“เมื่อคุณต้องรับบทผู้นำ จงนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงที่คุณอยากเห็นบนโลกนี้” คือโคทคำพูดของ เจมส์ ดูอัน (Jame Duan) ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.เฟรเกรนท์ พร็อพเพอร์ตี้ ที่แปะไว้บนเว็บไซต์ www.fragrantproperty.com
ประสบการณ์คือแรงผลักดันให้หนุ่มเมียนมาร์ผู้ไม่ชอบตีกรอบให้ตัวเองคนนี้กลายเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ
ทว่าสิ่งที่แพรวเลือกโฟกัส เจมส์ ดูอัน คือ ‘เชื้อดี’ ที่เขามีอยู่ในตัวตน เมื่อผสมกับความกล้าตัดสินใจโดยไม่ยี่หระกับความล้มเหลวนานัปที่พบเจอ ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่คุณควรจะได้เรียนรู้จากเขา
ทราบว่ามีแววนักธุรกิจมาตั้งแต่เด็กๆ
จะว่าอย่างนั้นก็ไม่ผิดครับ ผมเกิดในครอบครัวใหญ่ ฐานะปานกลาง เดิมคุณพ่อเป็นวิศวกร เเต่งงานกับภรรยาคนจีน มีลูก 5 คน แต่ในช่วงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกเกณฑ์ไปเป็นทหารที่พม่า พอหลังสงครามยุติกลับเมืองจีนไม่ได้ จึงตั้งรกรากอยู่พม่าแล้วแต่งงานใหม่กับคุณแม่ ซึ่งเป็นคนจีนที่ไปค้าขายอยู่ที่นั่น
คุณแม่มีอาชีพปล่อยเงินกู้ให้เกษตรกร พร้อมทั้งขายผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร มีพื้นที่สำหรับให้ชาวบ้านเช่าขายของในตลาด ผมเป็นลูกคนสุดท้องในจำนวนทั้งหมด 9 คน คุณพ่อจึงค่อนข้างตามใจ อยากได้อะไรก็ได้ แต่สิ่งที่ท่านขอคือเรื่องภาษา ตั้งแต่เกิดจนถึงอายุ 15 ปี ผมพูดภาษาพม่าแทบไม่ได้เลย เพราะคุณพ่อเน้นให้เรียนภาษาจีนมาตลอด
ส่วนคุณแม่ค่อนข้างเข้มงวด ท่านสอนว่าถ้าอยากได้อะไรต้องหามาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ยังจำได้ตอนอายุ 12 ปี ผมอยากลองค้าขายเองบ้างจึงขอทุนมา 5,000 (ประมาณ 15,000 บาท) ทั้งที่ที่บ้านเป็นแหล่งขายข้าวกับพืชผลทางการเกษตรรายใหญ่ แต่คุณแม่ไม่ให้เอาไปขาย ผมจึงต้องไปตระเวนหาซื้อข้าวสารจากพ่อค้าคนกลาง เพื่อเอาไปขายให้ชาวบ้าน
แล้วขาดทุนหรือกำไรคะ
สรุปได้กำไรมา 2,500 จ๊าด ซึ่งสมัยนั้นถือว่าเยอะ ตอนนั้นเลยคิดว่าถ้าเรียนจบคงใช้ชีวิตอยู่ที่พม่าช่วยครอบครัวทำธุรกิจนี่แหละ แต่พม่าเกิดเหตุการณ์ประท้วงครั้งใหญ่ มหาวิทยาลัยถูกปิด มีคำสั่งห้ามเรียนหนังสือ ทางบ้านจึงส่งผมไปอยู่กับญาติที่ยูนนานประเทศจีน
ช่วงปี 1989 จีนยังเป็นคอมมิวนิสต์สุดๆ ชุดนักเรียนต้องเป็นสีเขียว ประเทศยังยากจนมาก ดูจากพี่สาวผมที่เป็นผู้อำนวยการโรงงานผลิตรองเท้าของรัฐบาล ซึ่งมีขนาดใหญ่มาก ผลิตรองเท้า 9 ล้านคู่ต่อเดือน แต่ได้เงินเดือนแค่ 65 หยวน โชคดีว่าค่าครองชีพต่ำมาก ราคาแชมเปญ 1 ขวดไม่ถึง 1 หยวน ผมพกเงินติดตัวไป 4,000 หยวนจึงถือว่าเป็นเศรษฐี(หัวเราะ)
จัดว่ามือเติบเลยหรือเปล่าคะ
(หัวเราะ) ไม่มีโอกาสครับ เพราะคุณน้าที่ไปอยู่ด้วยเขาค่อนข้างเข้มงวด จึงไม่มีสิทธิ์เกเร ชีวิตตอนนั้นเป็นรูทีนเป๊ะๆ ตื่นเช้ามาเรียนหนังสือ ตกเย็นเตะฟุตบอล วันเสาร์-อาทิตย์เรียนพิเศษ และเพราะกรอบพวกนี้ที่ทำให้ผมฝืนเรียนอยู่ได้แค่ประมาณปีกว่าก็ลาออก แล้วบินมาไทยเพื่อทำเรื่องขอไปเรียนต่อที่ไต้หวัน โดยมาพักอยู่กับพี่ชาย ซึ่งมาตั้งรกรากอยู่เมืองไทยนานแล้ว
แต่ผมมาไทยได้ไม่ถึงเดือน เรื่องที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น พี่ชายประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เสียชีวิต ตอนนั้นรู้สึกเคว้งอย่างบอกไม่ถูก นอกจากเสียใจที่พี่ชายที่รักมากจากไป ผมยังไม่รู้จักใครที่นี่เลย
ตอนนั้นมี 3 ทางให้เลือกคือกลับไปช่วยที่บ้านทำธุรกิจที่พม่า สองคือขอเงินแม่แล้วเรียนต่อ หรือสามอยู่ที่เมืองไทย ซึ่งผมเลือกข้อสุดท้าย คิดว่าไหนๆ ก็ออกจากบ้านมาแล้ว ต้องอยู่ด้วยตัวเองให้ได้ ต้องหาเงินไปเรียนต่อเอง ความจริงถ้าออกปากขอเงินคุณแม่ ท่านก็คงให้อยู่แล้ว แต่ไม่อยากรบกวน อยากยืนหยัดด้วยตัวเอง
โดดเดี่ยวในเมืองไทยต้องปรับตัวอย่างไรบ้างคะ
เยอะเลยครับ ผมมาอยู่เมืองไทยตอนอายุ 18 ปี ด้วยความที่มีเงินไม่มาก จึงไปเช่าห้องเล็กๆ อยู่แถววังบูรพา พร้อมกันก็คิดว่าเมื่อตั้งใจจะอยู่เมืองไทย สิ่งแรกที่ผมต้องรู้และเข้าใจให้ได้คือภาษาไทย ซึ่งผมไม่มีพื้นเลย
วิธีฝึกของผมคือทุกครั้งที่มีการถ่ายทอดสดการประชุมสภา ผมจะอัดเป็นวิดีโอไว้แล้วมาเปิดดู เพื่อฝึกพูดก่อนนอนทุกคืน เพราะคิดว่าเป็นทางเดียวที่จะได้ศึกษาเรื่องกฎหมาย นโยบายต่างๆ ของรัฐบาลเพื่อให้เข้าใจเมืองไทยมากขึ้น พร้อมกับได้ฝึกพูดไปด้วย
ส่วนเรื่องหาเงินเลี้ยงชีพ ช่วงแรกผมเริ่มจากรับสอนพิเศษภาษาจีนก่อน มีคนมาจ้างให้ไปสอนลูกคนรวย ผมเลยย้ายไปอยู่ที่บ้านเขา แต่โชคร้ายเจอเด็กไม่ตั้งใจเรียน ผมทนทำอยู่ 2 เดือนกว่าก็เลิก พอดีมีโอกาสรู้จักเถ้าแก่ชาวสิงคโปร์ เขาชวนให้ไปทำงานขายเครื่องใช้ไฟฟ้า ผมเลยย้ายไปเช่าหอพักอยู่กับเพื่อนร่วมงานคนไทย 4 คน ทำให้ได้ฝึกภาษาไทยทุกวัน จนพูดได้คล่อง
การขายเครื่องใช้ไฟฟ้ายังทำให้ผมได้ทักษะด้านการเจรจาต่อรอง ผมบอกกับเถ้าแก่ว่า คุณต้องการยอดเท่าไหร่ ผมจะทำให้ 3 เท่า ตอนนั้นผมได้เงินเดือน 18,000 บาท ยังไม่รวมค่าคอมมิชชั่น จัดเป็นพนักงานที่ขายของได้เยอะที่สุด ทำอยู่ครึ่งปีผมก็ได้เป็นผู้จัดการแล้ว ผ่านไป 2 ปีมีเงินเก็บ 6 แสนบาท จึงตัดสินใจลาออกมาทำธุรกิจของตัวเอง
ทำเกี่ยวกับอะไรคะ
เปิดร้านขายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่อุดรธานีครับ ผมทำตามคำแนะนำของเถ้าแก่ที่เชียร์ให้มีธุรกิจของตัวเอง เขาบอกว่าควรเริ่มที่ตลาดต่างจังหวัด เพราะกรุงเทพฯการแข่งขันสูง ปรากฏว่าจริงตามนั้น ธุรกิจผมไปได้ดี จึงค่อยๆ เพิ่มทีม ขยายสาขาไปเรื่อยๆ
ความที่ไม่ชอบหยุดนิ่ง จึงนำเงินไปลงทุนทำบริษัทเทรดดิ้งที่ฮ่องกง นำเข้าสินค้ามาไทยเพื่อส่งไปขายที่พม่า แล้วก็ไปเทคโอเวอร์โรงงานผลิตไม้ที่อินโดนีเซีย 3 แห่ง จังหวะนั้นตรงกับเมืองจีนเกิดน้ำท่วมครั้งใหญ่พอดี รัฐบาลสั่งห้ามไม่ให้มีการตัดไม้ จึงต้องอิมพอร์ตไม้จากต่างประเทศ ซึ่งส่งผลดีกับธุรกิจผม เพราะค้าขายได้ราคาดีมาก
ผมว่าตัวเองโชคดีตรงที่พูดภาษาจีนได้ คอนเน็กชั่นต่างๆ ที่ผมได้มานั้นล้วนมาจากภาษาจีน ไม่ใช่จากการบริหารหรือยุทธศาสตร์อะไรเลย
ตอนนั้นยอมรับว่ามีอีโก้สูง เพราะคิดว่าเราเก่ง อายุแค่ยี่สิบกว่ามีเงินเก็บหลายสิบล้านบาท ทุกอย่างกำลังไปได้สวย จนมาถึงจุดเปลี่ยน เมื่อต้องเจอกับวิกฤติการเงินปี’40
ยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าน้อยลงเรื่อยๆ ทำให้ผมไม่มีเงินก้อนไปหมุนในธุรกิจต่างๆ แล้วเป็นช่วงจังหวะเดียวกับที่คุณแม่ไม่สบายต้องมารักษาตัวที่เมืองไทย แต่ผมแทบไม่มีเวลาอยู่กับท่าน เพราะต้องจัดการกับปัญหาการเงินที่อยู่ๆ ก็พลิกจากกำไรกลายเป็นหนี้สินถึง 40 ล้านบาท จนวินาทีที่รู้ว่าท่านเสียชีวิตแล้ว
คุณรับมือกับมรสุมที่ประเดประดังด้วยวิธีไหนคะ
ณ ตอนนั้นผมเสียใจมาก เสียศูนย์ ไม่รู้ว่าจะทำต่อไปเพื่ออะไร เป็นหนี้สิน 40 ล้านโดยไม่ทันตั้งตัว แล้วยังมาเสียคุณแม่อีก ด้านความรู้สึกพยายามบอกตัวเองว่า ท่านไปสบายแล้ว เราต้องก้าวเดินต่อไปให้ได้ เพราะที่ผ่านมาคุณแม่นี่แหละที่สอนว่าเกิดเป็นคนต้องเข้มแข็ง
ช่วงนั้นผมกลับไปเยี่ยมญาติพี่น้องที่พม่า การได้อยู่กับครอบครัวทำให้ผมหายเศร้าลงไปได้เยอะ ส่วนเรื่องหนี้สินผมตัดสินใจขายโรงงานที่อินโดนีเซีย เพื่อนำเงินไปสร้างโรงงานที่พม่าให้เสร็จ โชคร้ายอีกว่าพม่าโดนอเมริกาคว่ำบาตร โรงงานในพม่าส่วนใหญ่ต้องย้ายฐานไปเวียดนาม แต่ผมไม่มีทุนเหลือแล้ว สุดท้ายจึงตัดใจขายโรงงานทิ้งไปแบบถูกๆ ต่อด้วยขายธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าเพื่อใช้หนี้ให้หมด
ท้อไหมคะ
ผมว่าของแบบนี้อยู่ที่มุมมอง สำหรับผมไม่เคยคิดว่ามีช่วงไหนที่ชีวิตลำบาก จึงไม่เคยมองว่าช่วงไหนคือช่วงที่ท้อแท้ เหมือนกับที่จนถึงวันนี้ ผมก็ไม่เคยบอกใครว่าผมมีความสุขหรือประสบความสำเร็จ ผมโฟกัสในสิ่งที่ต้องทำ ณ ปัจจุบันมากกว่า ผมแค่พยายามทำหน้าที่เท่าที่ทำได้ เหนื่อยก็พัก สิ่งที่จะทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองลำบากที่สุดคือการไม่ได้ทำอะไรต่างหาก (หัวเราะ)
อย่างช่วงที่ขายธุรกิจใช้หนี้ไปแล้ว ผมก็ไม่ต่างอะไรกับคนตกงาน จู่ๆ งานก็ไม่มีทำ ออฟฟิศก็ไม่ต้องไป อยู่บ้านเฉยๆ ซึ่งผมไม่ชินกับวิถีชีวิตแบบนี้ จึงรู้สึกหงุดหงิด
พอตื่นมาไม่รู้จะทำอะไรจึงใส่สูทผูกไท แต่งชุดทำงาน แล้วออกจากบ้านเก้าโมงเช้า เพื่อไปนั่งอ่านหนังสือในร้านกาแฟ พอถึงห้าโมงเย็นก็กลับบ้าน จนพนักงานที่ร้านแซวว่า ‘เลิกงานแล้วหรือคะ’ หรือไม่ก็ไปออกกำลังกายวันละ 4 ชั่วโมง รู้สึกว่าการทำให้ตัวเองเหนื่อยแล้วโอเคขึ้น
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมไม่เครียดเพราะคิดเสมอว่า ในเมื่อเรามาจากศูนย์ อย่างเก่งที่สุดก็กลับไปที่เดิม จะเครียดทำไม แต่คนที่เครียดกลับเป็นครอบครัว เพราะเขากลัวผมเครียด (หัวเราะ) ผมต้องคอยให้กำลังใจพวกเขาว่า …
เดี๋ยวผมก็ฟื้นขึ้นมาใหม่ได้
ติดตามวิธีการสู้ชีวิตของเขา กดเลข 2