ทำไม่ได้หรอก ฟ้าใสไม่มีคอนเนคชั่นหรอก ฯลฯ มาลดความตั้งใจของเราในการจะทำตามความฝัน เราต้องทำให้คนอื่นเห็นคุณค่า จนเรียกว่าชอบฟ้าใสในแบบที่เป็นฟ้าใสเป็นจริงๆ ยอมรับแรกๆ ที่ประกวดหลายคนอาจจะบอกว่าความสวยไม่ได้ พูดไทยไม่ชัด แต่สุดท้าย 6 ปีกับเวทีการประกวดทุกคนก็ยอมรับและรักในแบบที่ฟ้าใสเป็น โดยที่ฟ้าใสเองก็ยังคงเป็นคนเดิม”

อนาคตของฟ้าใสต่อจากนี้?

“ตอนนี้เพิ่งเปิดบริษัทใหม่  Hollywood Queen  เป็นสถาบันสอนนางงามและคนทั่วไปเกี่ยวกับการพัฒนาบุคลิกภาพ อีกบทบาทที่อยากทำให้ดี คือ งานพิธีกร ไม่ว่าจะเป็น ดีเจทางวิทยุ รายการทีวี รวมถึงอนาคตถ้าเป็นไปได้ฟ้าใสอยากจะลองพากย์เสียงภาพยนตร์ และอยากจะไปงานอีเว้นต์ที่ต่างประเทศได้มากกว่านี้ คิดว่า Hollywood Queen  จะพาฟ้าใสไปในจุดนั้นได้”

ฟ้าใส-ปวีณสุดา

“การที่เราได้ตำแหน่งก็เป็นการที่เราได้รับโอกาสทั้งจากคณะกรรมการที่เห็นถึงความสามารถที่ซ่อนอยู่ในตัวเรา ที่สำคัญคือโอกาสที่ฟ้าใสได้รับจากการช่วยเหลือของทีมในการผลักดันจนกว่าฟ้าใสจะได้มง เป็นโอกาสที่วิเศษที่สุดที่หยิบยื่นให้กับฟ้าใสในตอนที่ไม่มีใคร ฟ้าใสไม่ได้เติบโตที่ประเทศไทย ไม่มีคอนเน็กชั่นเลย คนที่รู้จักก็ค่อนข้างน้อย ฟ้าใสจึงรู้สึกขอบคุณที่เห็นในความสามารถของเรา พร้อมที่จะสนับสนุนผลักดันให้ฟ้าใสประสบความสำเร็จ

“อีกหนึ่งเรื่องดีๆ คือโอกาสที่ทุกคนมอบให้ ทำให้ฟ้าใสมีโอกาสได้ไปช่วยเหลือน้องๆ คนอื่นที่มีความฝันอยากจะเป็นนางงาม แต่ไม่รู้จะเริ่มจุดไหน ไม่รู้จะเทรนด์ยังไง ฟ้าใสก็พร้อมที่จะช่วยและแบ่งปันได้เหมือนเรามีสปอตไลต์มาแล้ว เราสามารถแชร์สปอตไลต์ไปในองค์กรต่างๆ ที่ต้องการการช่วยเหลือ ได้โอกาสแชร์และได้สร้างโอกาสให้กับคนอื่นต่อได้”

นางงามของแทร่

แม้วันนี้เป้าหมายในชีวิตของฟ้าใสจะเปลี่ยนไปแต่สิ่งที่ไม่เปลี่ยนไปเลยคือโครงการช่วยเหลือสังคมที่ยังทำสม่ำเสมอ “ ABLE เป็นโครงการที่ฟ้าใสเริ่มทำมาตั้งแต่ปี 2015 ตอนที่ยังอยู่ประเทศแคนนาดา โดยจุดเริ่มต้นโครงการนี้คือการที่ฟ้าใสได้เข้าเรียนด้านวิทยาศาสตร์การเคลื่อนไหวในประเทศแคนาดา เป้าหมายคือการช่วยเหลือด้านกีฬาที่นำมาปรับรูปแบบ และนำมาใช้ในการพัฒนาความสามารถทางกายภาพและเพิ่มการมองเห็นคุณค่าในตนเองของคนพิการทางร่างกายหรือคนในกลุ่มความบกพร่องของทักษะสังคม มาฟื้นฟูมาบำบัดทางร่างกาย รวมถึงจิตใจ เพราะฟ้าใสอยากสร้างพลังใจให้กับพวกเขา

“พอมาอยู่ประเทศไทยเราได้เอาโครงการนี้มาทำที่นี่ด้วย แต่พอเอามาทำจริงๆ น้องๆที่สนใจด้านกีฬาจะชอบ แต่ถ้าคนที่ไม่ได้ไปทางนั้นก็จะไม่สนใจเลย ฟ้าใสจึงอยากเปิดให้คนได้รู้จักโครงการนี้กว้างขึ้นด้วยการเพิ่มเกี่ยวกับด้านศิลปะและดนตรีเข้าไปด้วย ซึ่งพอทำแล้วก็ได้รับการตอบรับที่ดีและตรงกับ ABLE คือเราสามารถทำในสิ่งที่อยากทำ

 “ในวันนี้ฟ้าใสยังมีหน้าที่ส่งต่อแรงบันดาลใจและให้โอกาสกับผู้คนมากมาย ฟ้าใสได้เห็นความงดงามของสิ่งที่เรียกว่าการใช้โอกาส ได้เห็นรอยยิ้มของเด็กๆ ได้เรียนรู้ถึงศักยภาพของตัวเอง”

คุณครูฟ้าใส…บทบาทที่บางคนไม่รู้

“จากโครงการ ABLE นี้เองทำให้ฟ้าใสได้คลุกคลีกับเด็กๆ มากยิ่งขึ้นด้วยการที่เป็นติวเตอร์ในวิชา คณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษ ที่ฟ้าใสเคยสอนที่เมืองไทยจะเน้นเรื่องของแกรมม่าเยอะจนเด็กไม่กล้าพูด ส่วนใหญ่กลัวโดนล้อว่าพูดผิด จึงเรียนไม่สนุก ฟ้าใสจะสอนในเรื่องของทักษะการสื่อสารมากกว่า สำหรับฟ้าใสเชื่อว่าอันนั้นมันเน้นความสำคัญ เราต้องสร้างความมั่นใจ และเพิ่มความสนุกให้น้องๆ ถ้าฟ้าใสเข้าไปสอนได้ฟ้าใสก็อยากจะสอนในแบบที่ช่วยแชร์ประสบการณ์ ทำให้วิชานั้นๆเข้าใจง่ายและสนุกดีกว่า

“อีกอันที่ฟ้าใสชอบและรู้สึกว่าเข้าทางฟ้าใส คือ เรื่องของพลศึกษา ฟ้าใสเรียนด้านนี้มา รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่หลายคนมองข้ามแต่จริงๆ แล้วกีฬาเป็นอะไรที่สามารถเรียนรู้ถึงทักษะชีวิต ด้วยความที่ฟ้าใสชอบบาสเก็ตบอล ตีแบต ว่ายน้ำ ฟ้าใสอยู่ใสอยู่ในทีมกีฬามาตั้งแต่เด็ก ทำให้ได้เรียนรู้ในเรื่องของทักษะชีวิตที่สามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้ เช่น รู้แพ้รู้ชนะ ทีมเวิร์ค ซึ่งฟ้าใสมองว่าเป็นสิ่งที่สำคัญเพราะนำมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้”

เมื่อถามว่าอะไรคือเหตุผลที่ฟ้าใสมักเลือกโครงการที่ช่วยเหลือเด็กๆ ซึ่งเล่าว่า  “อาจเป็นเพราะว่าฟ้าใสมีหลาน บวกกันสมัยเด็กที่ฟ้าใสอยู่แคนนาดา เนิร์สเซอร์รี่ ที่นั่นมีลักษณะเป็นสถานที่ที่ดูแลเด็กเอกชนสำหรับพ่อแม่ที่ยังต้องทำงาน เด็กที่โตจะดูแลเด็กเล็ก ซึ่งฟ้าใสเติบโตมาแบบเด็กที่มีรุ่นพี่ช่วยดูแล จึงอยากช่วยเหลือกลุ่มนี้เป็นพิเศษ อีกอย่างฟ้าใสชอบเวลาที่ได้อยู่กับเด็ก เพราะอยู่ด้วยแล้วมีความสุขสบายใจ เขาบริสุทธิ์ จริงใจ ชอบก็ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ชอบก็ไม่เข้าหา” (ยิ้ม)

ฟ้าใส@แพรวทอล์ค2024

“ขอบคุณแพรวที่ให้โอกาสนำเรื่องราวชีวิตมาเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนอื่นๆ อย่างฟ้าใสไม่ว่าจะล้มมากี่ครั้ง แต่ถ้าเรายังมีความฝัน กล้าที่จะลงมือทำ ไม่ย่อท้อที่จะเจอกับอุปสรรค สักวันจะประสบความสำเร็จ

สุดท้ายอยากให้ทุกคนมาช่วยกันส่งเสริมและให้ทุนการศึกษากับเด็กๆ ที่ขาดโอกาส เพราะการศึกษาคือสิ่งสำคัญ เป็นพื้นฐาน เป็นรากฐานที่ฟ้าใสเชื่อว่าเด็กทุกคนควรได้รับ แล้วพบกันในงานนะคะ

เรื่อง นนทพร สุทธิพิบูลย์

ภาพ อิทธิศักดิ์ บุญปราศภัย

Praew Recommend

keyboard_arrow_up