เงินดิจิทัล

Build Your Wealth ให้ “เงินดิจิทัล” ทำงานแทนคุณ

Alternative Textaccount_circle
เงินดิจิทัล
เงินดิจิทัล

ขอแสดงความยินดีกับ Zipmex แพลตฟอร์มสินทรัพย์ดิจิทัลชั้นนำของเอเชียแปซิฟิกที่เพิ่งสร้างข่าวใหญ่ให้กับแวดวงคริปโตเคอร์เรนซี่ ด้วยการประกาศระดมทุนรอบ Series B (31 สิงหาคม 2564) เป็นจำนวนเงินกว่า 1,300 ล้านบาท โดยร่วมมือกับบริษัทกรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด รวมถึงบริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) และบริษัท มาสเตอร์ แอด จำกัด (มหาชน) ที่ได้เข้าร่วมลงทุนก่อนหน้านี้

แพรวไม่รอช้า ขอคว้าตัว คุณแบงค์-ดร. เอกลาภ ยิ้มวิไล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง ซิปเม็กซ์ (Zipmex) ประเทศไทย มาร่วมให้คำแนะนำเรื่องการบริหารจัดการการลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี่ ให้ “ได้” มากกว่า “เสีย” ท่ามกลางผันผวนของราคาสินทรัพย์ดิจิทัลที่ทำเอาลุ้นกันรายวัน

Build Your Wealth ให้ “เงินดิจิทัล” ทำงานแทนคุณ

 Q: ก่อนอื่น อะไรคือปัจจัยที่ทำให้มูลค่าสินทรัพย์ดิจิทัลขึ้น-ลง แล้วนักลงทุนควรมีวิธีในการวิเคราะห์อย่างไรคะ   

“การขึ้นลงของคริปโตเคอร์เรนซี่นั้น สามารถวิเคราะห์ได้จาก 3 ปัจจัยครับ ได้แก่

  1. Fundamental (พื้นฐาน) อย่างบิทคอยน์มี Fundamental เป็นการฮาฟวิ่ง (Bitcoin Halving) คือจำนวนบิทคอยน์ที่ถูกปล่อยออกมาจะลดลงเรื่อยๆ ทุก 4 ปี ทำให้ supply น้อยลง demand ก็จะมากขึ้น ราคาก็จะสูงขึ้นตามหลักเศรษฐศาสตร์ จำนวน wallet (กระเป๋าเงินดิจิทัล) ของคนที่ถือบิทคอยน์และบริษัทใหญ่ๆ ที่เข้ามาถือบิทคอยน์ก็จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ รวมถึงรัฐบาลบางประเทศอย่างเอลซัลวาดอร์ ก็ให้การรับรองตามกฎหมายแล้ว นี่ถือเป็นพื้นฐานทั้งหมด
  2. Technical (เทคนิค) คือเราสามารถวิเคราะห์กราฟทางเทคนิคของคริปโตเคอร์เรนซี่ได้เหมือนหุ้นเลยครับ ซึ่งอันนี้คงต้องไปศึกษารายละเอียดกันต่อ
  3. Sentimental (อารมณ์) คือตามกระแส อย่างเหรียญ Dogecoin ที่มีโลโก้เป็นน้องหมาพันธุ์ชิบะอินู ซึ่งเดิมทีถูกสร้างขึ้นเพื่อล้อเลียน Bitcoin และเหรียญดิจิทัลอื่นๆ ที่ดูยากและน่ากลัว แต่ด้วยภาพจำที่น่ารัก จึงได้รับความนิยมแพร่หลาย พูดง่ายๆ ว่าไม่มีพื้นฐานอะไรเลย แต่ Sentimental มาเต็ม คนเชียร์กันเยอะ ก็สามารถผลักราคาให้สูงได้เช่นกัน

“เพราะฉะนั้น เวลาวิเคราะห์ต้องดูให้รอบด้าน สมมติช่วงที่บิทคอยน์หล่นลงมา 50% แถมกระแสข่าวยังออกมาแย่ แต่ราคากลับไม่หล่นไปมากไปกว่านี้ ก็แสดงว่าในเชิง technical และ fundamental ราคาบิทคอยน์นั้นลงมาลึกพอแล้ว และหลังจากพักฐานมา 3 เดือน บิทคอยน์ก็กำลังคลานกลับไปเป็นขาขึ้น ดังนั้นใครที่ยังถืออยู่ หรือซื้อเพิ่มในเวลาที่ราคาแย่ที่สุด คนกลุ่มนั้นจะได้ผลประโยชน์มากที่สุดเมื่อราคาบิทคอยน์สูงขึ้นอีกครั้ง”

 

Q: แล้วควรลงทุนอย่างไร ให้ได้ผลตอบแทนดีคะ      

“คำแนะนำของผมคือ เมื่อใดก็ตามที่ราคาสินทรัพย์นั้นขึ้นไปสูงๆ อย่างขึ้นมา 100-200% แล้ว ก็ควรขายทำกำไรออกมาบ้าง เหลือติดมือไว้หน่อย ถ้าราคายังขึ้นไปอีก เราก็ค่อยๆ ทยอยขายออกมาทีละนิด โดยให้คิดไว้เสมอว่า ไม่มีอะไรขึ้นไปตลอด วันหนึ่งก็ต้องร่วงลงมา นอกจากแบ่งขายแล้ว ผมแนะนำให้แบ่งซื้อด้วย โดยการทยอยลงทุนเป็นระยะทุกเดือน หรือที่เรียกว่า DCA (Dollar Cost Average) วิธีการคือ พอราคาบิทคอยน์ร่วงลงมามากๆ เช่น จากราคา 2 ล้าน ลงมาเหลือ 1 ล้าน แม้ความจริงจะมีสิทธิลงจากนั้นได้อีก แต่ความที่ลงมาถึง 50% แล้วไม่น่าลงได้อีกเยอะ ก็ให้ค่อยๆ ทยอยซื้อเพิ่ม

“ส่วนใครที่ขาดทุนบิทคอยน์อยู่ ผมไม่แนะนำให้ cut loss แต่แนะนำให้ทยอยซื้อเพิ่มตอนที่ราคาถูกลง เมื่อราคาขึ้นค่อยแบ่งขาย จะช่วยถัวเฉลี่ยเงินลงทุนของเราจากสูงให้ลงมาถูกได้ อย่างน้อยก็ไม่ขาดทุน ดังนั้นควรมีเงินสดเก็บสำรองไว้ เพื่อที่พอราคาลดลงมามาก เราจะได้ซื้อเพิ่ม ส่วนเหรียญอื่นๆ ที่มูลค่าตลาดยังไม่ใหญ่เท่าบิทคอยน์ ความผันผวนยิ่งสูง ดังนั้นเมื่อไรที่ได้คืนมา 2-3 เท่า ก็ขายทำกำไรไปดีกว่าครับ

“ต้องเข้าใจว่าตลาดคริปโตเคอร์เรนซี่ราคาจะค่อนข้างผันผวน ขึ้นลงเร็วภายในระยะเวลาสั้น ทำให้คนกลัว แต่ถ้าเรามีวินัยในการทยอยซื้อตอนราคาถูก ถือต่อไป แล้วคอยแบ่งขายออกบ้างในเวลาที่ขึ้น เพื่อเอาต้นทุนคืน แล้วใช้กำไรที่ได้มาเล่นต่อไปก็ไม่ขาดทุนแล้ว ปล่อยให้กำไรทำงานก็สบายใจดี เรื่องนี้เป็น investment strategy ใช้ได้กับการลงทุนทุกรูปแบบครับ”

 

Q: ขอคำแนะนำวิธีการลงทุนสินทรัพย์ดิจิทัล สำหรับกลุ่มคนที่เสี่ยงได้น้อย เสี่ยงปานกลาง และเสี่ยงได้มาก

“หลักการลงทุนมีอยู่ 3 ข้อนะครับ หนึ่ง Asset Allocation คือการเลือกประเภทสินทรัพย์ที่จะลง เช่น คริปโตฯ หุ้น พันธบัตร ที่ดิน ทอง ฯลฯ สอง Diversification คือการกระจายความเสี่ยง และสาม Rebalancing คือการปรับสมดุลพอร์ตการลงทุน เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์และภาวะตลาด ซึ่งนักลงทุนควรทำสามอย่างนี้ควบคู่กันไป หากคุณรับความเสี่ยงได้น้อย ก็ไม่ควรลงคริปโตฯ มากกว่า 5% ของพอร์ตการลงทุนทั้งหมด โดยอาจลงทุนแค่ในบิทคอยน์ เพราะมีความผันผวนน้อยที่สุดในบรรดาคริปโตฯ ทั้งหมด หรือถือบิทคอยน์ 3% และ Ethereum อีก 2% ส่วนกลุ่มที่รับความเสี่ยงได้ปานกลาง อาจถือคริปโตฯ ไว้ 10% ก็ได้ แล้วค่อยไปกระจายความเสี่ยงว่าจะเป็นบิทคอยน์ 5% Ethereum 3% เหรียญอื่นๆ อีก 2% แต่ถ้ารับความเสี่ยงได้มากก็ลงทุนในคริปโตฯ 20% ไปเลย โดยอาจลงบิทคอยน์ 2-3% แล้วเลือกเหรียญอื่นที่มีความเสี่ยงสูง แต่มีโอกาสขึ้นได้มากถึง 100-1000% เยอะหน่อย นี่คือการเลือกประเภทสินทรัพย์และการกระจายความเสี่ยง

“ทีนี้พอผ่านไป 1 ปี ลองดูผลตอบจากคริปโตฯ ว่าเป็นอย่างไร อย่างกลุ่มความเสี่ยงน้อย หากลงคริปโตฯ ไปแค่ 5% แต่พอร์ตคริปโตเพิ่มขึ้น 1 เท่า กลายเป็น 10% ไปแล้ว ก็ควรจะขายคริปโตฯ ออก เพื่อให้คริปโตฯ ในพอร์ตกลับมาเป็น 5% เหมือนเดิม แล้วนำกำไรส่วนที่ได้ ไปซื้อหุ้น ทอง หรือสินทรัพย์อื่นๆ ที่สบายใจมากขึ้น นี่ก็เรียกว่าเป็นการ Rebalance หรือปรับฐานพอร์ตเพื่อให้เป็นไปตามแผน แต่ถ้าสมมติว่าผลตอบแทนจากคริปโตฯ หล่นลงไปเหลือ 3% ก็ให้คุณนำเงินที่ได้จากการลงทุนในสินทรัพย์อื่น เช่น ได้จากหุ้นมาใส่ในคริปโตฯ เพื่อให้มันกลับไปที่ 5% ซึ่งแปลว่า คุณซื้อตอนราคาต่ำ ถือว่าได้ถัวเฉลี่ยต้นทุน และ Rebalance พอร์ตการลงทุนไปในตัว ดังนั้นมันก็จะกลับไปสู่วินัยและการมีแผนในการลงทุนอย่างที่ผมบอก โดยผมแนะนำให้มีการปรับพอร์ตทุกสามเดือน แล้วคุณจะมีการบริหารเงินที่ดี เงินจึงจะงอกเงยครับ

 

Build Your Wealth สไตล์คุณแบงค์

“ผมลงทุนในคริปโตเคอร์เรนซี่ 100% แต่ผมไม่แนะนำให้คนอื่นทำตาม เพราะผมอยู่ในตลาดนี้มา 6 ปี ทำธุรกิจเกี่ยวคริปโตเคอร์เรนซี่ คอยติดตามข่าวสารอยู่ตลอด จึงมีความรู้ด้านนี้มากกว่าคนอื่น แล้วผมก็มีแหล่งหารายได้จากหลายทาง แต่ถ้าเป็นพนักงานเงินเดือนทั่วไป ผมแนะนำให้ทยอยลงทุน แบบ DCA ที่ผมบอกไป วันหนึ่งหากมีกำไรก็ให้ขายออกมา แล้วนำเงินที่ได้มาทำธุรกิจส่วนตัวเพิ่มเติม ควบคู่ไปกับการทำงานประจำ พอผ่านไป 3-5ปี เงินเดือนคุณจะมากขึ้น พอร์ตการลงทุนก็ดีขึ้น เพราะได้ผลตอบแทนมากขึ้น ธุรกิจก็เป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น คุณก็จะมีรายได้จากหลายช่องทาง หรือถึงจุดหนึ่งบางคนอาจลาออกจากงานแล้วไปทำธุรกิจที่สร้างไว้ เพราะได้เงินมากกว่าแล้วก็ได้ ขอให้โชคดีครับ”


 

Praew Recommend

keyboard_arrow_up