จากเด็กเกเร ก้อย-อรัชพร เปลี่ยนตัวเอง เมื่อวันที่เห็นแม่ติ่งผู้แข็งแกร่งร้องไห้

account_circle

ด้วยความน่ารัก สดใส แฝงด้วยความเปรี้ยวซ่า ทำให้ ก้อย -อรัชพร โภคินภากร ตกหัวใจแฟนๆ ได้เพียบ จนกลายเป็นอีกหนึ่งสาวฮ็อตในรอบปี ปกติเราจะเห็นเธออยู่กับเดอะแก๊ง แต่วันนี้ก้อยแท็กทีมมากับ คุณแม่ติ่ง- ลักษณา ทรงสุวรรณ

เวลาพูดถึง ก้อย – อรัชพร หลายคนจะนึกภาพของสาวเปรี้ยวมั่นใจ  เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กเลยไหมคะ

ก้อย “ก้อยมีหลายช่วงมากคะ ถ้าย้อนไปตอนเด็กเลย ยังนิ่งๆ แต่พอช่วงมัธยมวัยรุ่นก็แสบซ่าอยู่ค่ะ ให้คุณแม่เล่าดีกว่า เด็กๆหนูซนไหมคะ” (หันไปถามคุณแม่)

คุณแม่ “ไม่ซนนะคะ แหม…พูดแล้วก็เหมือนอวยลูก (หัวเราะ) ถ้าช่วงประถมเขาค่อนข้างอยู่ในกรอบ เรียกว่ายังคุมได้ค่ะ พอเข้าม.1 ก็ยังโอเค แต่พอ ม.2 เริ่มมีความคิดเป็นของตัวเองและเริ่มติดเพื่อน ซึ่งแม่ก็รู้ว่าเป็นช่วงวัยของเขา ก็พยายามเข้าใจ

ขณะที่แม่ก็ต้องเปลี่ยนตัวเองด้วยเหมือนกัน จะเลี้ยงลูกแบบตามใจแม่อย่างเดียวคงเป็นไปไม่ได้ เราต้องยอมรับว่าเด็กสมัยนี้มีความเป็นตัวเองสูง ฉะนั้นต้องให้เขาคิดเอง ได้ลองเรียนถูกเรียนผิด อะไรดี ไม่ดี เรื่องไหนที่ต้องปรับปรุงแก้ไข”

ก้อย “สมัยก่อนคุณแม่ดุค่ะ บอกได้เลยว่าคุณแม่ออกจากงานเพื่อมาดูลูก โดยเฉพาะ จึงคอนเซ็นเทรตกับหนูมาก  สมัยเด็กแม่สั่งให้ทำอะไรก็ทำ ว่านอน สอนง่าย แต่พอช่วงวัยรุ่นเริ่มไปเที่ยวกับเพื่อน มีหนีเรียนบ้าง แต่ไม่มีอะไรร้ายแรงค่ะ”

เวลามีปัญหา ปรึกษาคุณแม่ไหมคะ

ก้อย “หนูสนิทกับคุณแม่มาก แม้จะดูว่าท่านค่อนข้างเข้มงวด แต่จริงๆ แล้วคุณแม่เปิดใจกับหนูมากๆค่ะ เวลามีปัญหาอะไรก็จะบอกหมดทุกอย่าง เพราะถ้าหนูไม่บอก คุณแม่ก็จะรู้เองอยู่ดี(หัวเราะ)

“จุดหนึ่งที่หนูรู้สึกว่าคุณแม่เปิดใจมาก ๆ คือตอนวัยรุ่นหนูเคยมีแฟนเป็นผู้หญิง ซึ่งหนูไม่แน่ใจว่าครอบครัวอื่นเป็นอย่างไร แต่คิดว่าคุณพ่อคุณแม่ส่วนใหญ่น่าจะตกใจหรือไม่โอเค โดยเฉพาะตอนนั้นเรื่องนี้ยังไม่เป็นที่ยอมรับและเปิดมากเท่าตอนนี้ด้วย “แต่ปรากฏว่าคุณแม่ไม่ห้ามเลยค่ะ ไม่ตกใจหรือสงสัยด้วย แต่กลับดีใจที่หนูกล้าบอกว่าคนนี้เป็นแฟนนะ คุณแม่ปล่อยให้หนูได้เรียนรู้ความรักด้วยตัวเอง ซึ่งจากเหตุการณ์นั้นทำให้หนูยิ่งกล้าเปิดใจทุกเรื่อง”

ตอนนั้นคุณแม่ไม่ตกใจเลยเหรอคะ

คุณแม่ “ถามว่าตกใจไหมตอนที่เขามีแฟนเป็นผู้หญิง…แม่ไม่ตกใจนะ ส่วนหนึ่งเพราะเขาก็เป็นเพื่อนลูกมาก่อน ซึ่งแม่ก็รู้จักอยู่แล้วว่าเป็นเด็กดี ไม่ได้มีปัญหา และไม่ได้ชวนกันไปทำเรื่องไม่ดี แม่จึงโอเค” (ยิ้ม)ตอนวัยรุ่นมีเรื่อง

อะไรที่ห่วงเป็นพิเศษไหมคะ

คุณแม่ “แม่ค่อนข้างใกล้ชิดกับลูก เวลาเขามีปัญหาอะไร แค่เห็นหน้าเขาแม่ก็รู้ แล้วจะคุยกัน จึงไม่ได้มีเรื่องที่ห่วงมากนัก จะมีก็เรื่องการเรียน อย่างช่วงที่เขาหนีเรียน ซึ่งเขาก็พยายามไม่ให้รู้หรือจับได้นะ แต่แม่ก็รู้เองอยู่ดี ซึ่ง
แม่มองว่าถ้าเกรดเฉลี่ยเขายังอยู่ในเกณฑ์ที่โอเค ไม่กระทบ แม่ก็รับได้

“เพราะตัวเขาเองที่ต้องรู้ว่าตัวเองทำอะไรอยู่ และสิ่งที่ทำจะเกิดผลกระทบอะไรบ้าง ซึ่งพอถึงจุดหนึ่งเขาก็พยายามปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นเอง  ซึ่งแม่ไม่ได้ดุว่าเขา อย่างที่บอกคือให้เขาเรียนรู้ด้วยตัวเองดีที่สุด”

ก้อยอธิบายเสริม “อย่างที่แม่บอกเลยค่ะ ช่วงวัยแสบ ประมาณ ม.ต้น หนูทำวีรกรรมไว้เยอะ โดนเรียกเข้าห้องฝ่ายปกครองประจำ บวกกับตอนนั้นอารมณ์ร้อนค่ะ เวลาทะเลาะกันคือแรงทั้งคุณแม่ทั้งหนู ที่สุดก็รู้ว่ามันไม่ช่วยอะไรเลย  และจุดเปลี่ยนที่ทำให้ก้อยคิดได้ เปลี่ยนจากเด็กเกเรกลับมาโอเค ก็คือเห็นคุณแม่ร้องไห้

“คือคุณแม่ไม่ได้ตั้งใจให้ก้อยรู้นะคะ แต่จู่ๆ วันนั้นฟ้าลิขิตให้ตื่นเช้า จึงบังเอิญเห็นคุณแม่กำลังร้องไห้ ความรู้สึกตอนนั้นคือนิ่งไปเลย เพราะคุณแม่เป็นผู้หญิงแกร่งมากประมาณหนึ่งเลยค่ะ และไม่เคยเปิดเผยมุมนี้กับก้อยมาก่อนพอเห็นแบบนั้น รู้สึกเลยว่ามันเกินไปแล้วที่คนเป็นลูกจะทำกับแม่แบบนั้น

“ก้อยจึงถามตัวเองว่าคุณแม่ให้เราทุกอย่าง ซัพพอร์ตทุกเรื่อง แล้วนี่เราทำอะไรอยู่ ทำไมทำตัวแบบนี้ จากนั้นวันรุ่งขึ้นก็ขอคุณแม่เรียนพิเศษเลยค่ะและหลังจากเหตุการณ์นั้นก็ทำให้ก้อยกับคุณแม่เข้าใจกันมากขึ้น รวมถึงรู้แล้วว่า
สิ่งที่คนอื่นอยากให้เราทำกับสิ่งที่เราอยากทำเองมันแตกต่างกันมาก เพราะแม้คุณแม่จะพูดปากเปียกปากแฉะขนาดไหน ถ้าเราไม่สำนึกได้ด้วยตัวเอง ก็ไม่สามารถเปลี่ยนได้หรอกค่ะ ก้อยจึงเปลี่ยนตัวเองให้ดีขึ้นมาเรื่อยๆ (หันไปหาแม่) แม่อย่าร้องไห้นะ”

คุณแม่อธิบาย “จริงๆเรื่องมันนานแล้วเนอะ เพียงแต่ตอนนั้นแม่รู้สึกว่าแม่ดูแลเขาทุกอย่าง อยากให้เขาตั้งใจเรียน แต่พอลูกโดดเรียนจึงรู้สึกว่าทำไมถึงทำแบบนี้ ถ้าไม่อยากเรียนก็น่าจะบอกกันตรงๆเลย อย่างเรื่องเรียนพิเศษ
ที่แม่อยากให้เรียนก็เพราะเห็นว่าเขามีศักยภาพ เขาทำได้ แต่พอลูกโดดเรียนแม่ก็เสียใจแหละ”

ก้อยขอเสริม “คุณแม่ไม่เคยบังคับนะคะ แต่ตอนนั้นเราเด็กน่ะ รู้สึกว่าเรียนในโรงเรียนก็เหนื่อยแล้ว ต้องไปเรียนพิเศษอีก จึงมีความรู้สึกต่อต้าน ซึ่งจริงๆสิ่งที่คุณแม่ทำเพราะหวังดี แต่เราอาจจะไม่สื่อสารกันเท่าที่ควร ถ้าตอนนั้นก้อยบอกตรงๆก็อาจจะแก้ด้วยการปรับลดอะไรลง เรียนไหว  ไม่ไหวอย่างไร พูดกันดีๆ”

ทราบว่าคุณแม่อยากให้ก้อยเป็นหมอ

ก้อย “ใช่ค่ะ แม่ชอบพูดกับหนูว่าเธอเรียนได้อยู่แล้ว แต่เธอไม่สนใจเองซึ่งส่วนหนึ่งต้องบอกว่าเป็นค่านิยมของประเทศเราด้วย ที่เวลาถามเด็กว่าโตขึ้นอยากเป็นอะไร ส่วนใหญ่จะตอบว่าเป็นหมอ เป็นครูอะไรแบบนั้น

“ซึ่งตอนมัธยมปลายก้อยเรียนสายวิทย์ ยอมรับว่าที่เลือกสายนี้ก็เพื่อจะไปเรียนต่อด้านแพทยศาสตร์ เพราะโรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์  สิงหเสนี) มีแบ่งสายเลยว่าวิทย์แพทย์ วิทย์สถาปัตย์ ซึ่งเราก็เป็นความคาดหวังของที่บ้านอยู่แล้วว่าเรียนสายวิทย์น่าจะเป็นหมอ

“แต่สุดท้ายเราไม่ได้ชอบสิ่งนั้นจริงๆ ซึ่งตั้งแต่เด็กก้อยเป็นเด็กกิจกรรมมาตลอดนะคะ เวลาโรงเรียนมีงานก็จะไปรำไทย เป็นเชียร์ลีดเดอร์ หรือไปถือป้ายงานต่างๆ คือชอบทำกิจกรรมมาก จึงคิดว่าความสนใจของเราไม่ได้ไป
ทางนั้น และถ้าพูดกันตรงๆก็คือสอบไม่ติดหมอค่ะ (หัวเราะสนุก)

“เพราะข้อสอบยากนะ คนที่สอบติดเขาตั้งใจอ่านหนังสือเตรียมตัวมาด้านนี้แบบเต็มร้อย แล้วถ้าเรามาแบบครึ่งๆกลางๆก็คงไม่ได้อยู่แล้ว  ซึ่งตอนนั้นหนูก็รู้ว่าคุณแม่ช็อกและเสียใจมากเหมือนกันนะคะ เพราะคงคาดหวังไว้พอสมควร

“จากนั้นก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่าจะอย่างไรต่อดี เรียนเภสัชแทนไหม แต่ก็รู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเองอีก ฉะนั้นถ้าไปทางวิชาการไม่ได้ ก็ไปอีกทางเลยดีกว่า เพราะหนูชอบทำกิจกรรม จึงตัดสินใจเลือกเรียนด้านนิเทศศาสตร์ แล้วบอกคุณแม่ตรงๆ ซึ่งท่านก็เข้าใจ ไม่ได้ห้ามอะไร แต่ก็คงแอบเสียใจเล็กๆ”

คุณแม่เคยคิดไหมคะว่าวันหนึ่งก้อยจะเป็นนักแสดงฮ็อตขนาดนี้

คุณแม่ส่ายหน้า  “ไม่คิดเลยค่ะ”

ก้อยแซวทันที  “หนูไม่สวยเหรอแม่”

คุณแม่หัวเราะชอบใจ “เวลามองลูก แม่ว่าเขามีความน่ารัก เป็นตัวเองสำหรับความสวย มองสักพักอาจจะเบื่อ แต่ความน่ารักทำให้ลูกเรามองอย่างไรก็ไม่เบื่อ” (หัวเราะ)

ก้อย “อวยลูกมากๆ คำตอบก็คือไม่สวยจ้ะ…แต่น่ารัก” (หัวเราะ)

คุณแม่ “ก้อยไม่สวย แต่มีความน่ารักและมีเสน่ห์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ต้องมาจากตัวตนข้างในจริงๆ และแม่บอกเขาเสมอว่าทำในสิ่งที่ชอบให้ดีที่สุด ผลจะออกมาเป็นอย่างไร เราก็จะยอมรับได้ เพราะเราทำเต็มที่  ซึ่งหน้าที่ของแม่คือ คอยซัพพอร์ตลูกในทุกเรื่อง ไม่ว่าเขาอยากทำอะไร ชอบอะไร แม่ก็พร้อมสนับสนุนทุกอย่าง”

ภาพที่เราเห็นก้อยในจอคือคุยเก่ง สดใส ร่าเริง ตัวจริงเป็นแบบนั้นไหมคะ 

คุณแม่ “อาจจะไม่ได้เป็นแบบนั้นตลอดเวลาค่ะ เพราะบางครั้งเขาก็นิ่งๆ เงียบๆ ก้อยบ้างาน ทำงานหนักมาก เขาใช้สมองคิดโน่นคิดนี่อยู่ตลอดเวลา”

ก้อยช่วยเสริม “แม่ชอบบอกว่าก้อยไฮเปอร์เกินไป อยู่นิ่งๆเป็นบ้างไหม (หัวเราะ) แต่ถ้าถามว่าในจอกับนอกจอเหมือนกันหรือเปล่า เวลาอยู่กับครอบครัวก้อยจะนิ่งกว่าในจอเยอะค่ะ เพราะการออกทีวีหรือทำรายการต้องใช้พลังงานเพื่อสื่อสารไปยังคนดูที่คาดหวังความสนุกสนาน แต่พอในชีวิตจริง เราอาจจะไม่ได้สนุกตลอดเวลา จึงมีมุมเงียบบ้าง  เพื่อเซฟพลังไว้ตอนทำงานค่ะ” (หัวเราะ)

มีคำสอนไหนของคุณแม่ที่ก้อยนำมาใช้ในการทำงานหรือชีวิตประจำวันบ้างคะ

ก้อย “คุณแม่พูดน้อย แต่ทำเยอะ ก้อยรู้สึกว่านี่คือจุดเด่นของคุณแม่ซึ่งถ้าถามว่าความบ้างานของก้อยมาจากใคร  ขอบอกเลยว่ามาจากคุณแม่ค่ะ (หัวเราะ) คุณแม่ไม่ชอบอยู่เฉยๆ ทุกช่วงเวลาต้องสามารถทำประโยชน์ได้

“อย่างวันนี้คุณแม่เป็นแม่บ้าน ถึงจะไม่ได้ทำงาน แต่ก็จะไปหาคุณยาย จัดการบัญชีให้ก้อย ทำโน่นทำนี่ ใช้ทุกนาทีอย่างมีประโยชน์ ซึ่งก้อยเห็นสิ่งนี้มาตั้งแต่เด็ก จึงทำให้รู้สึกว่าอยากทำทุกวันให้มีประโยชน์ที่สุด ซึ่งสิ่งนี้คุณแม่ไม่ได้สอนนะคะ แต่ทำให้ดู ให้เห็นจริงๆ

“อีกอย่างคือคุณแม่มีความอดทนสูงมาก เพราะผ่านเรื่องราวต่างๆมาหมดแล้ว พูดตรงๆเลยก็คือก้อยโตมาโดยที่มีคุณแม่คอยเลี้ยงดูเป็นหลัก คุณแม่กับคุณพ่อไม่ได้อยู่ด้วยกันมาก เพราะฉะนั้นก้อยจะเห็นและเข้าใจแม่ในฐานะ ผู้หญิงคนหนึ่งที่ต้องเลี้ยงลูก ออกจากงานเพื่อมาดูแลลูกให้เติบโต

“และอย่างที่บอก ตั้งแต่เด็กจนโต ชีวิตก้อยหลากสีสัน จึงทำให้เข้าใจว่าคุณแม่เป็นผู้ใหญ่ที่ใจกว้างมาก สามารถเปิดรับและยอมรับก้อยในทุกช่วงชีวิตจริงๆ ซึ่งก็เพราะว่าคุณแม่รักก้อยที่เป็นก้อยจริงๆ ไม่ได้คาดหวังว่าก้อยต้องเป็นในสิ่งที่คุณแม่ต้องการทุกอย่าง และยังทำให้ก้อยเป็นคนที่ทำอะไรแล้วจะทำเต็มที่ เพราะก้อยเห็นตัวอย่างจากคุณแม่ว่าผู้หญิงคนหนึ่งสามารถทำอะไรได้มากมายจริงๆ แถมทำหลายอย่างได้พร้อมกันด้วย จึงทำให้ก้อยอยากทำอะไรได้หลายๆอย่างเหมือนกัน เช่น คุณแม่ทำอาหารอร่อยมาก ก็อยากฝึกทำบ้างค่ะ” (หัวเราะ)

ลูกสาวทำงานขนาดนี้ คุณแม่เป็นห่วงหรือห้ามอะไรไหมคะ

คุณแม่ “เป็นห่วงเรื่องสุขภาพค่ะ เขาจะปวดคอ ปวดหัว เป็นไมเกรนบ่อย แม่ก็บอกว่าคนเราต้องมีเวลาพักบ้าง ไม่ใช่ทำงานอย่างเดียว ทุกอย่างต้องบาลานซ์ อะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดี จะมีผลกระทบ ฉะนั้นใช้ชีวิตให้มีความสุขบ้าง”

แล้วก้อยทำได้ไหม 

ก้อยหัวเราะ “พยายามค่ะ คือจริงๆงานไม่ได้หนักขนาดนั้น แต่ด้วยความไฮเปอร์ของก้อยเองด้วยที่ไม่ชอบอยู่ว่างๆ  พอมีเวลาว่างก็จะทำโน่นทำนี่เพิ่ม จนเหมือนเราไม่ได้พัก ก้อยจำได้เลยค่ะ แน๊ตตี้ (เพื่อนสนิทที่ทำรายการ
‘ก้อยแน๊ตตี้ดรีม’ด้วยกัน) บอกก้อยว่าเบาๆบ้าง อย่ามีความสุขให้มันยากนักเลย ก้อยไม่รู้ตัวว่าความสุขของเรามันกลายเป็นเรื่องยาก อย่างเวลาทำงานก้อยจะคาดหวังว่าต้องสนุก ต้องดี เพราะด้วยการทำงานของเราฟีดแบ็กมาจากคนดูเพราะฉะนั้นความคาดหวังไม่ได้อยู่ที่เราคนเดียว เราจึงคิดเยอะ อยากทำให้ดีที่สุด

“จนทั้งคุณแม่และเพื่อนๆต้องเตือนว่าควรจะหาความสุขที่เกิดจากตัวเองบ้าง แบบที่ไม่ต้องสนใจคนอื่น เป็นความสุขเล็กๆจากสิ่งรอบตัว เช่น แค่ได้ไปนวดก็มีความสุขแล้ว หรือกินอาหารอร่อยๆ” (ยิ้ม) ขยับมาเรื่องความรักบ้าง

ลูกสาวฮ็อตขนาดนี้ คุณแม่หวงไหมคะ

คุณแม่ “จริงๆวัยเขาก็โตพอสมควรแล้ว แต่แม่ทุกคนก็ห่วงลูกทั้งนั้นแหละเนอะ แต่เขาก็ต้องเรียนรู้ด้วยตัวเอง ซึ่งแม่มองว่าการที่เขาคบใครแล้วมีความสุข แม่ก็ดีใจกับเขานะ แต่ถ้าเมื่อไหร่คบกันแล้วมีปัญหา แม่ก็บอกว่า ถ้ารู้คุณค่าในตัวเอง… เรื่องอะไรที่เจอมาก็เป็นเรื่องเล็ก เดี๋ยวมันก็ผ่านไป

“แม่ไม่มีสเป็คหรือเกณฑ์เลยนะว่าต้องเป็นคนแบบไหนถึงจะคบลูกสาวเราได้เพราะการคบกันเป็นเรื่องของคนสองคน  อาจจะมองได้หลายมิติว่าอยากให้ลูกได้เจอคนที่ดี คนที่พร้อม ซึ่งจริงๆไม่มีหรอก ต้องอาศัยประสบการณ์ที่เจ้าตัวเจอเอง

“อย่างบางคนแม่อาจจะมองว่าคนนี้ยังไม่โอเค ไม่พร้อม แต่ถ้าเขาคบกันแล้วมีความสุข แม่ก็โอเค ดีกว่าบางคนที่ดีพร้อมทุกอย่าง แต่อยู่ด้วยแล้วไม่มีความสุข ก็ไม่ดีจริงไหม แม่มองว่าความพร้อมหรือฐานะเป็นองค์ประกอบมากกว่า  สำคัญที่อยู่ด้วยกันแล้วมีความสุข ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”

ก้อยยิ้มรับ “คุณแม่ค่อนข้างเคารพในความคิดและการตัดสินใจของก้อยสูงมากค่ะ แต่ก็มีบ้างที่เวลาก้อยคบใครแล้วแม่ไปแอบถามจากคนอื่น ปรึกษาคนโน้นคนนี้บ้าง ก็คือคุณแม่เป็นห่วงแหละค่ะ แต่ไม่พูดกับก้อยตรงๆ” (หัวเราะ)
เวลาคบใคร ใช้เวลานานไหมคะกว่าจะเปิดตัวกับ

คุณแม่ก้อยตอบทันที “ไม่นานค่ะ ถ้ามีแฟน หนูก็อยากให้แม่รู้ (ยิ้ม) แต่ถ้าคนนั้นยังไม่มั่นใจ ก็ไม่บอกนะคะ เพราะถ้าเปิดตัวกับแม่แล้ว ก็แปลว่าเรามั่นใจประมาณหนึ่ง

คุณแม่ “ตอนที่แม่รู้ว่าก้อยคบกับนิกกี้ (ณฉัตร  จันทพันธ์) บอกตรงๆ ตอนแรกก็กลัวนะ จากภาพลักษณ์ในจอของเขา แต่พอเจอตัวจริง เขาน่ารักมาก ดูแลก้อยอย่างดี เรื่องนี้ก้อยบอกแม่ไม่อ้อมค้อม เพราะเปิดตัวก็แสดงว่าเขาคบจริง ก็ต้องใช้เวลาศึกษากันไป ตราบใดที่ลูกยังไม่ได้แต่งงาน ก็เป็นเรื่องของอนาคตที่ต้องเรียนรู้กันไป แต่สิ่งหนึ่งที่แม่เตือนเสมอก็คือเมื่อใดมีความทุกข์…กลับมานะ แม่อยู่ตรงนี้เสมอ ให้คิดถึงแม่เป็นคนแรกในทุกๆเรื่อง” (ยิ้ม)

ก้อยทำตาซึ้ง “คุณแม่น่ารักมากค่ะ หนูจะร้องไห้”

เวลาอยู่ในโหมดเสียใจ คุณแม่ปลอบใจก้อยอย่างไรคะ

คุณแม่ “บางทีแค่เห็นหน้าเขา แม่ก็รู้แล้ว หรือจู่ๆเขาเดินร้องไห้เข้ามา ซึ่งแม่รู้สึกว่าคนเราคบกันแล้วไปกันไม่ได้ก็เป็นเรื่องธรรมดา แม่เตือนเขาเสมอว่าเวลาเราคบใคร ถ้าถึงจุดหนึ่งที่ไปต่อไม่ได้ ก็ขอให้เป็นเพื่อนกัน อย่าเป็นศัตรูเลย  คือเลิกกันด้วยดี เป็นเพื่อนกันดีกว่า

“อย่าไปยึดติดอะไรมากมาย อะไรที่เขาทำกับเราก็ให้อภัยเขาไป แล้วสิ่งที่ดี จะกลับมาหาเราเอง แต่ถ้าเราไม่ให้อภัย  เจ็บแค้น ความทุกข์นั่นแหละจะจมอยู่ที่เรา ฉะนั้นให้อภัยกัน ใจเราจะได้สบาย ลูกอายุแค่นี้ ยังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะ”

เรื่องไหนที่คุณแม่ทำให้แล้วก้อยรู้สึกว่าประทับใจเป็นพิเศษ

ก้อย “เรื่องการซัพพอร์ต ดูแล ระบุยากค่ะ เพราะว่าทุกเหตุการณ์ในชีวิตหนูมีแม่คอยซัพพอร์ตมาตลอด แต่ไม่ใช่ซัพพอร์ตแบบลูกทำไม่ดีแล้วอวยนะคะ

“คุณแม่จะพูดตรงๆ ไม่เข้าข้าง อันไหนแม่ไม่เห็นด้วยก็จะบอกตรงๆ สามารถดีเบต แลกเปลี่ยนความคิดกันได้ คุณแม่มีความคิดของท่าน ก้อยก็มีความคิดของก้อย เราแชร์กันได้ แต่ก้อยจะเชื่อหรือไม่ก็ไม่เป็นไร ซึ่งบางครั้ง
อาจจะดูเหมือนก้อยไม่ฟังนะ แต่จริงๆเก็บมาคิดตลอดค่ะ

“แต่ถ้าถามว่ามีเรื่องที่ประทับใจพิเศษที่สุดไหม จริงๆคือทั้งชีวิตค่ะ (ยิ้ม) อย่างล่าสุดที่ก้อยเจอกระแสดราม่าหนัก ๆมา ก็เข้าใจว่าพอถึงจุดหนึ่งที่เรามีชื่อเสียง ก็มีทั้งคนที่ชื่นชอบและคนที่ไม่ชอบ คนที่ไม่รู้จักตัวตนของเราจริงๆ
ซึ่งก้อยรู้สึกว่าทุกครั้งที่หันไปเห็นคุณแม่ยืนอยู่ข้างๆ เห็นเพื่อนฝูง คนรัก มันทำให้เรามีกำลังใจขึ้นมาจริงๆ ซึ่งตรงนี้เป็นการซัพพอร์ตทางใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับก้อยค่ะ

“บางครั้งแค่คุณแม่เห็นหน้าก้อยก็เข้าใจเลย โดยที่หนูไม่ต้องพูดอะไร ถ้ามีอะไรที่ผิดพลาดมา คุณแม่จะให้ก้อยคิดว่าสิ่งที่ทำไปคืออะไร  จุดไหนที่ผิดก็ต้องยอมรับ  แต่ที่สุดแล้วคุณแม่จะเชื่อในจุดยืนของก้อย  เชื่อว่าก้อยจะคิดเองได้”

ช่วงที่มีกระแสข่าวด้านลบ ดราม่าต่าง ๆ คุณแม่รู้สึกอย่างไรคะ

คุณแม่ “ยอมรับว่าในฐานะแม่ก็มีคิด มีเครียดบ้าง แต่แม่ก็เข้าใจว่าการทำงานตรงนี้มีทั้งคนรักและคนเกลียดเป็นธรรมดา ก็บอกลูกว่าเดี๋ยวมันก็ผ่านไป ไม่มีอะไรอยู่กับเราตลอด”

ก้อยเสริม “หลักๆคือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แม่จะบอกให้ก้อยกลับมาคิดว่าสิ่งที่ทำไป เจตนาเราคืออะไร เราผิดขนาดไหน อะไรที่พลาดไปบ้าง และถ้าเราได้คำตอบว่าเราพลาดตรงนี้ ก็ควรปรับปรุงให้ดีขึ้น เพื่อเป็น Best Version ของเราต่อไป

“แต่ถ้าคนด่าเพราะเขาไม่ชอบตัวตนบางอย่างของเรา แต่สิ่งนั้นไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน ก้อยก็มองว่าไม่ได้มีความจำเป็นที่เราต้องเก็บมาคิด ซึ่งก้อยจะแชร์เรื่องพวกนี้กับแม่ตลอด เพราะจริงๆก้อยก็กลัวคุณแม่เห็นข่าวแล้วจะเครียด
เหมือนกัน เพราะความที่แคร์หนูมากๆ หนูจึงอยากขอบคุณแม่มากๆค่ะที่เข้าใจลูกในทุกช่วงชีวิต ทำให้หนูอุ่นใจว่าไม่ว่าจะเจออะไร คุณแม่ก็จะอยู่ตรงนี้เพื่อหนู

“ขอบคุณมากๆที่คุณแม่ทำให้หนูมีแรงทำสิ่งต่างๆในทุกวันค่ะ”


ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 973

Praew Recommend

keyboard_arrow_up