ไม่ยอมจำนนโชคชะตา “3 ผู้หญิงพลิกฟ้า” จากเด็กสลัม จนได้กำเงินร้อยล้าน!

จากเด็กน้อยเร่ขายขนมปัง เด็กสลัมที่เรียนจบเพียงชั้น ม.3 แม่ค้าเร่ขายของตามตลาดนัด คอยก้มหาเหรียญบาทที่ตกตามถนน… ใครที่บอกตัวเองว่าชาตินี้คุณไม่มีทางกำเงินร้อยล้าน ให้โอกาสคิดใหม่อีกครั้ง!

 

“คุณป้อ” เจ้าของร้านรองเท้า Shuberry 12 สาขา ไม่รวมส่งออกต่างประเทศ

“เพราะชีวิตคือความไม่แน่นอน ต้องขอบคุณที่ตัวเองเกิดมาลำบากค่ะ”

คุณป้อ” เกิดมาในครอบครัวที่ฐานะค่อนข้างลำบาก เป็นลูกคนที่ 4 คุณแม่มีอาชีพรับซ่อมเสื้อผ้าอยู่กับบ้าน คุณพ่อเป็นหลงจู๊ ( ตัวแทนพ่อค้าคนกลาง) อยู่ที่สะพานปลาก่อนจะตกงาน ทั้งครอบครัวจึงหันมาทำขนมปังไส้ต่างๆขาย ตั้งแต่สมัยเด็กๆที่ต้องตื่นตีสี่มาช่วยพ่อกับแม่ทำขนมปังก่อนไปโรงเรียน พร้อมพกขนมปังใส่กระเป๋าไปขายให้เพื่อนๆ และยืนขายตามศาลเจ้า ถ้าขายได้วันละ 400 บาท แม่จะแบ่งเงินให้วันละ 40 บาท เธอเก็บออมไว้เพื่อเป็นค่าหนังสือเรียนกับค่าขนม ส่วนเรื่องค่าเทอมไม่ต้องกวนทางบ้าน เพราะได้ทุนเรียนดี จนวันหนึ่งพ่อเสีย แม่ทำงานควบทั้งทำขนมปังขายและทำอาหารตามสั่ง ซึ่ง “คุณป้อ” ก็เป็นกำลังเสริมทุกครั้ง

ด้วยความเป็นคนใฝ่เรียน หลังจากเข้าเรียนสายอาชีพตามที่แม่บอก ก็เรียนไปทำงานพิเศษไปด้วยจนมีเงินเก็บ สุดท้ายเรียนจบโรงเรียนพาณิชย์จึงหาซื้อหนังสือติวสอบเข้ามหาวิทยาลัย และไปลงคอร์สเรียนพิเศษวิชาเลขเพิ่มเติม จนสอบติดคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชีของจุฬาฯได้สำเร็จ

“เวลาเห็นเพื่อนๆใช้กระเป๋าแบรนด์เนม ดิฉันเองก็อยากได้ แต่คิดอีกทีเราน่าจะผลิตเองได้ มีช่วงหนึ่งเพื่อนๆฮิตกระเป๋าลูกปัดกันมาก ดิฉันก็หาลูกปัดมาถักเป็นกระเป๋า ใช้คนเดียวไม่พอ ยังต่อยอดด้วยการนำไปขายอีกด้วย ปรากฏว่าขายดีผิดคาด จึงได้บทเรียนข้อที่หนึ่งว่า ถ้าเราผลิตของที่อยู่ในกระแสและทำออกมาได้ดี เราจะขายได้”

จากธุรกิจพาร์ตไทม์กลายเป็นเจ้าของร้านเงินแสน ไต่สู่เงินล้าน

เพราะไอเดียต่อยอด เกาะเทรนด์แฟชั่นไปเรื่อยๆ ตระเวนหาโรงงานทำกระเป๋าที่รับทำกระเป๋าพรีออร์เดอร์ ผลิตสินค้าตัวอย่างให้ก่อนแล้วนำไปเสนอร้านกระเป๋า เมื่อตกลงซื้อขายจึงกลับมาสั่งโรงงานผลิต เรียกว่าเป็นวิธีที่ฉลาดโดยไม่ต้องอาศัยทุนมากมาย บวกกับความโชคดีที่เจอเจ้าของโรงงานใจดี เห็นเป็นเด็กเลยยอมช่วยเหลือ

เมื่อมีเงินก้อนจึงลงทุนเปิดร้านเล็กๆเอง จากนั้นต่อยอดกระเป๋าไปเสื้อผ้า จนถึงรองเท้า ซึ่งถือเป็นจุดพลิกชีวิต เพราะเป็นสินค้าขายดีที่สุด รายได้ตอนนั้นเหยียบหลักล้านแล้วทั้งๆที่ยังเรียนอยู่

“จุดเริ่มต้นยากมาก ต้องจดชื่อโรงงานผลิตรองเท้าจากสมุดหน้าเหลืองแล้วไปโทร.ที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ เพราะคุณแม่ไม่อนุญาตให้ใช้โทรศัพท์บ้าน เนื่องจากเปลืองกว่า ปรากฏว่าเจอแต่โรงงานที่รับผลิตรองเท้าปริมาณมาก แต่เราอยากได้โรงงานเล็กๆ จึงเปลี่ยนวิธีไปเดินหาข้อมูลตามตลาดนัด วันหนึ่งไปที่จตุจักร เจอช่างทำรองเท้าที่ไม่มีหน้าร้านของตัวเอง เขาผลิตรองเท้าแตะแต่ดีไซน์สามารถต่อยอดได้หลากหลาย”

หลังจากเรียนจบด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 เธอจึงมีเวลาบริหารร้านเต็มที่ ภายใน 2 ปีสามารถขยายร้านเป็น 6 สาขาในสยามฯ จากนั้นขยายธุรกิจไปมีช็อปอยู่ในห้าง จึงเป็นจุดเริ่มต้นของแบรนด์ Shuberry ธุรกิจไปได้ดีจึงเก็บเงินได้หลายล้าน สามารถสร้างโรงงานผลิตกระเป๋า รองเท้า เป็นของตัวเองได้สำเร็จ นอกจากนี้ยังขายส่งให้ร้านค้าแถวประตูน้ำ ใบหยก และสำเพ็งอีกด้วย พออายุ 25 ปีเธอก็มีรายได้หลักร้อยล้าน!!

คุณป้อ - กรกนก สว่างรวมโชค
คุณป้อ – กรกนก สว่างรวมโชค

 

“คุณชมพู่” เจ้าของธุรกิจคอนแท็คท์เลนส์ Dreamcolor 1 รวยระดับ 100 ล้าน

ในอดีตคุณชมพู่คือแม่ค้าเร่ขายของตามตลาดนัด เคยผ่านช่วงชีวิตที่แทบไม่มีเงินซื้อข้าว คอยก้มหาเหรียญบาทที่ตกตามถนน ถูกสบประมาทว่าไปไม่รอด

“คนอื่นสบประมาทไว้เยอะว่าคงอยู่ไม่รอด ดิฉันจึงอยากพึ่งตัวเองให้มากที่สุด ใช้วิธีถ้ามีก็กิน ไม่มีก็ไม่กิน บ่อยๆที่กินบะหมี่สำเร็จรูปคลุกข้าว บางวันไม่ไปเรียนเพราะไม่มีเงินซื้อข้าว เพื่อนที่รู้ชะตากรรมก็ยื่นมือให้ความช่วยเหลือ บอกว่ามาเรียนเถอะ เดี๋ยวจ่ายค่าอาหารให้ ตอนนั้นเวลาเดินดิฉันติดนิสัยก้มหน้าหาเศษเหรียญที่ตกบนถนน 1 บาทก็ยังเก็บ นานวันเริ่มรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่รู้จะอยู่ไปทำไม ไม่ไปเรียนจนเกรดเฉลี่ยตกเหลือไม่ถึงหนึ่ง น้าจึงบอกว่าถ้ายังเกเรอย่างนี้จะไม่ส่งเสีย ทำให้ดิฉันได้สติปรับนิสัยใหม่ กลับมาตั้งใจเรียน จนเกรดเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมาเป็น 3 กว่าๆ”

ด้วยความที่มีความฝันอยากมีธุรกิจส่วนตัว จึงคิดเริ่มต้นอาชีพแม่ค้า แต่เป็นได้แค่แม่ค้าเร่ ฝนตก โดนเทศกิจไล่ ขายของไม่ได้

จากแม่ค้าเร่ ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปเมื่อได้รู้จักกับคอนแท็คท์เลนส์ โดยพี่สาวของสามีได้สั่งคอนแท็คท์เลนส์สีมาจากต่างประเทศ จึงแบ่งคอนแท็คท์เลนส์มาให้ขาย เริ่มจากขายตลาดนัด สู้ฝ่ากระแสคนกลัวตาบอดด้วยการศึกษาข้อมูลทั้งวิธีการใส่ที่ถูกต้อง การเก็บดูแล และการรักษาความสะอาด จนมีลูกค้าไว้วางใจซื้อขายกันต่อเนื่อง มีรายได้ต่อวันประมาณ 10,000 – 20,000 บาท ขายอยู่ 2 ปี ไม่มีวันหยุด ได้กำไรหลักล้าน แต่สภาพร่างกายทรุดโทรมสาหัส

“ตัวดิฉันเองเปลี่ยนคอนแท็คท์เลนส์มา 4 ยี่ห้อ วันหนึ่งมาเจอยี่ห้อ Dreamcolor 1 ซึ่งส่งตรงมาจากเกาหลี เป็นยี่ห้อที่คนเกาหลีและจักษุแพทย์ยอมรับ โรงงานได้มาตรฐานปลอดภัย เราลองซื้อมาใช้แล้วรู้สึกว่าต้องขายดีแน่ๆ ประจวบเหมาะกับเจ้าของคนเกาหลีมีปัญหาชีวิต ต้องขายบริษัท เราก็ซื้อมาในเงินหลายสิบล้านบาท ช่วงแรกขายไม่ดีนัก เพราะคนยังไม่รู้จัก ขายแทบไม่ได้เลย จนเกือบต้องขายกิจการทิ้ง แต่สุดท้ายก็บอกสามีว่า สู้เถอะ ใช้เวลาวางแผนการตลาดใหม่ ภายในสองเดือนได้รับผลตอบรับที่ดี แบรนด์ติดตลาดเร็วมาก เพราะชูจุดเด่นตรงที่สามารถป้องกันรังสียูวีได้จริง ภายใน 3 ปีมีตัวแทนกว่าพันสาขาทั่วประเทศ จนมีรายได้หลักร้อยล้าน”

คุณชมพู่ - กชพรรณ วิรุฬห์รักษ์สกุล
คุณชมพู่ – กชพรรณ วิรุฬห์รักษ์สกุล

 

 “คุณตั๊ก” กับบททดสอบความอดทนต่อโชคชะตาที่ไม่เข้าข้างเธอสักนิด

ชีวิตวัยเด็กของเธอคือ วันว่างต้องออกไปขายส้มตำที่สนามหลวงกับคุณแม่ ส่วนคุณพ่อทำงานอยู่ที่การรถไฟแห่งประเทศไทย ตอนแรกเช่าบ้านอยู่ กระทั่งคุณพ่อนำเงินเก็บไปซื้อไม้มาสร้างบ้านอยู่หน้าวัดดุสิตาราม แต่แล้วไม่นานก็ถูกไล่ที่ ย้ายไปอยู่ในสลัม จากนั้นไม่นานคุณพ่อ คุณยาย และพี่ชายอีก 2 คน ก็ทยอยเสียชีวิตจากไป เธอเองเรียนอยู่ชั้น ม.3 ต้องออกจากโรงเรียนกลางคันเพราะไม่มีเงิน แม้แต่ค่าน้ำค่าไฟก็ยังไม่มีจ่าย

“ตอนนั้นพวกร้านคาราโอเกะ ร้านคาเฟ่ ได้รับความนิยมมาก พี่สาวจึงนำเงินประกันชีวิตของคุณพ่อสามแสนบาท ซึ่งเป็นเงินก้อนสุดท้ายไปลงทุนเซ้งร้านเปิดบริการให้เช่าชุดนักร้อง ชุดราตรี แถวจรัญสนิทวงศ์ ส่วนเงินที่เหลือพี่สาวใช้ซื้อหุ่น วิกผมใส่หุ่น ราวแขวน จักร และผ้า ไปจ้างช่างข้างนอกตัดให้แต่สุดท้ายขายไม่ออกเพราะแบบไม่สวย เงินที่ลงทุนสูญเปล่า กลับไปสู่จุดที่ไม่มีเงินจ่ายค่าน้ำค่าไฟอีก พี่สาวจึงแก้ปัญหาด้วยการให้ดิฉันเป็นช่างตัดเสื้อเสียเอง ให้ฝึกหัดตัดเย็บวางแพตเทิร์นเอง ตอนนั้นใช้วิธีขอความรู้จากช่างตัดเสื้อคนอื่นๆ ถ้าตัวไหนตัดไม่เหมือนแบบในนิตยสาร พี่สาวจะสั่งให้ตัดใหม่ทั้งหมด จนฝีมือเริ่มดีขึ้น เคยมีคนเช่ามากที่สุดคือ 90 ชุดต่อวัน ค่าเช่าตกตัวละ 100 บาท มีรายได้วันละ 9,000 บาท ธุรกิจจึงเฟื่องฟู มีเงินไปเรียนตัดเย็บเพิ่มเติมจนกลายเป็นช่างเต็มตัว”

ชีวิตพลิกอีกครั้งตอนอายุ 19 ปี ทะเลาะกับพี่สาว ออกจากบ้านด้วยเงินติดตัว 400 กับทอง 2 บาท ไปอยู่ห้องเช่า หารกับเพื่อนตกเดือนละ 500 บาท ไปสมัครเป็นผู้ช่วยสไตลิสต์ตามกองถ่ายแฟชั่น เป็นลูกมือรีดผ้า เย็บแก้ชุดบ้าง ได้ค่าจ้างวันละ 145 บาท เพราะจบแค่ ม.3

“ทุกคนใช้วุฒิการศึกษาเป็นใบเบิกทางในการขอเงินเดือน ของานที่ดี วินาทีนั้นดิฉันไม่คิดถึงอาชีพตัดเสื้อ รู้สึกเกลียดด้วยซ้ำที่ทำให้เราอดเรียนหนังสือ”

โชคชะตาไม่จบแค่นั้น เพราะถูกเข้าใจผิดว่าขโมยเงินในซองเงินที่ลูกค้าลืมไว้ จึงรับผิดชอบด้วยการลาออก แต่หางานใหม่ไม่ได้เพราะเจ้านายเก่าโทร.ไปแบล็กลิสต์ วินาทีนั้นเธอบอกว่า นึกถึงคำพูดของแม่ที่เคยบอกว่า เราสามารถรวยเป็นร้อยล้านได้ อยู่ที่ว่าจะทำเมื่อไหร่ วันไหน เธอจึงกลับไปทำสิ่งที่ตัวเองถนัด นั่นคือการเย็บผ้า

จากช่างเย็บผ้าใต้ถุนคอนโด ทะยานฝันสู่อาณาจักรร้อยล้าน
ตอนนั้นทั้งตัวเธอมีเงินเพียง 8,000 บาท กับทองอีก 1 บาท จึงขอความช่วยเหลือจากคนรู้จักซึ่งเป็นช่างสอนแต่งหน้าที่ดังในโลกออนไลน์ แล้วเธอก็หันมาใช้วิธีทำการตลาดในโลกออนไลน์บ้าง จนสุดท้ายก็ดังในโซเชียลในฐานะร้านยืมชุดเพื่อนเจ้าสาวร้านแรกในประเทศไทยด้วยราคา 500 บาททุกชุด จนกระทั่งต่อยอดมาธุรกิจเช่าชุดแต่งงานในนามของ Fullrich Bride

“สาเหตุที่ตั้งชื่อนี้เพราะชีวิตจนมาตลอด อยากรวยแบบพอเพียง ผ่านไป 8 ปีนับตั้งแต่เริ่มธุรกิจ ดิฉันสร้างรายได้ 100 ล้านบาท มีลูกค้าเดือนละกว่า 300 ราย เปลี่ยนสถานที่ทำงานจากเดิมเช่าห้องใต้ถุนคอนโดที่ช่างแต่งหน้าแนะนำ มาเป็นบ้านเดี่ยวที่ซื้อไว้ทำงานถึง 9 หลังด้วยกัน”

ตั๊ก - ปิยาภัสร์ ค้ำชู
คุณตั๊ก – ปิยาภัสร์ ค้ำชู

การยอมจำนนต่อโชคชะตาเป็นเรื่องง่าย…แต่สามสาวสุดสตรองนี้พิสูจน์ให้เราเห็นว่า
การกัดฟันสู้เลือกทำสิ่งที่ยากที่สุดที่หลายคนมองว่า “เป็นไปไม่ได้”
มันอาจจะ “พลิกฟ้า” จากดินสู่ดาวเลยก็เป็นได้ 


ที่มา/ภาพ : นิตยสารแพรว ฉบับที่ 884  คอลัมน์ LIVE STORIES

Praew Recommend

keyboard_arrow_up