เส้นทางศิลปินเต็มตัวของลูกไม้ใต้ต้น “ทิกเกอร์ - อชิระ เทริโอ”
ทิกเกอร์ อชิระ เทริโอ

เส้นทางศิลปินเต็มตัวของลูกไม้ใต้ต้น “ทิกเกอร์ – อชิระ เทริโอ”

Alternative Textaccount_circle
ทิกเกอร์ อชิระ เทริโอ
ทิกเกอร์ อชิระ เทริโอ

ความฝันในวัยเด็กของ ทิกเกอร์ – อชิระ เทริโอ คืออยากเป็นศิลปิน วันนี้หลังจากผ่านการเตรียมตัวเป็นศิลปินฝึกหัดของค่าย G’NEST (จีเนส) ในเครือจีเอ็มเอ็ม แกรมมี่ มา 3 ปี ทิกเกอร์ก็ได้ปล่อยซิงเกิ้ลแรกในชีวิต R U OK ? ที่มียอดดู 1.2 ล้านวิว ตามมาด้วยซิงเกิ้ลที่สอง ผิดหน้าที่ ที่มียอดทะลุ 5.2 ล้านวิว

หลายคนอาจคิดว่าที่เขาได้มายืนตรงนี้ เพราะมีแต้มต่อจากการเป็นลูกของ นิโคล เทริโอ กับ แมว – จิรศักดิ์ ป่านพุ่ม ทิกเกอร์บอกว่าเขาได้เปรียบก็จริงในแง่ที่ซึมชับเรื่องดนตรีมาตั้งแต่เด็กและมีที่ปรึกษาที่ดี แต่เส้นทางการเป็นศิลปิน ทิกเกอร์ต้องฝึกฝนด้วยตัวเอง ขนาดที่ว่าคุณแม่เองก็ยังไม่รู้ดีเทลลึกๆ ว่าเขาฝึกอะไรบ้าง

เส้นทางศิลปินเต็มตัวของลูกไม้ใต้ต้น “ทิกเกอร์ – อชิระ เทริโอ”

3ปี กว่า 4,000 ชั่วโมง สู่การเดบิวต์เป็นศิลปิน

“ผมอยากเป็นศิลปินตั้งแต่เด็ก ส่วนหนึ่งอาจเพราะเกิดในครอบครัวนักดนตรี อยู่ในบ้านที่มีเสียงเพลงมาตลอด จึงฝึกเล่นดนตรีตั้งแต่เด็กๆ ซึ่งคุณแม่ก็สนับสนุนพาไปเรียนกีตาร์ จนมีโอกาสมาเป็นศิลปินฝึกหัดที่แกรมมี่ตอนอายุ 16 ปี ซึ่งใช้เวลาประมาณ 3 ปี นับเป็นชั่วโมงฝึกคือกว่า 4,000 ชั่วโมง ทั้งฝึกร้อง เต้น แร็พ และพัฒนาบุคลิกภาพ เตรียมความพร้อมที่ต้องใช้ในวงการบันเทิง

“สำหรับผมพาร์ตที่ยากที่สุดคือการเต้นครับ เพราะผมไม่มีทักษะเลย ในคลาสครูจะสอนทุกสไตล์ ทั้งเต้นแบบเบสิก ฮิปฮ็อป และแจ๊สผสมฮิปฮ็อป ท่าเต้นเน้นความโมเดิร์น ซึ่งยาก แต่สไตล์ที่ผมชอบมากที่สุดคือสไตล์แอฟโฟรบีต (Afrobeat) มีความเป็นแอฟริกา ไดนามิกของท่าเน้นอารมณ์ความรู้สึกเป็นหลัก มีความสนุกสนาน เต้นได้ทั้งหนักเบา แต่ที่ยากหน่อยคือเต้นแบบป็อปปิ้ง (Popping Dance) คือท่าเต้นผสมแนวฟังก์กับสตรีทแดนซ์ที่ต้องใช้กล้ามเนื้อเยอะ เนื่องจากเวลาเต้นต้องทำให้กล้ามเนื้อกระตุก เพิ่มมูฟเมนต์

“ส่วนคลาสที่ผมชอบที่สุดคือร้องเพลงครับ โดยเฉพาะการร้องฮิปฮ็อปที่ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่ และในคลาสนี้ผมก็ได้ลองเขียนเนื้อเพลงฮิปฮ็อปด้วย ซึ่งคุณครูก็กระตุ้นให้เรากล้าลองทำสิ่งใหม่ๆ ไม่ต้องกลัวว่าจะเขียนผิดหรือถูก สอนวิธีการแร็พ การใช้คำสัมผัส แนวทางการใช้เสียง อย่างแร็พแบบกระซิบ แบบตะโกน ผมจึงรู้สึกเป็นตัวเองและสบายใจกับคลาสนี้มาก

“ทุกครั้งที่เรียนจบก็จะมีการบ้านด้วย เป็นวิธีให้เราฝึกเพิ่มไปในตัว อย่างการเต้นที่ไม่ถนัดก็ต้องฝึกนาน แม้กระทั่งการออกกำลังกาย ก็ต้องส่งการบ้านนะ นอกจากนี้ก็ต้องฝึกพัฒนาบุคลิกภาพทั้งเรื่องจิตใจ ร่างกาย ไปจนถึงการแต่งหน้า แต่งตัว อย่างเครื่องสำอางตอนแรกก็งงมากว่าต้องใช้อะไรบ้าง แต่พอเปิดใจก็มองว่าถ้าแต่งหน้าเองได้ก็จะช่วยเสริมบุคลิกของเราด้วย”

ทิกเกอร์ อชิระ เทริโอ

R U OK ?

หลังจากฝึกอย่างเข้มข้น 3 ปี จนสามารถเป็นศิลปินได้สำเร็จ อัลบั้มแรกของทิกเกอร์ “Crush” ที่บอกเล่าความรักหลากหลายรูปแบบก็ถูกปล่อยออกมา “ผมมีส่วนเรื่องดนตรีเยอะ เพราะพี่ปณต (ปณต คุณประเสริฐ Executive Producer) อยากให้ผมใส่ความเป็นตัวตนไว้ในซาวนด์ด้วย จึงคิดในส่วนทำนองของกีตาร์ อย่างเพลงแรก R U OK? เป็นเพลงเกี่ยวกับคู่รักที่เลิกกัน ต้องมูฟออน ต้องรักตัวเอง จนถึงวันที่โอเค เข้มแข็งพอจนกลับไปถามคนรักเก่าได้ว่าเธอโอเคแล้วหรือยัง ผมรู้สึกว่าถ้ามีท่อนกีตาร์เท่ๆ จะทำให้เพลงดูคูลขึ้น

“จำได้ว่าวันแรกที่เพลงปล่อยออกมา ผมพูดกับแม่ว่า ‘Here we go.’  คือเราเริ่มอาชีพศิลปินแล้วนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตเราก็ต้องเตรียมรับทุกอย่าง เพราะผมไม่คาดหวังว่าจะได้ไป School Tour แล้วเจอแฟนๆ รอฟังเยอะขนาดนี้ หรือจะได้มีโอกาสไปเฟสติวัล เล่นที่งานบิ๊กเมาน์เท่น และไม่คิดว่าเพลงจะไปถึงหลักล้านวิว ซึ่งถ้าให้สารภาพ ตอนที่เห็นตัวเลขผมก็ยังบอกไม่ถูกว่ามันเป็นความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่ขนาดไหน กระทั่งไปอ่านคอมเมนต์ที่แฟนเพลงเขียนให้ว่าเขาเพิ่งเลิกกับแฟน เพลงนี้ช่วยให้มูฟออนและทำให้เขาคิดในแง่บวกได้ว่าความสัมพันธ์ที่ผ่านมาไม่โอเค ทุกวันนี้เขาโอเคกับการที่เลิกกัน และแข็งแกร่งพอที่จะถามอีกฝ่ายว่าโอเคไหม พอผมอ่านแล้วรู้สึกว้าวมาก คือเพลงของผมส่งผลกับชีวิตคนอื่นด้วย รู้สึกว่าสิ่งที่ผมทุ่มเททำมาไม่สูญเปล่า มันเกิดประโยชน์แล้วจริงๆ” (ยิ้ม)

ทิกเกอร์ อชิระ เทริโอ

ครอบครัวดนตรี

เมื่อถามทิกเกอร์ว่าคุณพ่อคุณแม่ซัพพอร์ตอย่างไรบ้าง “หลักๆ คือความรักครับ (หัวเราะ) เรื่องจริงนะ อย่างตอนที่ผมเป็นศิลปินฝึกหัด ค่ายไม่ให้ผู้ปกครองรู้เรื่องเลยว่าเราฝึกอะไรบ้าง และไม่อนุญาตให้เข้าไปดู เพราะกลัวว่าเราจะเกร็งและกดดัน อย่างแม่ก็พอรู้คร่าวๆ ว่าผมเทรนอะไรบ้าง แต่ไม่รู้รายละเอียดแบบลงลึกว่าเรียนขนาดไหน บวกกับเวลาผมฝึกก็ไม่อยากให้แม่ดูด้วยเพราะเขิน สิ่งที่แม่ทำให้ผมได้ตอนนั้นจึงเป็นการส่งความรักและกำลังใจ แม่บอกเสมอว่า ‘Just keep going.’ รู้ว่าตอนนี้หนื่อยนะ แต่มันจะผ่านไปได้ เพราะฉะนั้นส่วนใหญ่ผมจะฝึกด้วยตัวเอง

“ผมชอบสังเกตวิธีการแสดงโชว์ของแม่บนเวทีว่ามีวิธีสื่อสารกับคนดูยังไง มีวิธีส่งพลังแบบไหน แล้วพยายามนำมาปรับใช้ให้เป็นเวอร์ชั่นของตัวเอง ซึ่งแน่นอนว่าตอนนี้ผมยังเด็กมาก ต้องปรับปรุงแทบทุกอย่าง เรื่องหลักตอนนี้คือพยายามโฟกัส พูดคุยกับคนดู

“ศิลปินอีกคนที่ผมชอบมากและเป็นตัวอย่างในการโชว์คือพี่นนท์ – ธนนท์ คือเวลาเขาร้องเพลงจะสัมผัสได้ถึงอินเนอร์และพลังชัดเจน ซึ่งเรื่องนี้สำคัญ เราต้องทำทุกอย่างจากใจ ผมดูการแสดงของเขาและพยายามปรับปรุงตัวเอง ซึ่งตอนนี้ดีขึ้นแล้ว แต่ก่อนจะกังวลมาก เพราะคิดมากว่าคนอื่นจะมองว่าเราเป็นฝรั่งเกินไปหรือเปล่า ใช้ภาษาไทยถูกไวยากรณ์ไหม ซึ่งพ่อกับแม่ก็สอนว่าถ้าขึ้นเวทีต้องเป็นตัวเองมากที่สุด ไม่อย่างนั้นจะไม่สนุก ซึ่งผมก็ว่าจริง ถ้าเราเฟคเป็นใคร คนดูก็จะไม่เชื่อและไม่สนุกไปด้วย

“ความโชคดีที่ได้เกิดในครอบครัวนักดนตรีคือมีที่ปรึกษาที่ดีมากๆ พี่แมว พี่นิโคล คือไอดอลของผมเลย เป็นแรงบันดาลใจที่ยอดเยี่ยม เขามีประสบการณ์ตรงนี้มาก่อน ผ่านมาเกือบทุกเรื่อง ผมปรึกษาแม่เรื่องการร้องเพลงบ้าง เพราะในยุคเขาก็มีวิธีการร้องที่ไม่เหมือนยุคเรา วิธีการใช้เสียงจะต่างกัน ส่วนพ่อ ผมจะปรึกษาเรื่องงานเบื้องหลัง เช่น การใช้เครื่องดนตรี เพราะความฝันของผมคืออยากเป็นโปรดิวเซอร์ อยากเล่นดนตรีให้เก่งกว่านี้ มีความรู้เป็นอาวุธให้เราทำงานได้ พ่อก็จะถนัดเรื่องเหล่านี้

“อีกเรื่องที่ผมรู้สึกโชคดีคือผมได้สัมผัสบรรยากาศของวงการบันเทิงตั้งแต่เด็ก เป็นสิ่งที่ผมได้เปรียบ ผมเคยไปดูคอนเสิร์ตของพ่อแม่ เคยอยู่หลังเวที เคยทำงานในวงการมาบ้าง จึงชินและปรับตัวได้ไว เพราะโตมากับสิ่งเหล่านี้ รู้สึกโชคดีที่ตัวเองข้ามสเต็ปตัดความกังวลเรื่องนี้ไปได้”

ถ้าให้มองที่อนาคตใกล้ๆ ช่วงภายใน 3 ปีนี้ทิกเกอร์อยากทำอะไร เขาบอกว่า “ผมอยากลองทำเพลงให้มากขึ้นครับ อย่างโปรเจ็กต์ซนซนของแกรมมี่ก็ได้รับโอกาสให้เป็นโปรดิวเซอร์ทำเพลงเองด้วย คงจะดีมากถ้าได้ลองทำงานเบื้องหลังเยอะขึ้น ส่วนเรื่องที่แฮ็ปปี้ในวันนี้ ผมภูมิใจในตัวเองที่เรามาถึงจุดนี้ได้แล้วครับ”


ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 998

ภาพ : @tiggerachira

Praew Recommend

keyboard_arrow_up