น้ำตาล-พิจักขณา วงศารัตนศิลป์ นักแสดงสาวที่ซุกซ่อนความสามารถไว้เพียบ ดาราสาวคนนี้โลดแล่นในวงการบันเทิงมานานถึง 9 ปี ผ่านทั้งบทบู๊ ดราม่า รักโรแมนติก มาไม่น้อย แถมแต่ละเรื่องก็ยังทำเรตติ้งได้อย่างดีอีกด้วย
ล่าสุดนับเป็นครั้งแรกที่น้ำตาลหันมาชิมลางงานภาพยนตร์เป็นครั้งแรกในเรื่อง ส้มป่อย ของค่าย เอ็ม พิคเจอร์ส ที่แค่ดูทีเซอร์ก็ทำเอาไหล่สั่นเพราะความตลก เรียกว่าทุ่มเทแบบไม่ห่วงสวย สลัดลุกนางเอกแสนดีไปแบบไม่เหลือคราบ
เช่นนั้นวันนี้แพรวจะพาไปพูดคุยกับเธอถึงบทบาทล่าสุด และการฉีกคาแรคเตอร์จากนางเอกสายดราม่าสู่นางเอกขายขำที่ทำให้ผู้ชมไหล่สั่นกันค่ะ
สัมภาษณ์ น้ำตาล-พิจักขณา วงศารัตนศิลป์ จากนางเอกดราม่าสู่นางเอกขายขำที่ทำให้ผู้ชมไหล่สั่น
บทบาท “ส้มป่อย” ที่นำตาลได้รับ เป็นสาวเหนือที่ค่อนข้างจี๊ดจ๊าดมากเลย ต่างกับที่เรามักเห็นในละครหรือภาพยนตร์เรื่องอื่นที่ผ่านมา?
“คือหลายคนอาจมีความคิดว่าสาวเหนือต้องเป็นคนเรียบร้อย อ่อนหวาน พูดจาไพเราะ แต่ว่ากับตัว “ส้มป่อย” แตกต่างออกไป เธอเหมือนกับวัยรุ่นอื่นๆ ที่กล้าคิด กล้าทำ กล้าพูด แล้วก็ฟีลเหมือนเป็นตัวจี๊ดของหมู่บ้าน พอตอนที่ทีเซอร์ออกไมา หลายๆ คนก็จะแบบว่า เฮ้ย นี่หรือสาวเหนือเหรอ”
ในฐานะที่เป็นคนเหนือ เวลาที่คนเหนือถูกมองว่าพูดช้า ทำอะไรช้า ส่วนตัวน้ำตาลความรู้สึก อย่างไรบ้าง?
“คือก็ไม่แปลกค่ะ เพราะเวลาภาพยนตร์หรือละครเลือกสื่อหรือนำเสนอเกี่ยวกับภาคเหนือ เขามักจะโฟกัสไปที่วิถีชีวิต ความอ่อนหวาน เรียบร้อยเลยดู ต๊ะต่อนยอน แต่จริงๆ คนภาคเหนือก็ฟีลแบบคล้าย ๆ กับทุกภาค ในแต่ละจังหวัดก็จะมีวิธีการพูดที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะจังหวัดแพร่ที่ตาลอาศัย เรียกได้ว่าเป็นจุดตัดจุดเปลี่ยนของภาคเหนือเลยไม่ว่าจะเป็นแบบสำเนียงดูมีความห้าวมากกว่า เหมือนคนดุ ๆ จนบางคนจะคิดว่าเราทะเลาะกันด้วยซ้ำ”
“อย่างตาลโทรศัพท์คุยกับพ่อแม่ ทุกคนแปลกใจเลยว่านี้ภาษาเหนือหรือเปล่า เพราะคุยเหมือนทะเลาะกับพ่อแม่”
แล้วอย่างในเรื่อง “ส้มป่อย”เราใช้ภาษาเหนือในจังหวัดไหนพูด?
“ในเรื่องนี้ มีความมิกซ์รวมของจังหวัดในภาคเหนือ เพราะว่านักแสดงก็มาจากหลากหลายพื้นที่ แต่หลักเลยเรื่องเกิดที่จังหวัดลำพูน สำหรับจังหวัดลำพูนก็เหมือนเป็นกึ่งกลางของหลาย ๆ จังหวัด มีความเป็นเหนือเชียงใหม่ เหนือลำพูน เหนือลำปาง เหนือแพร่ ดังนั้นคนลำพูนส่วนใหญ่จะพูดช้าสำเนียงเชียงใหม่บ้าง บางคนก็พูดแบบถ้าลำพูนคือแบบห้วน ๆ ดังนั้นในภาพยนตร์เรื่องนี้เนี่ยก็จะมีค่อนข้างจะหลากหลายสำเนียง”
ดีใจไหมที่เราเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้คนได้รู้จักภาคเหนือมากขึ้น?
น้ำตาล : ดีใจนะคะ ตาลมีความรู้สึกว่าในเมื่อหนังภาคอื่นเขาสามารถดังได้ เราก็อยากทำให้ภาคเหนือเราดังด้วยเหมือนกัน อีกอย่างมันเป็นการนำเสนอชีวิตคนภาคเหนือในอีกรูปแบบหนึ่งคนอาจจะไม่ค่อยได้เห็น ซึ่งในเรื่องนี้ก็จะมีแบบสอดแทรกเข้ามาตลอดในเรื่อง ตาลดีใจที่ได้อยู่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ค่ะ
พูดถึงตัว “ส้มป่อย” มีส่วนไหนบ้างที่มีลักษณะคล้ายน้ำตาลบ้าง?
” ก็น่าจะเป็นในเรื่องของความรักเพื่อน และความเป็นตัวของตัวเองสูง ซึ่งตาลคิดว่าตัวส้มป่อยมีโลกส่วนตัวสูงมากกว่าตาล และเป็นกล้าคิดกล้าพูดมากกว่าอย่างตาล ซึ่งตัวตาลไม่ได้มีความกล้ามากขนาดนั้น ด้วยความที่เราโตมาในกรอบ คุณปู่ของตาลท่านเป็นคนที่ดุมาก แบบว่าหลานผู้หญิงไปเล่นด้วยไม่ค่อยได้เลย ขณะที่ตัว “ส้มป่อย” ไม่กลัวอะไรขนาดนั้น การที่เขากล้าที่จะแบบรักใครก่อน ชอบใครก่อน ก็แสดงออกไปแบบนั้นเลย แต่สำหรับตาล ตาลไม่ได้เป็นคนแบบนั้น ไม่ค่อยไปจีบใครก่อน”
“แต่ลึกๆ ตาลก็รู้สึกว่า อุ๊ยดีจังเลยเนอะ สมัยนี้มันควรที่จะมีความรักอะไรแบบนี้บ้าง เพราะว่าบางทีการที่เรารอให้คนอื่นเขาชอบเราก่อน มันไม่ได้หมายความว่าเราจะชอบคนนั้น แต่การที่เราชอบคนนี้และแสดงให้เขารู้มันก็ได้เห็นอีกมุมหนึ่ง ที่ฉีกกฎของความเป็นผู้หญิง”
เรียกว่าเป็นอีกมุมหนึ่งที่ให้แง่คิดกับชีวิตเราเหมือนกันใช่ไหม?
“ใช่ค่ะ ให้แง่คิดเยอะมาก อีกอย่างตาลว่าคนที่ดูเรื่องนี้จะต้องคิดถึงบ้าน โดยเฉพาะคนเหนือ เพราะมันไม่ได้เป็นแค่ความรักของหนุ่มสาวอย่างเดียว แต่มันมีในแง่ของความผูกพัน ทั้งครอบครัว เพื่อนฝูง รวมถึงวิถีชีวิตความเป็นอยู่ อย่างตาลมาอยู่กรุงเทพฯ พอได้ไปเล่นภาพยนตร์เรื่องนี้มันทำให้เรารู้สึกแบบคิดถึงบ้านที่เหนือจังเลย
ขอย้อนถามถึงการเริ่มต้นงานในวงการบันเทิงของ น้ำตาล ดูเหมือนว่าละครแต่ละจะเป็นดราม่าส่วนใหญ่ แต่ว่าช่วงหลังเห็นภาพน้ำตาลเล่นเป็นนางเอกตลก ๆ เลยอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นถึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลง?
“น่าจะเป็นทางผู้ใหญ่มากกว่า ที่อยากให้เราเปลี่ยนคาแรกเตอร์บ้าง ส่วนตัวจริงๆ ตาลว่าตาลเป็นคนมีความคอมเมดี้สูงมาก ๆ ตลก และสนุกสนาน แต่เรื่องแรกที่เล่นดันเปิดด้วยดราม่ามากคนเลยติดภาพว่าเราแบบเป็นสายดราม่า ต้องร้องไห้ตลอด ที่จริงกว่าจะเล่นได้ยากนะคะ เพราะว่าตาลเป็นคนที่ไม่ค่อยร้องไห้เลย ด้วยความที่เราเป็นพี่คนโต เป็นผู้นำ เราก็จะไม่ค่อยแสดงความอ่อนแอให้ใครเห็น ดราม่าว่ายากแล้วแต่คอมมาดี้ยากกว่า ตอนที่เล่นเรื่อง “ดาวเคียงเดือน” ทั้งๆ ที่เป็นคอมมาดี้ตาลกลับเล่นไม่ได้เลย จนผู้กำกับสั่งให้กลับบ้าน คือตอนนั้นเราก็คิดว่าเราตลก”
“จนอีกวันหนึ่งผู้กำกับบอกว่าให้ตาลมาที่กองถ่ายแต่ไม่ต้องมาเล่น มาดูว่าเขาเล่นกันยังไง วันนั้นเป็นคิวพี่ปุยฝ้าย AF ,พี่มิ้นต์, พี่บอย พิษณุ ซึ่งพอเห็นพี่ๆเล่นกันเราเข้าใจเลย เขาตบมุกกันโบ๊ะบ๊ะมากเหมือนตีลูกปิงปอง มันมีจังหวะคิด มันมีจังหวะช็อต มันมีจังหวะแบบสตั๊นเราก็ค่อย ๆ แบบพยายามซึมซับมาเรื่อย ๆ อยู่กับแบบพี่ ๆ ที่เขาเก่ง ๆ แบบชั่วโมงบินสูง ๆ อะไรอย่างเงี้ย เราก็เริ่มทำได้ค่ะ”
กังวลไหมว่าเปิดมาเป็นหนังตลกแต่คนดูอาจไม่เก็ตกับมุก?
“ตาลไม่กลัวนะคะ เพราะนักแสดงที่ร่วมแสดงแต่ละคนคาแรคเตอร์ค่อนข้างชัด ความเป็นหนังแตกต่างจากละครตรงที่เวลาเราคัดใครเข้ามาเล่น เขาชอบบุคลิกของคนนั้นจริงๆ ขณะที่ละครต้องค่อย ๆ ปั้นให้ออกมาเป็นคาแรคเตอร์แบบนั้นมันมีการพัฒนาตัวละครไปเรื่อย ๆ แต่หนังค่อนข้างสั้น ถ่ายทำก็สั้นมาก ดังนั้นคนที่ผู้กำกับหรือผู้จัดเลือกมีคาแรคเตอร์ใกล้เคียงกับตัวละครตัวนั้นอยู่แล้ว”
กลัวไหมว่าถ้าเราตลกเกินไปภาพลักษณ์นางเอกอาจจะอยู่กับเราไม่นาน?
“ส่วนตัวตาลหลุดกรอบนั้นมาค่อนข้างที่จะนานแล้ว แต่ก็ยอมรับว่าเมื่อก่อนตาลเคยคิดเหมือนกันว่า เรากล้าที่จะออกจากกรอบตรงนี้ไหม กรอบที่นางเอกถูกสร้างมาว่าภาพลักษณ์ต้องเป็นแบบนี้นะ ต้องรักษาภาพลักษณ์อยู่ตลอดเวลาตั้งแต่หัวจรดเท้า หรือว่าการคำพูดคำจา สามารถขายความตลกได้มากน้อยแค่ไหน แต่เมื่อมาคิดดูดีๆ ตาลเล่นบทผีแล้ว ตาลแหกปากกรีดร้องไปหมดแล้ว มันทะลุกรอบทุกสิ่งทุกอย่าง หรือแม้กระทั่งละครที่เพิ่งจบไปอย่าง “แค้นรักสลับชะตา” ตาลเล่นทั้งบทคนส่งยา ขโมยของ คือแบบมันลบภาพทุกสิ่งทุกอย่างไปหมดแล้ว เลยรู้สึกว่า ดีจังมันเหมือนเราได้ค่อย ๆ ทะลุกรอบอะไรไปเรื่อย ๆ แล้วการทะลุกรอบในแต่ละครั้งของเรา มันเป็นความท้าทายว่าคนดูจะเชื่อในสิ่งที่เราเป็นไหม อย่างตัว “ส้มป่อย” คือตัวละครที่มีชีวิตจริง ทุกหมู่บ้านมักมีตัวจี๊ดที่แบบว่ามีงานที่ไหนคนนี้ก็จะไป ไปเต้นบนลำโพงบ้าง เต้นหน้าเวทีบ้างน่าจะเป็นตัวละครที่มีชีวิตและจะต้องทำให้ทุกคนเชื่อได้”
คิดว่าผลงานแนวตลกคอมเมดี้มันขัดเกลาเราให้เก๊าขึ้นยังไงบ้าง?
“คือมันทำให้เราแบบหัวไวมากขึ้น ตลกโดยธรรมชาติด้วยเนเจอร์ของเรา ตอนนี้ตาลพูดได้หลากหลายภาษามาก เช่นภาษาลู ผันคำ ผวนคำไม่ใช่ผันคำ อะไรทำนองนี้”
มองอนาคตทางการแสดงไว้อย่างไรบ้างสัก 10 – 15 ปีข้างหน้า?
“10 – 15 ปีข้างหน้า น่าจะเป็นคุณแม่แล้วหรือเปล่า ตอนนั้นก็น่าจะ 40-45 แล้ว น่าจะเล่นเป็นคุณอาอยู่ คงยังไม่ถึงบทแม่ ก็มองตัวเองว่า ณ วันนั้นเราก็คงแบบอาจจะมีอาชีพนักแสดงเป็นอาชีพหลัก แต่ว่าก็คงแบบมีธุรกิจอื่น ๆ เข้ามาเสริมอะไรเงี้ยค่ะ เราก็ ณ เวลานั้นเราคงได้รับบทบาทอะไรที่แบบมากมายหลากหลายมากยิ่งขึ้น ถ้าเป็นไปได้อยากจะแบ่งปันสิ่งเหล่านี้ให้กับน้อง ๆ ที่เข้ามาด้วย เพราะเรียนด้านภาพยนตร์มา งานที่น่าสนใจคือเขียนบท ตาลชอบอ่านนิยาย ชอบอ่านหนังสือชอบอะไรที่มันเป็นตัวอักษร”
อยากแสดงรูปแบบ แบบไหนอีกบ้างไหม?
“ตาลอยากแสดงแบบพวกไซไฟไปเลย แม้จะยากมากแต่ตาลมีความรู้สึกว่า ทำไมต่างประเทศเขาทำได้แล้วประเทศเราก็น่าจะแบบทำได้อะไร หรือแบบ Squid Game เพราะตาลชอบอะไรที่มีความรู้สึกว่ามันท้าทาย จริงๆไม่จำเป็นต้องเป็นนางเอก อยากเห็นผลงานที่ทุกคนมีบทบาทมีชีวิตที่สำคัญเท่า ๆ กัน ซึ่งเราเห็นในซีรีส์ต่างประเทศ”
สุดท้ายมีอะไรจะบอกกับแฟนๆ ไหมคะ?
“ค่ะ ก็ขอฝากภาพยนตร์เรื่อง “ส้มป่อย” ไว้ด้วยนะคะ ก็ถือว่าเป็นหนังเรื่องแรกของตาลเลยตั้งแต่เข้าวงการมาเลย ที่สำคัญเลยก็คือเป็นหนังเกี่ยวกับภาคเหนือด้วย ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งในแบบมุมหนึ่งของภาคเหนือที่ตาลเชื่อว่าหลาย ๆ คนอาจจะไม่เคยเห็นผ่านทางหนัง ละครมาก่อน ก็มีความคอมเมดี้ มีความอบอุ่นของครอบครัวด้วย ก็อยากจะฝากให้หลาย ๆ คนไปชมกันในโรงภาพยนตร์รับรองว่าจะต้องกลับบ้านพร้อมกับรอยยิ้มแน่นอน”