เส้นทางกว่าจะเป็นศิลปินอาร์ตทอยสุดฮ็อต “มด - นิสา ศรีคำดี” ผู้ปลุกปั้น Crybaby
นิสา ศรีคำดี Crybaby

เส้นทางกว่าจะเป็นศิลปินอาร์ตทอยสุดฮ็อต “มด – นิสา ศรีคำดี” ผู้ปลุกปั้น Crybaby จนฟีเวอร์

Alternative Textaccount_circle
นิสา ศรีคำดี Crybaby
นิสา ศรีคำดี Crybaby

นอกจากจะได้ร่วมภาคภูมิใจกับอีกหนึ่งคนเก่ง “มอลลี่” หรือ “มด – นิสา ศรีคำดี” ศิลปิน Art Toy เจ้าของผลงาน Crybaby ที่โด่งดังด้วยคาแร็คเตอร์ของน้องตุ๊กตาที่มาพร้อมหยดน้ำตาที่ไม่ได้สร้างความเศร้า แต่น่าโอ๋ น่าเอ็นดูเป็นที่สุด เธอยังชวนคิดใหม่ด้วยว่าเราไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งตลอดเวลา เพราะบางครั้งน้ำตาก็ไม่ได้หมายถึงความอ่อนแอ วันนี้ผลงานและนิทรรศการของเธอได้รับความสนใจ สร้างมูลค่ามากมายทั้งในไทยและต่างประเทศ แต่ถ้าย้อนดูวันวานของเส้นทางสู่การเป็นศิลปินนั้นไม่ง่ายเลย

เส้นทางกว่าจะเป็นศิลปินอาร์ตทอยสุดฮ็อต “มด – นิสา ศรีคำดี” ผู้ปลุกปั้น Crybaby จนฟีเวอร์

พาณิชย์ VS ศิลป์

“มดชอบศิลปะมาตั้งแต่จำความได้ คุณแม่เล่าว่าก่อนเข้าเรียนอนุบาลมดชอบสะพายกระเป๋าที่ใส่อุปกรณ์ศิลปะไปด้วยทุกที่ ตอนอนุบาล 3 ได้ไปประกวดวาดรูปด้วยสีเทียนที่สวนสยาม งานนั้นได้รางวัลชมเชย จากนั้นก็ได้ประกวดรายการอื่นๆ อยู่หลายปี

“แต่ตอนใกล้จบชั้นมัธยม 3 คุณแม่อยากให้เรียนสายพาณิชย์ เพราะคิดว่าถ้าเรียนด้านบัญชีจะมีอาชีพมั่นคงเหมือนลูกเพื่อนบ้าน บวกกับครอบครัวเราไม่มีใครเรียนสายศิลป์มาก่อน จึงไม่มีคำแนะนำว่าควรทำอย่างไร สุดท้ายมดจึงยอมเรียนตามที่แม่บอก คือสาขาวิชาการบัญชีที่วิทยาลัยพณิชยการบางนา

“เรียนถึงปี 3 ตัดสินใจคุยกับแม่ว่าอยากเรียนด้านศิลปะจริงๆ ซึ่งช่วงที่ผ่านมาท่านได้เห็นว่าเรารับจ๊อบวาดรูปเล็กๆ น้อยๆ จากเพื่อนในห้อง ทำให้มีรายได้พอสมควร ช่วยพิสูจน์ว่าสาขาวิชานี้สามารถยึดเป็นอาชีพได้ ท่านจึงอนุญาตให้เรียนคณะศิลปกรรมศาสตร์ สาขาวิชาออกแบบนิเทศศิลป์ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา

“เนื่องจากไม่ได้เป็นมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับศิลปะโดยตรง ดังนั้นตอนเข้าปี 1 ทางมหาวิทยาลัยจึงกำหนดให้ต้องเรียนพื้นฐานด้านศิลปะทุกอย่าง ตั้งแต่จิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ กลายเป็นโชคดีของเรา เรียนด้วยความสนุก จึงทำออกมาได้ดี แล้วยังรับจ๊อบงานศิลปะมาตลอด อย่างจัดบอร์ด ทำพร็อปส์ ตอนนั้นมดพูดเสมอว่าเมื่อจบไปแล้วไม่จำเป็นต้องเป็นกราฟิกดีไซเนอร์หรือดีไซเนอร์ แต่ขอทำงานอะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับศิลปะ

“แต่งานแรกที่ทำก็คือกราฟิกดีไซเนอร์ที่บริษัทหนึ่ง หลักๆ คือออกแบบทุกอย่าง เลย์เอ๊าต์ โลโก้ ออกแบบงานแต่งงาน แบ็กดร็อป ฯลฯ ชอบมาก สนุกด้วย แม้จะงานหนักขนาดนอนออฟฟิศ ตื่น 6 โมงเช้า กว่าจะได้นอนตี 2 ตี 3 ทำงานจันทร์ถึงอาทิตย์ สลับกันหยุดสัปดาห์ละวัน ทำอยู่ 7 ปีเต็ม ตำแหน่งสุดท้ายคืออาร์ตไดเร็กเตอร์ ก่อนตัดสินใจลาออก เพราะรู้สึกว่าอิ่มตัวแล้ว บวกกับแม้ร่างกายยังไหว แต่ใจไม่ไหวแล้ว ตอนนั้นมีเงินเก็บแค่หลักหมื่น เพราะเป็นพนักงานออฟฟิศมีอะไรให้ใช้จ่ายตลอด”

นิสา ศรีคำดี Crybaby

สู่วิถี Designer Toy

“พอว่างงาน แต่นิสัยไม่ชอบอยู่นิ่งๆ อาศัยว่าชอบทำงานประดิษฐ์ ปั้นตุ๊กตาติดเครื่องประดับอย่างต่างหูไปวางขายที่ตลาดรถไฟ พร้อมกับรับจ๊อบงานกราฟิกด้วย รายได้ช่วงแรกไม่เยอะ แต่ไม่หนักใจ แค่ว่าวันไหนฝนตกแล้วขายของไม่ได้จะเครียด ไม่ได้เครียดเพราะไม่ได้เงินนะคะ แต่เหมือนรู้สึกว่าตัวเองทำผิดอะไรสักอย่างที่ไม่ได้ทำงาน

“พองานจ๊อบเริ่มอยู่ตัวจึงฟอร์มทีมกับเพื่อนเปิดบริษัทออร์แกไนเซอร์ชื่อพุ่งพุ่ง ออกแบบแนวคอนเซ็ปต์ งานออกมาดีตั้งแต่งานแรกเลย ทำได้ประมาณ 3 ปี จนถึงจุดที่ไม่มีเวลาทำ เพราะเวลาทำงานอย่างงานแต่งงานเราต้องคุยกับลูกค้าเป็นปีจนกว่าจะถึงวันงาน และมีความคาดหวังสูงมาก คือผิดพลาดไม่ได้เลย ถ้าผิดแค่นิดเดียวก็ถือว่างานนั้นไม่ดี

“กระทั่งช่วงที่ในหลวงรัซกาลที่ 9 สวรรคต งดงานรื่นเริง ผ่านไปไม่ถึงเดือนเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไม่มีงานทำ ตื่นเช้ามาวันหนึ่งบอกตัวเองว่าทำไมไม่ทำสิ่งที่อยากทำล่ะ ต้องขอเล่าย้อนกลับไปวัยเด็กที่เราชอบปั้นของประดิษฐ์ให้เพื่อน เคยวาดคาแร็คเตอร์ Cry Rabbit กระต่ายร้องไห้เพื่อแทนการเขียนไดอะรี่ในแต่ละวัน อย่างวันนี้อ่อนไหวหรือเจอเรื่องสะเทือนใจอะไร เราก็วาดรูปแทนการเขียนเรื่องราว อย่างเรื่องของวัยรุ่นทั่วไป ความรัก ปัญหาครอบครัว การเรียน ความจริงตอนนั้นชอบศึกษาเรื่องโมเดลของญี่ปุ่นด้วย แต่ราคาแพงมาก เคยเก็บเงินซื้อมาได้แค่ตัวเดียวคือเซเลอร์มูน ซื้อได้ตัวที่ใส่ชุดว่ายน้ำ เพราะถ้าเป็นแบบใส่ชุดเซเลอร์มูนราคาจะแพงขึ้นไปอีก

“เรื่องนี้เหมือนเป็นแพสชั่นในใจตลอดมา จนวันหนึ่งตื่นมาแล้วนึกถึงเรื่องของเล่นทอยโมเดล จึงลุกขึ้นมาจากที่นอนแล้วทำเลย หยิบดินทำโมเดล (Polymer Clay) ที่สั่งซื้อไว้นานแล้วมาปั้นเป็น Crybaby ใช้วิธีว่าถ้าไม่ชอบตรงไหน ผมยาวไป ตัวสั้นไป ก็เฉื่อนทิ้งแล้วปั้นใหม่ ใช้เวลา 2 เดือนเต็มๆ เหมือนหยุดไม่ได้ ตื่นมา 6 โมงเช้าก็ทำจนตี 2 ตี 3 โดยใช้เงินเก็บสำหรับสั่งของพวกอุปกรณ์มาทำไปเรื่อยๆ ตอนนั้นยังทำไม่เสร็จดี ตามตัว Crybaby ยังมีรอยปากกาขีด แล้วยังไม่ได้ลงสี ตัวยังเป็นสีเทาอยู่เลย เวลานั้นรู้สึกว่าน่ารักดี จึงถ่ายรูปลงไอจีตัวเอง ซึ่งไม่ได้มีคนติดตามยอะนะคะ แค่หลักสิบ คือมีเฉพาะเพื่อนสนิท เพราะสมัยนั้นเป็น Introvert จริงๆ ทุกวันนี้ก็ยังเป็น” (หัวเราะ)

นิสา ศรีคำดี Crybaby

“จุดเปลี่ยนคือมีคนจีนนักสะสม Art Toy เห็นโพสต์นั้น น่าจะมาจากการติดแฮชแท็กคำว่า Toy เพราะช่วงก่อนโพสต์ลงไอจีลองเสิร์ชดูว่าเขาติดคำว่าอะไรกันบ้าง ทำให้รู้ว่าคนไทยก็มีทำเหมือนกัน จึงใช้ตามเขา เพราะเราไม่รู้ว่าแฮชแท็กนี้เป็นการรวมภาพ คนจีนคนนั้นคงไล่ตามดูจากตรงนั้นแล้วชอบ จึงติดต่อไดเร็กต์มาขอซื้อ ถามว่าเราทำขายไหม ตอนนั้นยังไม่มั่นใจ จึงเริ่มศึกษาดูว่ามีอะไรแบบนี้ด้วยหรือ ทำให้รู้ว่ามีการขายอย่างจริงจังและตลาดจีนเป็นตลาดใหญ่ มดใช้เวลาตัดสินใจหลายเดือน เพราะไม่ได้ตั้งใจทำขาย แค่อยากทำ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่างานแบบนี้เรียกว่าอะไร มารู้ทีหลังว่ามันคือ Art Toy หรือ Designer Toy

“ที่สุดตัดสินใจลองทำออกมา 4 ต้นแบบ แล้วพาไปไหนต่อไหนด้วย เพราะเห่อ ชอบ (หัวเราะ) นอนด้วยกัน กินด้วยกัน มือหนึ่งตักข้าว อีกมือก็ถือมองไปด้วย จนแม่เชียร์ให้ลองทำขาย

“วันที่ตัดสินใจขายก็ถ่ายรูปง่ายๆ  ทำเลย์เอ๊าต์แล้วโพสต์ ปรากฏว่าบูมทันทีเลยค่ะ เหมือนคนจีนคนนั้นนำภาพไปโพสต์ในกลุ่ม ซึ่งมีหลักหมื่นหลักแสนคน จึงมีคนติดต่อขอซื้อเต็มเลย ตอนนั้นทำออกมา 2 สี Naked Brown กับ Naked Bronze สีละประมาณ 45 ตัว ความที่ยังตั้งราคาไม่เป็นจึงขายถูกมาก 2,300 บาท ทั้งที่เป็นงานทำมือทุกตัวและไม่ได้คิดถึงต้นทุน แต่แค่นั้นก็รู้สึกดีใจมาก เพราะไม่เคยทำงานวันเดียวแล้วได้หลายแสนบาท

“จากนั้นมดตัดสินใจบินไปฮ่องกงเพื่อดูงาน Art Toy Fair จะได้รู้ว่าเขาทำกันอย่างไร ตอนนั้นรู้สึกตื่นตาตื่นใจ พอกลับมาก็เริ่มทำงานออกมาจริงจังขึ้นเรื่อยๆ จนได้มีโอกาสไปเห็นงาน Shanghai Toy Show ที่บริษัท Pop Mart (ร้านขายของเล่นสะสมจากประเทศจีน) ซึ่งมดเซ็นสัญญากับเขา จัดที่เชี่ยงไฮ้ ประเทศจีน เป็นงานใหญ่ยิ่งกว่างานมอเตอร์โชว์บ้านเรา แล้วคนเยอะขนาดคิวขดไปมาแบบข้ามฝั่งถนนไปอีก มีคนมารอเข้างานล่วงหน้า 2 – 3 วัน

“ระหว่างที่อยู่ในงานมีน้องผู้หญิงคนจีนวิ่งเข้ามาหาแล้วร้องไห้ ยื่นมือสั่นๆ มาให้ดู คือเขาเพ้นต์ Crybaby ที่เล็บ แล้วดีใจที่ได้เจอเรา ตอนนั้นไม่รู้เลยว่าเราเป็นที่รู้จักและดังขนาดนั้น เพราะเราไม่มีแอพจีนเลย จำได้ว่าเป็นช่วงวันเกิดของมดพอดี มีคนซื้อของขวัญวันเกิดให้เยอะจนขนกลับไม่หมด หลายคนซื้อเค้กมาให้ด้วย ที่เขาทราบว่ามดจะมาเพราะร้านที่รับ Crybaby ไปขายส่งข่าวบอกในกลุ่มว่าวันนี้มอลลี่จะมา จึงมีคนมารอกรี๊ดดีใจ ขอถ่ายรูป มีคนทำโฟโต้บุ๊กมาขอลายเซ็น มีคนเอาเป็ดย่างทั้งตัวมาให้ด้วย แต่มดเอากลับไม่ได้ ทำให้เรารู้ว่าที่จีนเขาอินมากๆ ตั้งแต่นั้นมา Crybaby ออกตัวไหนมาก็ Sold Out ตลอด ถ้าทำออกมาจำนวนน้อยราคาก็สูงหน่อย ราคาขึ้นมาเรื่อยๆ เป็นกว่าหมื่นบาท จนมาที่กว่าสามหมื่น คือยิ่งเราทำมากขึ้นก็จะยิ่งรู้ว่าควรตั้งราคาประมาณไหน โชคดีที่เคยเรียนที่วิทยาลัยพณิชยการบางนา ทำให้มีความรู้เรื่องการดูกลุ่มเป้าหมายและเรื่องการตลาดด้วย (ยิ้ม)

“สำหรับแบบของ Crybaby จากตอนแรกเป็นตัวยืนร้องไห้ธรรมดา แค่เปลี่ยนสี ก็เริ่มเปลี่ยนท่าทาง ถ้าให้มดวิเคราะห์การที่แฟนๆ ชอบ คงเพราะเป็นตุ๊กตาคาแร็คเตอร์ร้องไห้ ไม่ซ้ำกับคนอื่น ตอนแรกที่เข้าไปในตลาดจีนก็เจอคอมเมนต์ที่เป็นลบบ้าง ประมาณว่าฉันไม่มีวันนำตัวร้องไห้เข้าบ้านแน่นอน เพราะคนจีนมีความเป็นคอนเซอร์เวทีฟ อะไรที่เป็นสีดำเขาถือ แต่บางคนกลับมองว่างานของเราไม่เหมือนงานส่วนใหญ่ที่จะยิ้มและผิวขาวมากๆ แต่ของมดตัวแรกเป็นสีน้ำตาลเข้มๆ เหมือนกับตัวเอง แล้วร้องไห้ มีรอยสักที่ตัวคาแร็คเตอร์ เขาเห็นแล้วชอบเลย”

นิสา ศรีคำดี Crybaby

นิทรรศการต่อยอดความคิดและความสำเร็จ

“ก่อนหน้านี้มดต้องไปจีนทุกเดือนเพื่อไปออกงานกับไปเช็กงานที่โรงงานผลิต เพราะเริ่มเข้าสู่อุตสาหกรรม ไม่ใช่งานทำมือแล้ว แล้วก่อนโควิด-19 ระบาดไม่กี่เดือนมดได้เซ็นสัญญากับบริษัท Pop Mart ถือเป็นคนไทยคนแรกและคนเดียว ซึ่งก่อนหน้านี้ Pop Mart แวะเวียนมาถามตลอดอยู่แล้ว เพราะช่วงนั้น Crybaby กระแสแรงมาก แต่ช่วงแรกเราเป็นแค่งานทำมือ แล้วเซ็นสัญญากับบริษัทอื่นอยู่ด้วย พอวันที่สัญญาเดิมจบ เขาก็โทร.มาทันที แล้วไม่กี่เดือนก็เกิดโควิด ทำให้มดไม่สามารถบินไปเจอเขาได้ ใช้วิธีออกแบบแล้วส่งงานไป ซึ่งพอมีเวลาอยู่เมืองไทย เริ่มรู้สึกว่าอยากทำอะไรที่มากกว่าเดิม จึงคิดอยากจัดนิทรรศการ

“พอดีพี่หนุ่ม (จิตติ จำเนียรไวย) ศิลปินภาพวาดที่มีผลงาน Art Toy ชวนมดไปคอลแล็บกับงานคัสตอมทอยของเขาที่ 333 Callery พอทางแกลเลอรี่เห็นผลงานแล้วชอบ จึงชวนให้มาจัดแสดง มดตอบตกลงทันที โดยใช้เวลาหนึ่งปีเตรียมงาน ทำให้เริ่มมีผลงานภาพวาดกับทำประติมากรรมตัวใหญ่ คือกระโดดจากงานเล็กๆ มาเป็นผลงานชิ้นใหญ่ขนาดกว่าหนึ่งเมตร

“สำหรับนิทรรศการครั้งแรกมดต้องการแนะนำ Crybaby เหมือนส่งข้อความให้ทุกคนบอกตัวเองว่ามันโอเคนะที่จะร้องไห้บ้าง ซึ่งประสบความสำเร็จมาก จากที่คนไทยไม่ค่อยรู้จัก ก็กลายเป็นกระแส อย่างปีที่แล้วไม่มีแม้กระทั่งกลุ่มแฟนคลับในเฟซบุ๊ก ตอนนี้มีหลายกลุ่มมาก ตอนนั้นมดบอกทางแกลเลอรี่ว่ามดไม่มั่นใจนะว่ากลุ่มแฟนจีนจะมาดูได้ แต่กลายเป็นว่าคนไทยมาเยอะมาก บอกแบบปากต่อปาก คนเต็มทุกวัน จนทาง 333 Gallery ขอขยายเวลาจัดนิทรรศการออกไป

“หลังจบงานมดต้องเตรียมงานนิทรรศการครั้งที่ 2 ภายใต้ชื่อ Everybody Cries Sometimes ทันทีกับทางเทรนดี้แกลเลอรี่ ภายในริเวอร์  ซิตี้ แบงค็อก ซึ่งจัดในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ครั้งนี้ถือเป็นงานใหญ่ พื้นที่ใหญ่ขึ้น เรื่องที่พูดก็กว้างขึ้น คือใครๆ ก็ร้องไห้ ฉันร้อง เธอร้อง พวกเราทุกคนก็เช่นกัน นิทรรศการครั้งแรกเหมือนให้เช็กตัวเองว่าโอเค แต่ครั้งนี้นอกจากบอกตัวเอง เรายังมองคนรอบตัวด้วย งานออกมาสเกลใหญ่ขึ้น จำนวนงานเพ้นติ้งเยอะขึ้นหลายเท่า มีภาพพิมพ์หลายแบบ เรียกว่าเต็มที่สุดๆ จริงๆ

“ทุกครั้งที่ทำงานมดไม่ได้คิดว่าจะสำเร็จด้านไหน แต่เน้นว่างานต้องออกมาดี ส่วนอื่นๆ เป็นผลตามมา ปกติคนมองงานศิลปะว่าเป็นอะไรที่เอื้อมไม่ค่อยถึงหรือไกลตัว เราจึงทำให้ใกล้ตัวที่สุด เช่น โจทย์ของคนที่อยากมาถ่ายรูป ก็ทำจุดสำหรับถ่ายรูปทั้งงานเลย ส่วนโจทย์ของคนที่อยากชมงานศิลปะ เราก็มีทั้งประติมากรรม ภาพวาด ภาพพิมพ์ครบ ส่วนโจทย์ของคนที่สะสม Art Toy ก็ได้เห็นประติมากรรมตัวเล็กด้วย นอกจากนี้ในงานนิทรรศการครั้งล่าสุดมดเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ออกแบบ Crybaby ของตัวเองผ่านทางเว็บไซต์ Crybaby Molly สำหรับใครที่ยังไม่ได้มาชมนิทรรศการ หรือคนที่มาดูงานแล้ว แต่ยังอินอยู่ ก็กลับไปสร้าง Crybaby ของตัวเองได้

“รวมถึงการทำกล่องสุ่ม Crybaby ซึ่งมีหลายดีไซน์ กล่องละประมาณ 300 – 400 บาท และมีขายแบบเป็นเซต 12 แบบ แถมคาแร็คเตอร์ลับประมาณ 1 – 2 แบบ ตลาดหลักอยู่ที่จีน ออกมาทั้งหมด 4 ซีรี่ส์แล้ว ตอนนี้ทุกชีรี่ส์ราคาขึ้นหลายเท่าตัว ล่าสุดมีการประมูลผลงานประติมากรรมจากการจัดนิทรรศการครั้งแรก สูงประมาณเมตรกว่า ราคาขายคือ 1 แสน 8 หมื่นบาท แต่ประมูลไปประมาณ 2 ล้าน 6 แสนบาท คนที่ได้ไปเป็นนักสะสมชาวไทย”

นิสา ศรีคำดี Crybaby

อย่ายอมแพ้

“แน่นอนว่าไม่มีงานอะไรที่ง่ายราบรื่นทุกอย่าง งานชุดแรกๆ ที่ขายทางไอจี มดไม่มีประสบการณ์ เมื่อแพ็กของส่งไปที่ประเทศจีน งานแตกหักประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์ เพราะการส่งไปรษณีย์ที่นั่นโหดมาก เมื่อของแตก เราต้องรับผิดชอบลูกค้าด้วยการออกค่าส่งให้เขาส่งกลับมา ซึ่งเป็นเงินหลายพันบาท พอเราซ่อมให้เขาแล้วสงกลับไปให้ใหม่ ค่าส่งแพงกว่าค่าของอีก เหมือนเราทำงานไม่จบไม่สิ้น ตอนนั้นรู้สึกท้อมาก ช่วงปีแรกทำงานหนัก ได้นอนแค่วันละ 1 – 2 ชั่วโมง เพื่อซ่อมงาน แล้วต้องทำงานชิ้นใหม่ เพื่อจะได้มีเงินมาใช้ จนร่างกายรับไม่ไหว ตอนนั้นอายุ 30 กว่า เริ่มเข้าโรงพยาบาลบ่อย คือเป็นทุกอย่างที่เกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ อย่างต่อมทอนซิลอักเสบ ลำไส้อักเสบ มาจากภูมิคุ้มกันบกพร่อง ปวดท้องเหมือนท้องจะขาด ต้องกินยาแก้ปวดตลอดเวลา แล้วอาการกำเริบตอนไปฮ่องกง ต้องนอนทนปวดอย่างนั้นจนเช้า โชคดีที่ได้นั่งเครื่องบินชั้นธุรกิจ กลับมาแอดมิตเลย ต้องรักษาตัวอยู่ 2 สัปดาห์ ตอนนั้นร่างกายคงอ่อนแอมาก จึงเป็นโรคที่เกี่ยวกับการอักเสบทั้งหมด

“กว่าที่ทุกอย่างจะลงตัวแบบวันนี้ ต้องผ่านการแก้ปัญหามากมาย มดบอกตัวเองว่าเราเคยทำงานออกแบบที่ต้องทำทุกอย่างที่ลูกค้าหรือคนอื่นต้องการ ตอนนี้จึงรู้สึกว่าตัวเองโชคดีมากๆ ที่ได้ทำงานที่รัก และมีคนรักในงานของเรา พร้อมที่จะเสพงานที่เราทำ ดังนั้นจึงขอเอนจอยกับจุดนี้ให้มากที่สุด ก็คือทำในสิ่งที่รัก แล้วให้คนที่ชื่นชอบได้เสพงานของเราไปพร้อมกัน

“การทำงานจึงเป็นทั้งความสุข และมีความทุกข์ด้วย (หัวเราะ) เพราะมีคนรองานอยู่ เป็นเรื่องของความรับผิดชอบ ไม่มีใครรู้ว่าปีนั้นมดเข้าโรงพยาบาลตลอด มีแม่คนเดียวที่รู้ Crybaby จึงเหมือนมดได้บอกตัวเองด้วยว่ามันโอเคเหมือนกันนะที่จะอ่อนแอบ้าง

“แล้วมดก็ตั้งใจเปลี่ยนความรู้สึกที่มีต่อน้ำตาให้เป็น Positive มากขึ้น เพราะต้องการบอกว่าไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดจนต้องซ่อนขนาดนั้น บางทีเราแสดงความอ่อนแอบ้างก็ได้ เพื่อให้คนข้างๆ ได้รู้ว่าเราต้องการความช่วยเหลือ จะได้อยู่เป็นเพื่อน สังคมมักบอกว่าไม่ควรแสดงความอ่อนแอให้คนอื่นเห็น มดจึงส่ง Crybaby ออกมาร้องไห้แทน ทุกคนไม่จำเป็นต้องเข้มแข็งตลอดเวลา

“ชีวิตและงานของมดไม่มีสูตรสำเร็จ แต่สิ่งหนึ่งที่แนะนำได้ก็คืออย่ายอมแพ้ค่ะ ถ้าเรามีความรักและความตั้งใจในการทำ สุดท้ายแล้วมันจะพาเราไปในจุดที่ดี อย่างน้อยที่สุดก็จะใกล้กับความสำเร็จ เหมือนเราได้ก้าวเดินแล้ว

“อนาคตมดคงมีงานกับ Pop Mart ออกมาเรื่อยๆ และน่าจะพา Crybaby ไปให้ไกลมากที่สุด ทั้งในเอเชียและอื่นๆ อย่างอังกฤษ อเมริกา วันหนึ่งอยากไปให้ทั่วโลก เป้าหมายของมดจึงอยู่ไกล สิ่งสำคัญคือต้องทำให้ดีที่สุดทีละก้าว ไม่มองหาทางลัด มดทำงานวันนี้เพื่อจะได้รู้ว่านี้คือบทเรียนของความสำเร็จ หมั่นฝึกฝนฝีมือให้เหมาะสมเวลาไปอยู่ในระดับโลกได้ค่ะ”


ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 998

ภาพเพิ่มเติม : crybaby_molly_

Praew Recommend

keyboard_arrow_up