แต้ว-ณฐพร เตมีรักษ์

แต้ว-ณฐพร เตมีรักษ์ ถอดบทเรียนวิธีคิดผิดๆ จนทำให้เผชิญวิกฤต โรคแพนิค

Alternative Textaccount_circle
แต้ว-ณฐพร เตมีรักษ์
แต้ว-ณฐพร เตมีรักษ์

แต้ว-ณฐพร เตมีรักษ์ นางเอกแถวหน้าของเมืองไทย ถอดบทเรียนวิธีคิดผิดๆ ที่ต้องแบกรับความกดดัน ต้องทำให้ดี ชีวิตพลาดไม่ได้! จนทำให้เผชิญวิกฤต โรคแพนิค

หลังจากที่ซุ่มทำโปรเจกต์อยู่นานในที่สุดผลงานก็ออกมาให้แฟนๆได้ชมแล้วสำหรับ นางเอกแถวหน้าของเมืองไทย แต้ว-ณฐพร (TAEW) ที่พลิกบทบาทมาในฐานะนักร้องคนแรกของค่าย Ch3 Thailand Music โดยซิงเกิ้ลแรกของเธอมีชื่อว่า BABYBOO โดยในเอ็มวีนี้เธอได้ครีเอทลุคที่แตกต่างออกมาให้แฟนๆ ได้เห็นถึง 9 ลุค ซึ่งแต่ละลุคสะท้อนความเป็นตัวตนของแต้วในมุมมองที่แตกต่าง

และล่าสุด แพรวดอทคอม ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ TAEW เกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของการทำผลงานชิ้นนี้รวมไปถึงเรื่องราวล่าสุดโรคแพนิคที่เธอกำลังเผชิญหน้าอยู่ด้วย

แต้ว-ณฐพร เตมีรักษ์ ถอดบทเรียนวิธีคิดผิดๆ จนทำให้เผชิญวิกฤต โรคแพนิค

แต้ว-ณฐพร เตมีรักษ์

เริ่มต้นโปรเจกต์การเป็นนักร้องกับ Ch3 Thailand Music ได้อย่างไร?

“เขินจังเลยค่ะ ไม่อยากเรียกตัวเองว่านักร้อง เพราะรู้สึกว่ายังร้องเพี้ยนนิดหนึ่ง จริงๆ จุดเริ่มต้น แต้วคิดว่ามันมาจากตัวแต้วนะคะ คือแต้วคุยกับทางช่องว่าอยากจะลองทำคอนเทนต์ใหม่ๆ ที่แตกต่างไปจากงานแสดง ซึ่งทางช่องมีนโยบายที่จะทำคอนเทนต์ให้หลากหลายอยู่แล้ว พอมาเจอกันความต้องการคล้ายกันเลยมาทำการบ้านร่วมกันว่ามันจะออกมาเป็นรูปแบบไหน สุดท้ายก็เป็นเพลงที่เน้นเพอฟอร์มเมน สำหรับการได้มาร่วมโปรเจกต์นี้ไม่ได้ตัดสินใจนานเลยนะคะ เนื่องจากต่างคนต่างมีความกระตือรือร้นที่อยากทำอยู่แล้ว  จึงลองมาร่วมทำการบ้านกันดู”

สำหรับการเต้นมันแตกต่างจากที่เราเต้นในTik Tokอยู่ทุกวันหรือเปล่า?

“แตกต่างค่ะ เพราะมันยากกว่าที่คิด ยิ่งเราเป็นพวกคิดเยอะ มันเลยค่อนข้างยากไปอีก ถึงแม้ว่าการเต้นจะเป็นตัวเองก็เถอะ แต่มันเหมือนกับการแสดงซ้อนการแสดง แต่ก็สนุกเหมือนได้ลองประสบการณ์ใหม่ ถามว่าการเป็นนักร้องคือความฝันไหม คือมันไม่ใช่ แต่มันคือความสุขของเราจริงๆ”

ระหว่างเต้นกับร้องอะไรที่ทำให้หนักใจมากกว่ากัน?

“หนักใจทั้งเต้นและร้องเลยค่ะ  สำหรับการเต้นความยากมันคือความพอดี อะไรที่มันไม่เยอะไม่น้อยไปคนน่าจะชอบ มันคือความพอดีที่ยากสำหรับเรา ส่วนเรื่องร้องเพลง ต้องยอมรับว่ายังไม่คงที่ ทำให้เราต้องค่อยเรียนรู้ไปเพราะร้องในห้องน้ำก็อีกแบบ ร้องบนเวทีก็อีกแบบหนึ่ง แม้ว่าเราจะเคยร้องมาแล้วบนเวทีแต่พอกลายเป็นนักร้องจริงๆ และได้คุยกับโปรดิวเซอร์มันต้องมีขั้นตอนอีกหลายอย่างไม่ว่าจะเป็นการซาวด์เช็คการทำให้เสียงแข็งแรงเวลาที่เป็นไปด้วย มันมีความยากขึ้นในทุกระดับ

หลายคนชมว่าเสียงแต้วเสียงใสมากเลยนะคะ?

“เทคโนโลยีค่ะ (หัวเราะ) มันต้องด้วยกันไงคะ เพื่อให้มันโอเคแต่เนื้อสิ่งอื่นใดมันก็ต้องอยู่บนพื้นฐานที่เสียงเราโอเคด้วย ไม่ใช่ว่าเราไปแบบไม่มีอะไรในหัวเลย คือเราก็ทำการบ้านไปเพราะอีกสิ่งหนึ่งนอกจากเมโลดี้ความไม่เพี้ยน มันต้องร้องและเล่าความหมาย นั่นคือสิ่งที่เราเพิ่งเรียนรู้ว่ามันมากกว่าแค่การร้องเพลง”

คนมักมองว่านางเอกส่วนใหญ่มักจะร้องเพลงไม่เพราะ แต่แต้วแตกต่างออกไป?

“คือแต้วไม่ได้เป็นคนที่ต้นทุนดี แต่โชคดีที่ได้โอกาส คิดดูว่ากี่คนจะได้ลองทำอะไรแบบนี้ มันเหมือนกับว่าเราโชคดีและเราก็พยายามทำให้มันดีที่สุดในแบบของเราแต่มันอาจจะไม่ได้ดีที่สุดในมาตรฐานคนอื่น แต่เราโชคดีที่มีคนให้โอกาสและโชคดีที่มีแฟนคลับสนับสนุน”

ทำไมถึงชื่อเพลง BABY BOO?

“มันเหมือนกับเป็นสรรพนามแทนกัน ที่รัก เบบี๋ บู๋บู๋ อ้วน หมู ตุ้ยนุ้ย ฯลฯ อะไรอย่างนี้ซึ่งในเพลงก็จะดูเป็นเพลงอ้อนคนรัก แต่จริงๆ ก็มีความหมายมากกว่านั้น คือเรามองว่าเขาน่ารักและเราอยากที่จะทำตัวน่ารักในสายตาเขาเหมือนกัน ก็เลยทำนั่นทำนี่เหมือนเด็ก เพราะเราก็อยากน่ารักในสายตาเขาเหมือนกัน ส่วนในเอ็มวีคือการตีความเป็นเด็กที่จะมีจินตนาการ สวมบทบาทต่างๆ เป็นเจ้าหญิงเป็นนั่นเป็นนี่ เราเลยมีโอกาสได้ลองเปลี่ยนลุหลายลุ สวมบทบาทในหลายบทบาทจึงออกมาเป็นเอ็มวีนี้ค่ะ”

พี่แทน (แทน- ธารณ ลิปตพัลลภ) กับพี่คัตโตะ ( คัตโตะ-อารมณ์ โพธิ์หาญรัตนกุล)มาช่วยเราอย่างไรบ้าง?

“เขามาเป็นโปรดิวเซอร์ เป็นจุดตั้งต้นในการเสนอว่าเราทำเพลงแบบนี้ไหม เหมือนมาเป็นนักปั้น ถ้าจะปั้น แต้ว-ณัฐพร เตมีรักษ์ ให้เป็นศิลปินจะออกมาในรูปแบบไหน คือดูตั้งแต่เนื้อร้อง แนวเพลง  ไดเร็คชั่น สไตล์ เขาบอกว่าเขาอยากเห็นแต้วในมุมสดใสแบบนี้แหละ แต่ให้มีความย้อนยุคนิดนึง เพลงก็จะไม่ได้เต้นขนาดนั้น แต่จะมีความโยกได้เพลงฟังได้ง่าย”

ทำไมไม่ออกมาเป็นเพลงเต้น แบบที่ถนัดในการเต้น TikTok ของแต้ว?

“เพราะแต้วไม่อยากให้ใครเดาได้ แต่มันก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีนะคะ มันอาจจะมีอย่างอื่นตามมาก็ต้องรอดูเพราะอาจจะไม่ได้หยุดแค่นี้ อาจจะมีเพลงอื่นถัดไปเพราะมันเป็นโปรเจกต์เดี๋ยวเราก็ค่อยมาดูว่าเราจะทำมันไปได้ไกลแค่ไหน แต่ล่าสุดที่คุยกันพี่แทนและพี่คัตโตะก็เชียร์นะคะว่าสนุกดีอยากทำต่อ เราก็ไม่รู้ว่าเขามารยาทหรือเปล่าแต่ก็ฟังไว้ฟังหูไว้หู”

ปกติแล้วนักร้องมักจะไปเล่าชีวิตให้โปรดิวเซอร์ฟังเพื่อทำเพลงออกมา แล้วของแต้วเป็นแบบนั้นไหม?

“แต่เขาก็ไม่เชิงเล่าเพราะว่า stories ในไอจีของแต้วก็เหมือนกับว่าเราอยู่แล้วพี่เขาก็ไปทำหน้าที่เป็นนักสืบ ว่าวันวันหนึ่งชีวิตของแต้วขับเคลื่อนด้วยอะไรบ้างจริงๆ เพลงก็เหมือนกับอินสไปเรชั่นมาจากตัวเราด้วยเป็นภาพรวมของเราค่ะ”

แล้วชีวิตจริงแต้วเป็นคนอย่างนั้นหรือเปล่า?

“ประมาณนั้น เราสนุกกับการได้ลองทำอะไรใหม่ๆ เราเอ็นจอยการใช้ชีวิตแบบไม่ต้องยึดติดกับการเป็นอะไรในกรอบอย่างเดียว เลยชอบที่จะได้ลองทำอะไรใหม่ๆ

เพลงนี้เต็มไปด้วยเนื้อหาของการอ้อนแฟนแต้วเป็นอย่างนั้นไหม?

“ก็เป็นคนขี้อ้อนนะคะ เพิ่งรู้ตัวเหมือนกันว่าเป็นคนขี้อ้อนถึงจะดูเป็นแมนแต่ถึงเวลาก็ขี้อ้อนเหมือนกัน”

เวลาเราอ้อนไปแล้วฟีดแบ็คอีกฝั่งเขาเป็นอย่างไร?

“ก็คงโอเคแหละค่ะ ไม่งั้นเขาคงไม่พูดว่าเป็นคนขี้อ้อน แต่ว่ามันก็เป็นอีกเวหนึ่งที่เหมือนเติมเต็มความน่ารักให้กันเรา ก็มองว่าเค้าน่ารักสำหรับเราถึงได้อ้อนค่ะ”

ยากไหมกับการทำให้คนต้องมองเราในฐานะนักร้อง?

แต้วอยากให้มองว่าแต้วเป็นแต้ว แต้วชอบที่จะได้ลองทำอะไรใหม่ๆ แล้วมันก็มีโอกาสที่ให้ได้ลองทำต้องมองย้อนไปว่าในยุคหนึ่งก็มียุคที่นักแสดงผันตัวไปเป็นนักร้อง อันนี้เราก็เหมือนกับเป็นการทำให้สิ่งนั้นกลับมาคนที่ผ่านยุคนั้นมาจะทำให้นึกถึงยุคนั้น แต่ว่ามันไม่ได้มีอะไรตายตัว ที่จะต้องบังคับว่าต้องเป็นอะไรก่อนมันแล้วแต่โชคชะตาพาไป”

ถึงแม้จะเป็นเรื่องดีที่เราได้เปิดประสบการณ์ใหม่ แต่ก็ต้องรับความกดดันไว้ด้วย?

“รู้สึกโชคดีที่มีคนสนับสนุนให้ทำ ทำให้แต้วรู้สึกว่าผู้ใหญ่ไม่ได้ดูถูกความชอบของเราแต่กลับให้คุณค่าในสิ่งที่เราชอบ และอยากลองประสบการณ์ใหม่ ไม่ได้รู้สึกว่าทำไมต้องเป็นฉันอีกแล้ว แต่กลับรู้สึกโชคดีด้วยซ้ำที่มีคนสนับสนุนและพร้อมที่จะเชียร์ค่ะ”

ด้วยจุดเริ่มต้นการเป็นนักร้องไม่ใช่ความฝันของแต้ว มันทำให้เราต้องพยายามมากแค่ไหนเพื่อไปถึงมาตรฐาน?

“ต้องที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ที่สุดของแต่ละคนไม่เหมือนกัน มันพูดยาก แต่เราทำเต็มที่แล้ว แต้วไม่ใช่คนที่ทำอะไรได้ทุกอย่าง มันมีขีดจำกัดว่าอันไหนทำได้อันไหนทำไม่ได้ แต่เราเป็นคนที่ชอบเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ เพราะเหมือนกับว่าเป็นการทลายความกลัวของเรา เหมือนคนยิ่งโตก็ยิ่งมีข้อจำกัดเยอะ แต่ถ้าเราสามารถทลายความเป็นตัวเรา ไม่ทำให้โดนตีกรอบกับตัวเองจนเกินไป แต้วยังให้สัมภาษณ์อยู่เลยว่านี่โตไปแก่ไปสามารถเล่าให้ลูกให้หลานฟังได้เลยนะ ว่าได้เป็นนักแสดงช่องคนแรกที่กลายมาเป็นนักร้อง เราก็เป็นคนโชคดีคนหนึ่งที่ได้มาอยู่ตรงจุดนี้”

อาจเพราะที่ผ่านมาผลงานของแต้วพีคไปหมดทุกอย่างหรือเปล่าเลยต้องหาเส้นทางใหม่?

“ด้วยนะคะ เหมือนว่าโปรเจกต์นี้มันผุดขึ้นมาตอนช่วงโควิดช่วงนั้นเราเพิ่งเล่นละครจบไป มันเลยมีช่วงเวลาว่างอยู่สำหรับการแสดงแต้วมองว่าไม่มีวันตันคือในความท้าทายความใหม่ เรายังใหม่สำหรับมันเสมอ แต่เมื่อมันมีโอกาสให้เราได้ลองอีกสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นความชอบของเราลึกๆ จึงน่าจะลองดึงความชอบออกมาแล้วลองดูสักตั้ง ถ้าทำให้เต็มที่ในแบบของเรามันจะออกมาเป็นแบบไหน”

แต้ว-ณฐพร เตมีรักษ์

ถ้าถามว่าสำหรับพรสวรรค์และพรแสวงสำหรับแต้วอะไรสำคัญกว่ากัน?

“สำหรับแต้วแต่ว่าน่าจะเป็นพรแสวง เพราะพรสวรรค์มันดีก็จริง แต่มันง่ายต่อการที่ทำให้เราหยุดที่จะโต แต่ว่าถ้าพรแสวงคุณอาจจะไม่ได้เท่าพรสวรรค์ก็จริง แต่อย่างน้อยคุณจะไม่ได้อยู่ที่จุดสตาร์ทแต่คุณจะดีขึ้นไม่มากก็น้อย ในทุกๆวันถ้าคุณมีคำว่าพรแสวงและได้ขยับไปข้างหน้ามันมีคุณค่าสำหรับการมีชีวิตอยู่ เราจึงคิดว่าไม่ควรดูถูกพรแสวง ทั้งทั้งนี้แต้วก็ไม่ได้ดูถูกทั้งสองอย่าง เพราะมันคือต้นทุนแต่ทุกๆอย่างแล้วก็ต้องสนุกกับมันด้วย”

ขอถามถึงอาการแพนิของแต้วสักนิดอยากรู้ว่ามันเกิดจากอะไร?

“มันเป็นอาการเบรคดาวน์ของอะไรบางอย่าง แต่แต้วตีความว่ามันคือลักษณะนิสัยและวิธีคิดของเรา การที่เราพยายามและเต็มที่กับทุกทุกอย่างมันดีอย่างหนึ่งแต่อีกอย่างหนึ่งมันก็เหมือนกับทำให้เราสะสมความต้องได้ต้องดีเอาไว้ มันเลยทำให้เกิดความเครียดสะสม สุดท้ายร่างกายไม่ไหวเลยทำให้แสดงอาการอะไรออกมาเพื่อทำให้เรารู้ว่าเราจะมีวิธีคิดแบบนี้ต่อไปไม่ได้ เลยกลายเป็นอาการของการแพนิค”

มันเกิดกำเริบมาตอนช่วงไหน?

“น่าจะช่วงที่มีงานละครเยอะๆ ช่วงหนึ่ง คือตอนนั้นเราป่วยอยู่แต่เราก็ต้องรับผิดชอบงานของเราด้วยมันเกิดจากการที่เราจัดการสิ่งต่างๆ ไม่ได้ เลยกลายเป็นความเครียดและแสดงอาการออกมา”

อาจเพราะผลงานของเราประสบความสำเร็จอยู่เสมอ เลยทำให้มีความกดดันความเครียดสะสมเอาไว้หรือเปล่า?

“อันนั้นอาจจะมีส่วนเป็นปัจจัยภายนอก แต่สุดท้ายเรามองว่ามันคือวิธีคิดของเราด้วย เราจะมองแบบนั้นก็ได้แต่มันจะเป็นพิษกับความคิดแต้ว ในสถานการณ์เดียวกันกับคนที่เขาคิดได้ มันก็จะไม่เป็นอะไร”

แล้ววันนี้กระบวนการความคิดมันเปลี่ยนไปขนาดไหน เห็นว่าต้องทานยาด้วยใช่ไหม?

“ใช่ค่ะ คือสุดท้ายเราต้องบาลานซ์การทำงาน การใช้ชีวิต อันนั้นคือการรักษาที่ยั่งยืนที่สุด คือการไม่ได้ใช้ยา แต่ปรับที่ใจที่วิธีคิดของเรา”

อาการมันถึงกับทำให้เราดาวน์ถึงกับนอยด์เลยไหม?

“ในความรู้สึกไม่ได้นอยด์ แต่พอมันเกิดมันกลายเป็นว่า เราพยายามจัดการไปอีกการจัดการแทนที่จะดีขึ้น แต่กลับเป็นเหมือนการเก็บกด เราบอกว่าโอเค ทั้งๆที่โอเคมันเลย เกิดอาการแพนิค”

สมมุติว่ามีผลงานของเราไม่ได้ประสบความสำเร็จแต้วจะตั้งรับมันอย่างไร?

“คือเรามองความเป็นจริงว่ามันเกิดอะไรขึ้น ถ้าเราเต็มที่แล้วก็ไม่ต้องคิดว่าพลาดไม่ได้จากนั้นเราก็ต้องปล่อยวาง และยอมรับมันค่ะ คือเราต้องมองเห็นความเป็นจริงว่าเราไม่สามารถควบคุมทุกอย่างบนโลกนี้ได้ อันนี้คือวิธีคิดที่จะทำให้ทุกอย่างมันเบาลง”

พอมันเบาบางลงเราได้ขอบคุณตัวเองบ้างไหม?

“ขอบคุณตัวเองที่มีสติได้ในบางเรื่อง แต่บางเรื่องเราก็ยังต้องเรียนรู้ ไปกับสถานการณ์ที่เราเผชิญ เหมือนฝึกจิตไปเรื่อยๆ เพราะมันคือทางออกของปัญหาทุกอย่าง ที่เราต้องเจอแน่ๆ ในอนาคต แต้วคิดว่าไม่มีใครที่จะมีชีวิตราบรื่นไปตลอด เราต้องค่อยๆ โตไป”

สุดท้ายเกิดเป็นแต้วต้องจิตแข็งแค่ไหน?

“เป็นทุกคนต้องจิตแข็งค่ะ แค่เราถูกเอามาเป็นกรณีศึกษาเฉยๆ แต้วว่าทุกคนต้องจิตแข็งหมดแหละในยุคนี้ เพราะมันไม่ง่ายกับสภาพจิตใจ ความเครียด สถานการณ์บ้านเมือง โควิด ทุกคนต้องจิตแข็งหมด จับมือและบีบมือทุกคนนะคะ”


ภาพจาก : CH3thailand Music

เรื่อง : นนทพร สุทธิพิบูลย์

 

Praew Recommend

keyboard_arrow_up