เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเจริญพระชนมมายุ 88 พรรษาแพรวดอทคอมขอรวบรวมความรู้สึกของ8 คนดังที่เคยให้ข้อคิดไว้ในคอลัมน์’คำพ่อสอน’ เกี่ยวกับการเดินตามรอยเท้าพ่อการนำพระบรมราโชวาทและสิ่งที่ทรงทำให้เห็นเป็นตัวอย่างมาใช้ในชีวิตดังนี้
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
“ผมบอกกับกำลังพลอยู่เสมอว่าทุกครั้งที่ปฏิบัติภารกิจขอให้ยึดผลประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตัวและเมื่อเกิดความท้อแท้หรือไม่สบายใจขอให้ทบทวนว่าเราทำงานเพื่ออะไรหากนึกไม่ออกให้นึกถึงชาติศาสนาพระมหากษัตริย์มองไปที่พระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้วคุณจะรู้ว่ามีอะไรมากมายต้องทำและให้ฝังในหัวใจว่า…
“ตราบใดที่เป็นทหารขอให้ยึดความจงรักภักดีไปจนกว่าตัวจะตาย”
ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล
เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา
“สังคมปัจจุบันเป็นสังคมบริโภคนิยม วัตถุนิยม กิเลสตัณหาที่อยู่รอบๆ ทําให้สติไม่อยู่กับตัว จากที่เห็นในข่าวทุกวัน เดี๋ยวบุกรุกป่า ทําให้หนอง คลอง บึง สิ้นสภาพ เรากําลังทําลายชีวิตตัวเองทุกวัน พระเจ้าอยู่หัวก็ต้องตามไปบําบัดให้ดู กลายเป็นหน้าที่ของพระเจ้าอยู่หัว ส่วนพวกเรามีหน้าที่นั่งดู ไม่ทําอะไร แล้วค่อยมาปลื้มพระองค์ ผมจึงอยากชักจูงคนไทยให้กลับมามองในสิ่งที่พระองค์ทรงทํา และศึกษาให้ลึกซึ้งเพราะทุกตัวอย่าง ทุกคําสอนตลอดระยะเวลากว่า 60 ปีนั้น สามารถทําได้ในภาคปฏิบัติ และเราสมควรจะต้องทําด้วย
“เพื่อรักษาแผ่นดินต่อเนื่องไปยังลูกหลาน”
บัณฑูร ล่ำซำ
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน)
“สิ่งที่ผมเห็นและเรียนรู้จากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว คือทุกคนต้องทำหน้าที่ ยิ่งมีตำแหน่งสูง ยิ่งต้องมีความอดทนในการทำหน้าที่ เพราะเมื่อมีเรื่องต้องทำมาก ก็ย่อมมีอุปสรรคมาก จึงยิ่งต้องทำอย่างไม่ย่อท้อ พูดง่ายๆ คือไม่ได้เกิดมาเพื่ออยู่สบายๆ ใช้อำนาจ หรือเที่ยวสนุกไปวันๆ แต่ต้องใช้อำนาจ ทรัพย์ สติปัญญา ที่ได้เปรียบเหนือกว่าคนอื่น ไปมุ่งมั่นทำสิ่งที่เกิดประโยชน์กับคนหมู่มาก
“เพราะนี่คือสิ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทำมาโดยตลอด”
อาทิวราห์ คงมาลัย
นักร้อง และนักดนตรี
“เวลาเห็นพระบรมฉายาลักษณ์ขณะทรงงานแล้วมีพระเสโท(เหงื่อ) ไหลหยดจากปลายพระนาสิก(จมูก) ทีไร ผมรู้สึกเหมือนได้แรงบันดาลใจที่จะทำเพื่อคนอื่นบ้าง เพราะตั้งแต่เกิดมาเราทำทุกอย่างเพื่อครอบครัว เพื่อความฝันของตัวเอง ไม่ได้ทำเพื่อคนอื่นเลย ขณะที่พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นถึงพระมหากษัตริย์ แต่ทรงเลือกที่จะออกมาทรงงานหนักตลอดพระชนม์ชีพเพื่อพสกนิกรของพระองค์กว่า 60 ล้านคน
“ฉะนั้นเราไม่ควรเหนื่อย ท้อ หรือยอมแพ้อะไรง่ายๆ”
สุพรทิพย์ ช่วงรังษี
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทิปปี้ จำกัด
“ดิฉันมีเพื่อนหลายคน บางคนทำงานหนักจนไม่มีเวลาหยุดชื่นชมความสุขระหว่างทาง ไม่มีเวลาดูแลตัวเอง หรือแม้แต่ไปหาหมอตรวจสุขภาพ แล้วสุดท้ายวันนี้เพื่อนคนหนึ่งป่วยเป็นมะเร็ง เงินที่หามาเยอะแยะก็ไม่ได้ใช้ ทำให้ดิฉันนึกถึงคำสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเรื่องความพอดี พอเพียง รู้สึกดีใจจังเลยที่เราเดินตามรอยพระองค์ท่าน ผู้ที่มีทุกสิ่งอย่างที่พึงมีได้ แต่พระองค์ท่านก็ยังทรงสอนให้เราเห็นและเดินอีกทาง โดยทรงพิสูจน์ให้เห็นว่า ชีวิตที่ดำเนินตามครรลองที่ควรจะเป็น โดยมีความพอดีนั้นเป็นอย่างไร”
พันตรี นพ.สรวิชญ์ สุบุญ
แพทย์ตรวจรักษาสำนักงานแพทย์ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
“พระราชดำรัสของพระเจ้าอยู่หัวที่ผมเห็นชัดที่สุดและพยายามทำให้ได้คือ ทรงสอนให้ปิดทองหลังพระ จะมีคนเห็นหรือไม่ ไม่ต้องสนใจ ปิดไปเรื่อยๆ แล้วทองก็จะล้นมาที่หน้าองค์พระเอง ซึ่งก่อนหน้านั้นผม คิดแค่ว่าทำความดีก็อยากให้คนอื่นชื่นชอบ ทำให้มีกำลังใจ และรู้สึกว่าตัวเองเป็นฮีโร่ แต่พระเจ้าอยู่หัวไม่ทรงเคยเรียกร้องอะไรเลย ทรงทำความดีทุกวัน จนความดีเหล่านั้นปรากฏให้ประชาชนได้เห็นเอง”
ทรงยศ สุขมากอนันต์
ผู้กำกับภาพยนตร์
“ผมเติบโตมาในยุคที่ได้เห็นพระเจ้าอยู่หัวทรงงาน และเสด็จพระราชดําเนินตามถิ่นทุรกันดาร สําหรับผมแล้ว จึงไม่ใช่ว่าผมรักในหลวง เพราะทรงเป็นพระมหากษัตริย์ แต่รักเพราะพระองค์ท่านทรงงานอย่างหนักเพื่อประชาชน โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดําริมากกว่า 4,000 โครงการที่พระองค์ทรงทําเพื่อประชาชน ล้วนพิสูจน์ว่าพระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานด้วยพระวิริยอุตสาหะ จริงๆ”
สมบัติ บัญชาเมฆ
นักมวยไทย
“วันที่ผมประสบปัญหาครั้งใหญ่ในชีวิต เรียกว่าโดนหมัดเต็มๆ ทั้งซ้ายและขวา จนมานั่งทุกข์ว่า ทำไมเราต้องโดนขนาดนี้ เมื่อเป็นปัญหามากนัก ผมจึงตัดสินใจเลิกทำในสิ่งที่ตัวเองรักที่สุดในชีวิต ซึ่งก็ทำให้ทุกข์ขึ้นอีก แต่พอนึกถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปัญหามากมายหนักหนาแค่ไหนพระองค์ไม่เคยทรงท้อ และยังทรงเสียสละเพื่อประชาชน ทำให้ผมคิดได้ว่า เรื่องของผมจิ๊บจ๊อย แล้วทำไมจึงไม่สู้”
เรื่อง : กิดานันท์ สุดเสน่หา
ภาพ : นิตยสารแพรว