ชีวิตไร้กรอบของ เติร์ท -ธนาภพ อยู่วิจิตร Androgynous Model ของเมืองไทย

account_circle

‘ถ้าไม่มีกฎ ก็จะตั้งคำถามตลอดว่า ทำไมถึงทำไม่ได้’ …. ชีวิตไร้กรอบของ เติร์ท -ธนาภพ อยู่วิจิตร Androgynous Model ของเมืองไทย

เพราะหลงใหลแฟชั่นตั้งแต่เด็ก จากการดูรายการเดินแบบทางทีวี ทำให้เติร์ทใฝ่ฝันว่าจะอยู่วงการนายแบบมาโดยตลอด เขาเดินตามความฝันด้วยการประกวดเวที The Face men Thailand เมื่อปี 2560 แม้ไม่ได้รางวัลชนะเลิศ แต่ก็เป็นหนึ่งในห้าคนที่เข้าถึงรอบไฟนอล ด้วยสไตล์การแต่งตัวแบบยูนิเซ็กซ์ ไม่จำกัดเพศ ทำให้เขากลายเป็น Androgynous Model คนแรกๆ ของเมืองไทยเมื่อ 10 ปีที่แล้ว

ทุกวันนี้เติร์ทก็ยังสนุกกับการเป็นนายแบบ ขณะเดียวกันเขาก็เอาดีทางงานแสดงมากขึ้น รวมทั้งทำแบรนด์เสื้อ Blue dream สไตล์ยูนิเซ็กซ์ด้วย

Explore your style

“สมัยเด็กแม่ชอบดูรายการแฟชั่น เปิดทีวีดูทั้งวัน ซึ่งเติร์ทก็นั่งดูด้วย เราก็ชอบนะ เห็นคนเดินแบบ ได้ใส่ชุดสวย บอกแม่ว่า อยากไปอยู่ในนั้น จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราชอบแฟชั่น สมัยประถม เติร์ทเรียนโรงเรียนไทย เป็นยุคที่ยังโดนบังคับให้ตัดทรงนักเรียน ไม่ชอบเลยเพราะไม่อยากให้ใครมายุ่งกับผม เคยฝันว่า อยากจะไว้ผมยาว แล้วจะทำหลายๆ ทรง จนกระทั่งตอนจบ ป.6 ที่บ้านส่งไปเรียนต่อที่สิงคโปร์ พ่อแม่ไม่ได้ไปด้วย เติร์ทอยู่กับโฮสต์ พอไม่มีพ่อแม่ เราทำอะไรก็ได้ ตอนนั้นย้อมผมสีแดง เพราะชอบริฮานน่ามาก ย้อมโดยที่ไม่สนว่า เข้ากับหน้าตาตัวเองไหม (หัวเราะ) บางทีก็ตัดผมเองด้วยเพราะร้านตัดผมราคาแพง พอพ่อมาเยี่ยม เขาจะว่าหรือห้ามก็ไม่ได้แล้ว เพราะทำไปเรียบร้อยแล้ว

“แต่เอาจริงๆ พ่อไม่เคยว่าเลยนะ เติร์ทคิดว่า เขาห้ามไม่ได้มากกว่า เพราะ สมัยก่อนเราดื้อมาก ถ้าไม่มีกฎ ก็จะตั้งคำถามตลอดว่า ทำไมถึงทำไม่ได้ เติร์ทลองผิดลองถูกหลายอย่าง อยากทำอะไรก็ทำเลย เคยถึงขั้นไถหัวครึ่งหัว ไปดัดผมบ้าง โกนหัวตัวเองบ้าง นึกถึงตัวเองสมัยก่อนก็รู้สึก Oh my god เกลียดลุคตัวเองสมัยก่อนมากจนต้องลบทิ้ง (หัวเราะ)  แต่ข้อดีคือ ทำให้เรารู้ว่าชอบอะไร ไม่ชอบอะไร

“สไตล์ตัวเองเริ่มเข้าที่ตอนที่มาเป็นนายแบบช่วงเรียนไฮสคูล ตอนนั้นไว้ผมยาว ส่วนใหญ่จะโดนร้านทำผมจ้าง เคยถึงขั้นโดนย้อม 7 สีพร้อมกันครั้งเดียวมาแล้ว (หัวเราะ) ซึ่งมันก็สนุกนะ แต่มาถึงวันนี้ก็พบว่า ไม่อยากทำอะไรกับผมอีกแล้ว เพราะ เราทำมาทุกอย่างแล้วจริงๆ ถ้าให้ทำสีผมบ่อยก็รู้สึกว่า ไม่ไหว แสบหนังหัว ตอนนี้จึงเป็นลุคธรรมชาติ และเป็นตัวเรามากกว่า

“หรือแม้กระทั่งเรื่องแฟชั่น เติร์ทชอบแต่งตัวและลองมาทุกแบบแล้วจริงๆ ที่พลาดก็มีเยอะ แต่ก่อนชอบใส่ชุดยีนส์ขาดทั้งตัว พอกลับมาดูรูปตอนนี้รู้สึกว่า what is this (หัวเราะ) สไตล์บีชบอยเหมือนอยู่หาดก็เคยลองมาแล้ว หรือจะเป็นแนว futuristic ล้ำๆ เลยก็เคยใส่ การได้ลองอะไรเยอะๆ ทำให้รู้ว่า เราชอบแบบไหน และส่งผลดีด้วยเพราะทุกคนควรจะหาตัวเองเจอ เพราะถ้าทุกคนแต่งตัวเหมือนกันหมด ไม่มีความหลากหลาย ก็คงน่าเบื่อ

“สำหรับเติร์ท ตอนนี้ค้นพบแล้วว่า ชอบใส่ ยูนิเซ็กซ์เท่ๆ ชอบโทนสีดำเพราะใส่ง่าย ดูแลง่าย ที่จริงแนวเสื้อแทบไม่ตายตัว อยู่ที่การแมตช์มากกว่า ถ้าข้างบนหลวมแล้ว ข้างล่างอาจจะใส่กางเกงขากระบอก หลวมบ้างคับบ้าง ดูมีอะไร 

Genderless model

“เติร์ทแต่งตัวแบบยูนิเซ็กซ์ตั้งแต่สมัยเรียนแฟชั่นดีไซน์ที่สถาบันออกแบบนานาชาติชนาพัฒน์ เพื่อนๆ ที่เรียนมาด้วยกันก็แต่งแนวนี้จึงรู้สึกไม่แปลก ตอนที่เข้าวงการนายแบบเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เราจึงเป็นนายแบบรุ่นแรกๆ ที่ประกาศตัวว่า เป็นยูนิเซ็กซ์ ซึ่งหนึ่งในไอดอลที่ทำให้เติร์ทอยากก้าวมาอยู่จุดนี้คือ  Andreja Pejic เป็นนายแบบ Androgynous ที่ดังและเท่มาก เราก็อยากทำให้ได้เหมือนเขา

“แต่ปัจจุบันงานส่วนใหญ่ที่จ้างจะค่อนไปทางผู้ชายมากกว่า นอกจากเป็นนายแบบ ช่วงหลังเติร์ทยังเป็นครูสอนโยคะด้วย หุ่นเราไม่ได้ผอมสลิมเหมือนแต่ก่อน ทุกวันนี้เริ่มมีกล้าม  แต่ก็ยังมีบางงานที่เขาอยากได้ลุคที่ดูเป็นผู้หญิง เราก็แต่งได้ หากพูดถึงความสนุกของการเป็นนายแบบ มันคือทุกวันที่ได้ไปทำงาน เราได้ทำอะไรแตกต่างกันไป เพราะเราชอบเล่นแต่งตัวมานานแล้ว กลายเป็นว่า ทุกวันนี้ได้เป็นบาร์บี้ในชีวิตจริง ส่วนความสนุกของแฟชั่นก็คือ การได้ลุกขึ้นมาแต่ตัว เคยคุยกับเพื่อนว่า ไม่ว่าจะไปไหนก็แล้วแต่ สิ่งที่สนุกมากที่สุดคือ การคิดว่าวันนี้จะใส่อะไร แต่งหน้าทำผมแบบไหนดีที่จะช่วยเสริมให้เราดูดี ทุกวันนี้ชอบลุคแต่งเหมือนไม่แต่งให้ดูเฮลตี้

“เติร์ทคิดว่า วงการแฟชั่นในเมืองไทยในวันนี้โตขึ้น แต่ละแบรนด์เขาก็ทำอะไรที่แตกต่างกัน อย่าง Asava มาแนวเรียบ หรู โก้ แพง LaLaLove ก็คัลเลอร์ฟูล สายคิ้วท์ และเมืองไทยมีการยอมรับเรื่อง LGBT มากกว่าที่อื่นๆ ในแถบเอเชีย เดี๋ยวนี้ผู้ชายไทยแท้ๆ ลุกขึ้นมาใส่กระโปรงแบบ Harry style ก็เยอะ คนมีความกล้ามากขึ้น และรู้สึกว่า  วงการแฟชั่นเมืองไทยไปไกลแล้ว

“ถ้าให้เล่าย้อนถึงความรู้สึกแรกที่ได้ใส่กระโปรง สารภาพเลยว่า ไม่ค่อยรู้สึกอะไร เพราะคิดว่ามันเป็นเครื่องแต่งกายอย่างนึง อย่างคนไอริชหรือสก๊อตแลนด์ ผู้ชายก็สวมกระโปรงเป็นชุดประจำชาติ เรื่องนี้ขึ้นกับมุมมอง ว่าคนจะยอมรับโลกได้มากแค่ไหน ในชีวิตประจำวันจะชอบใส่กางเกงที่คล้ายกระโปรง แต่ทั้งหมดก็ต้องดูเรื่องกาละเทศด้วย ถ้าไปงานเปรี้ยว แฟชั่น ปาร์ตี้ ใส่กระโปรงได้แต่จะเลือกทรงที่ไม่ดูเป็นผู้หญิงเกินไป ให้เหมาะกับรูปร่าง อย่างกระโปรงสั้นใส่ไม่ได้แน่นอนเพราะไม่เข้ากับบุคลิก จะเลือกกระโปรงที่ดูเท่มากกว่า

Be yourself in the right place

“ตั้งแต่เข้าวงการมา เติร์ทเจอฟีดแบคในแง่ลบเยอะ มีทั้งคนชอบและไม่ชอบ เจอคนไม่ชอบก็พยายามไม่สนใจ เพราะเราทำอะไรไม่ได้ เมื่อก่อนจะชอบเก็บมาคิดจนเครียด ซึ่งมันยากมากที่จะไม่แคร์ เคยคิดด้วยซ้ำว่า ทำไมเขาต้องมาตัดสินหรือเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเรา แต่ต่อให้เราคิดมากแค่ไหน ก็ไม่มีใครได้ยิน และเราเปลี่ยนความคิดคนไม่ได้ด้วย สิ่งที่ทำได้คือ ใส่อะไรที่อยากใส่เถอะ แต่ขอให้รู้ตัวว่า เราจะไปที่ไหน แต่ก่อนสมัยเติร์เคยเปรี้ยวมาก มั่นมาก เคยแต่งตัวจัดแล้วไปเจอผู้ใหญ่ เขาก็จะมองเราตั้งแต่หัวจรดเท้า รู้สึกแย่กับสายตาที่มองมานะ นับแต่นั้นก็มาทางสายกลางมากขึ้น

นั่นคือเป็นตัวเองได้แต่ต้องถูกกาลเทศะด้วย


เรื่อง : Fai

 

 

 

Praew Recommend

keyboard_arrow_up