ไมค์ -ภัทรเดช

จากเด็กเกเรกลายเป็นพระเอกเบอร์ต้นของช่อง 7 … ไมค์ ภัทรเดช สงวนความดี

account_circle
ไมค์ -ภัทรเดช
ไมค์ -ภัทรเดช

ตอนนั้นผมเหมือนเด็กหลังห้อง ดูโง่ในสายตาคนอื่นและตัวเอง ต้องต่อสู้กับความคิดหลายอย่าง เลิกงานต้องกลับมาอ่านบททั้งที่ใจไม่โอเค แต่ต้องทำเพื่อกลับไปสู้ในวันรุ่งขึ้น” นี่คือความรู้สึกของ ไมค์ ภัทรเดช สงวนความดี ช่วง 2-3 ปีแรกในวงการ ที่เจ้าตัวเจอคำต่อว่าสารพัด เขายอมรับว่าสาเหตุมาจากไม่มีฝีมือและไม่มีใจ แต่ก็ต้องยอมทำเพื่อช่วยครอบครัว

จากความพยายามและปรับตัวอย่างหนัก ที่สุดละครเรื่อง ใยกัลยา, มธุรสโลกันต์, คู่แค้นแสนรัก สร้างชื่อเสียงดันไมค์ให้กลายเป็นนักแสดงชายที่ดึงเรตติ้งให้ช่อง 7 ขณะเดียวกันความรักในงานแสดงก็ค่อยๆ บ่มเพาะ

จากเด็กเกเรกลายเป็นพระเอกเบอร์ต้นของช่อง 7 … ไมค์ ภัทรเดช สงวนความดี

เล่าจุดเริ่มต้นของไมค์ให้ฟังหน่อย

ผมเป็นลูกคนที่ 4 คนสุดท้อง พ่อแม่ค่อนข้างตามใจ พอโตถึงได้รู้ว่า สิ่งที่ท่านทำไม่ถูกต้องหรอก แต่ก็ทำให้รู้ว่า เขารักเรามาก

ที่บ้านเปิดร้านขายของ ผมสามารถหยิบเงินในลิ้นชักไปเลี้ยงเกมเพื่อนได้ตลอด ผมไม่ก้าวร้าวกับครอบครัว แต่ด้วยนิสัยเอาแต่ไปแสดงออกกับเพื่อน ทุกครั้งที่มีเรื่องต่อยตีที่โรงเรียน แม่จะเข้าข้าง เชื่อทุกอย่างที่เราพูด จำได้เลยว่า ตอนป.4 มีเด็กเข้าใหม่ชื่อพรเทพ เขามาไม่นานแต่เป็นที่รักของทุกคน ผมอิจฉามาก ฉี่ใส่กล่องดินสอเขาแล้วโยนทิ้งข้างห้องเรียน ตกเย็นเขาพายายมาที่บ้าน แม่ก็ซื้อของคืนให้เขาและยังเข้าข้างผมอยู่ เพราะเวลาอธิบายผมจะพูดให้ตัวเองเป็นฝ่ายถูก

ผมคิดว่า ตัวเองเริ่มเปลี่ยนตอนเรียนม.ปลาย ที่ย้ายมาเรียนในตัวเมืองขอนแก่น ช่วงแรกโดนเขม่น โดนรังแก เพื่อนเราก็ไม่เข้ามาช่วย ตอนนั้นโกรธเพื่อนมากนะ แต่ผมใช้วิธีพูดตรงๆ ว่าทำไมทำแบบนี้ ขณะเดียวกันก็เป็นจุดเริ่มต้นที่ปรับนิสัยตัวเอง เลิกเอาแต่ใจ พอปรับตัวเองได้ก็กลายเป็นเพื่อนกันหมด

ตอนเข้ามหาวิทยาลัยเลือกเรียน คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เอกภาษาจีน ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ช่วงปี 2-3 ผมไปเรียนที่เมืองฉงชิ่ง ประเทศจีน ที่เรียนด้านนี้เพราะอยากออกไปเห็นโลกข้างนอก ปรากฏว่า ตอนหลังบ้านล้มละลาย สถานการณ์หนักถึงขั้นพ่อแม่หย่ากัน แต่ก็ยังอยู่ด้วยกัน ซึ่งทีแรกผมไม่รู้เรื่อง ยังคงใช้เงินหนักมือเวลาอยากได้เงินก็โทรขอแม่แล้วก็ได้ทันทีทุกครั้ง แต่ครั้งนั้น ผ่านไป 1 สัปดาห์ แม่ยังไม่โอนเงินมา ที่สุดแม่จึงต้องเล่าให้ฟังว่า ที่บ้านล้มละลาย แต่กำลังพยายามหาเงินให้ แม่รักผมมากกลัวผมเสียใจ”

ตอนนั้นปรับตัวอย่างไรคะ จากเด็กที่เคยได้ทุกอย่าง

โชคดีที่ผมปรับตัวง่าย คือเวลามีเงินเยอะก็ใช้เยอะ แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร จึงบอกแม่ว่า อยู่ที่จีนผมไม่ได้เดือดร้อนอะไร เพราะได้ทุนทั้งค่าเรียนและค่าใช้จ่าย เรียกว่าฟรีหมด เงินที่แม่ให้ก่อนหน้านั้นผมแค่ใช้ไปกับการเที่ยวและกินของอร่อยเท่านั้น จากนี้ถ้าอยากเที่ยวผมอาจจะกินของอร่อยน้อยลง เพื่อจะได้เหลือเงินเก็บ และผมเป็นแบบนี้กับทุกเรื่อง”

แล้วตอนนี้สถานการณ์ที่บ้านเป็นอย่างไรคะ

ดีขึ้นเยอะแล้วครับ ทุกวันนี้ผมซัพพอร์ตที่บ้านหมดทุกอย่าง ส่วนด้านจิตใจพ่อแม่ก็แฮปปี้ เพราะลูกได้เป็นพระเอก  (ยิ้ม) ช่วงแรกที่เข้าวงการ แค่แม่เห็นลูกออกทีวีก็น้ำตาไหล มีความสุข ต้องย้อนเล่าว่า ด้วยสถานการณ์การเงิน เป็นเหตุผลที่ทำให้ผมทำงานในวงการ ซึ่งไม่ใช่ทางที่ชอบ แพลนของผมคือ อยากทำธุรกิจ วงการบันเทิงไม่เคยอยู่ในความคิด มีแค่ช่วง ม.4 ที่ทางบ้านบังคับให้ลองไปประกวดดัชชี่บอย แอนด์ เกิร์ล ปี 2006 ได้ตำแหน่งรองอันดับ 2  ได้รับการชักชวนให้เข้าวงการ แต่ไม่อยากทำ เพราะรู้สึกว่า วงการบันเทิงยังไม่ปลอดภัยสำหรับเด็กอายุ 16 กระทั่งได้ทุนเรียนต่อที่จีน ซึ่งพอเรียนจบปริญญาตรี เขาก็ยังยินดีสนับสนุนให้เงินทุนเรียนต่อปริญญาโท ถ้าไม่ติดว่าที่บ้านเกิดปัญหา ตอนนั้นการอยู่ที่นั่นสำหรับผมคือ สุดยอดแล้ว

แต่เมื่อเกิดเหตุ ผมเห็นชีวิตพ่อแม่เปลี่ยนไปทั้งภาพลักษณ์ภายนอกและสภาพจิตใจ พอกลับมาฝึกงานที่เมืองไทยตอนปี 4  ช่วงนั้นได้รับการชักชวนให้เป็นนักแสดงอีกครั้ง ผมคิดว่า การทำงานในวงการน่าจะช่วยแก้ปัญหาการเงินของที่บ้านได้ ถ้าดังก็จะมีเงินไปช่วยพ่อแม่ เราเห็นตัวอย่างจากรุ่นน้อง เช่น ณเดชน์ เล่นฟิตเนสมาด้วยกันตั้งแต่อยู่ขอนแก่น น้องก็ดังมาก พี่เวียร์ก็เหมือนกัน ครอบครัวสบายหมดแล้ว ถ้าผมทำงานอยู่ที่จีนคงได้เงินเดือนประมาณ 2-3 หมื่นบาท กว่าจะได้เลี้ยงดูครอบครัว ถ้าให้แม่รอ 10 ปีถึงจะสบายคงไม่ไหว ก็ตั้งเป้าว่า เข้าวงการบันเทิง เก็บเงิน ซื้อคอนโดในกรุงเทพฯ แล้วชวนแม่มาอยู่ด้วยกัน”

เส้นทางในวงการเป็นยังไงบ้างคะ

“(ส่ายหน้า) ช่วง 2-3 ปีแรกไม่มีความสุขเลยครับ ทุกอย่างยากไปหมด ผมเครียดจนนอนไม่หลับ มาแคสติ้งช่อง 7 ครั้งแรกไม่ผ่าน เพราะไม่ชอบแสดงออกต่อหน้าคนอื่น มีคนมาสั่งให้ยิ้ม สั่งให้เศร้า รู้สึกแปลกๆ ขณะเดียวกันเวลาเล่นโซเชียล ไถไปเจอเฟสบุ๊กเพื่อนที่เรียนต่อที่เมืองจีน เขามีความสุข นั่งจิบไวน์ ได้เที่ยว มองย้อนดูตัวเอง ยังแคสติ้งไม่ผ่านเลย ไม่เข้าใจสิ่งที่ทำด้วย เรียนแอคติ้งก็ยาก ห่างไกลจากตัวเอง ใช้ระยะเวลาแคสติ้งอยู่ 7 เดือน จึงผ่านในครั้งที่สอง ไม่ใช่เพราะชอบขึ้น คิดว่าแค่อยากเอาชนะมากกว่า

เรื่องแรกเป็นพระรองในละครที่ออกอากาศตอน 11 โมง ห่างไกลจากความเป็นพระเอก ภาพที่คิดกับสิ่งที่เป็นมันไม่ใช่ ทำงานเยอะ ได้เงินน้อย เหนื่อยมาก การแสดงก็ไม่ดี ด้วยความเป็นเด็กใหม่ โดนเทคบ่อย ทำให้ผู้ใหญ่เสียเวลา ยิ่งกดดัน พอเล่นเรื่องที่สองได้เป็นพระเอก ก็ยังแสดงไม่ดี โดนผู้กำกับต่อว่า

‘ถ้าเล่นอย่างนี้ เปลี่ยนพระเอกง่ายกว่า เดี๋ยวละครถ่ายไม่จบ’ คนพูดอาจไม่คิดอะไร แต่ใจผมโคตรเจ็บ ไม่มีคำว่า รักการแสดงอยู่ในหัว บวกกับนิสัยถูกตามใจมาตลอด ทำอะไรมีแต่คนชม  พอมาอยู่ตรงนี้เหมือนเด็กหลังห้อง ดูโง่ในสายตาคนอื่นและตัวเอง ตอนนั้นต้องต่อสู้กับความคิดหลายอย่าง นอนก็ไม่หลับ เครียด พอเลิกงานต้องกลับมาอ่านบททั้งๆ ที่จิตใจไม่โอเค เพื่อจะไปต่อสู้กับวันรุ่งขึ้น บางครั้งแย่ติดกันสามวัน ก็ต้องสู้กับมันทุกวัน ทำอย่างนี้อยู่หลายปี ผมว่าส่วนหนึ่งที่ตัวเองเครียด เพราะด้วยภาระทางใจ อยากดูแลครอบครัว ทำให้รู้สึกกดดันหลายอย่าง”

แล้วเริ่มดีขึ้นตอนไหนคะ

ตอนแสดงเรื่อง ใยกัลยา ผมตัดสินใจว่า จะสู้ ตอนนั้นแม่มาอยู่คอนโดด้วยแล้ว ก่อนหน้านั้นผมไม่มีชีวิตวัยรุ่นเลย ทำงาน เก็บเงินอย่างเดียว ก่อนจะซื้อคอนโดก็อาศัยอยู่บ้านผู้จัดการคนเก่า ทั้งตัวมีเงินประมาณสองแสนบาท แต่ใจอยากพาแม่มาอยู่ด้วย จึงนำเงินก้อนนั้นไปมัดจำคอนโดมือสอง ผ่อนเดือนละ 18,000 บาท เหลือเงินติดตัว 4 หมื่น ประหยัดทุกอย่าง ขนาดติดตั้งไฟในห้องก็ให้เพื่อนที่จบสถาปัตย์มาช่วยดูให้ จัดห้องได้หนึ่งสัปดาห์ก็ชวนแม่มาอยู่ด้วย ยังไม่ทันพาสาวมาห้องเลย (หัวเราะ) พอมองย้อนกลับไปรู้สึกว่าตัวเองโคตรบ้า แต่ไม่เสียใจนะ อย่างน้อยก็ได้อยู่กับแม่

แต่ใจยังไม่มีความสุขกับการทำงาน วันหนึ่งเหนื่อยมาก ปกติไม่ดื่มแอลกอฮอล์ วันนั้นซื้อเบียร์กระป๋องมานั่งดื่มที่ระเบียงห้อง ใจหนึ่งก็รู้สึกผิดทำไมทำตัวแบบนี้ เครียดแล้วดื่ม มันไม่ใช่ หันไปที่เตียงเห็นแม่นอนอยู่ ตอนนั้นรู้สึกแปลกๆ หลายอย่าง เหมือนตาสว่างขึ้น จริงๆ ชีวิตเราก็ไม่แย่ คอนโดก็กล้าซื้อ เพราะทำงานแล้ว ละครก็กำลังถ่าย มีเงินผ่อน รถก็มีแล้วด้วย แล้วยังได้อยู่กับแม่เหมือนที่คิดไว้ อาจจะยังไม่รวย แต่นี่ก็คือสิ่งที่อยากได้ไม่ใช่เหรอ  นับตั้งแต่วันนั้น ผมเปลี่ยนวิธีคิดเลย  ไปกองถ่ายด้วยพลังบวก โฟกัสกับสิ่งที่ทำมากขึ้น ลองเปิดใจให้ความรัก ให้คุณค่ากับงาน เพราะสิ่งที่เราเหนื่อยยากนั้นทำให้เรามีทุกอย่างในวันนี้”

ได้ผลมั้ยคะ

“(พยักหน้า) บอกเลยว่าแค่เปลี่ยนแอดติจูด ทุกอย่างดีขึ้นเยอะ ผมตัดสินใจเรียนแอคติ้งเพิ่ม พกบทไปให้ครูดู ค่อยๆ ปรับไปทีละจุด และทำงานแบบไม่กดดัน ตอนนั้นกำลังถ่ายเรื่อง ใยกัลยา เป็นเรื่องแรกที่ผมไปทำงานแบบมีความสุข กล้าขอคำแนะนำจากนักแสดงรุ่นใหญ่ ผู้กำกับที่เคยด่า กลับชมว่า “เล่นดีขึ้นเยอะ” แต่ละวันกลับบ้านด้วยใจพองโต ถ้าวันไหนเล่นแย่ก็ไม่โทษตัวเอง เพราะการแสดงสอนผมไม่ให้คาดหวังมาก วันนี้เล่นดี พรุ่งนี้อาจไม่ดี อย่าเสียใจ เนื่องจากเราเล่นกับอารมณ์และเคมีในร่างกายที่สั่งให้เชื่อในสิ่งที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่ต้องทำให้จริงที่สุด พอผมเริ่มเข้าใจก็ปล่อยวาง กลายเป็นว่า ดีขึ้น สุดท้ายละครประสบความสำเร็จและทำให้ผมมีแฟนคลับ”

ทุกวันนี้พูดได้แล้วหรือยังว่า รักการแสดง

รักมากจนเพื่อนงงน่ะ (ยิ้ม) แต่ละปีผมเล่นละครน้อยมากนะ ปีละ 1-2 เรื่องเท่านั้น รับเฉพาะเรื่องที่อยากเล่น อารมณ์แบบตื่นมาอยากพุ่งไปกองถ่าย อยากไปเป็นตัวละครตัวนี้ ถ้าบทไหนอ่านแล้วรู้สึกคิดย้อนแย้งอยู่เรื่อย ก็จะไม่รับ ซึ่งเวลาปฏิเสธบทกับผู้ใหญ่ผมเกรงใจมาก แต่ก็ต้องพูดตามตรงว่า เคยมีประสบการณ์ฝืนเล่นมาเยอะแล้ว ไม่คุ้มกับผลลัพธ์ที่ได้ เขาก็จะเข้าใจ”

ติดตามบทสัมภาษณ์เต็มๆ ของไมค์ได้ในนิตยสารแพรว ฉบับเดือน ธันวาคม


เรื่อง Fai ภาพ วรสันต์ สถานที่ ร้าน Bong Cha สาขาเอกมัย

Praew Recommend

keyboard_arrow_up