ชีวิตมนุษย์แม่ แฟมิลี่ ‘มีสุข’ ฟูมฟัก ‘น้องนามรูป’ ด้วยอุ่นไอรัก

kai12หลังจากที่รายการผู้หญิงถึงผู้หญิงเปลี่ยนรูปแบบไป ยังได้เจอพี่กาละแมร์ พี่ปุ้ยอยู่บ้างไหม

แม่ไก่ มีสุข : ใช่ค่ะ ตอนนี้ย้ายไปอยู่ช่องสามแฟมิลี่แล้ว ส่วนเพื่อนๆ ที่เคยทำด้วยกันไม่ค่อยมีเวลาได้เจอเลยค่ะ เพราะตอนนี้พี่ไก่ทำงาน เลี้ยงลูก ไลฟ์สไตล์ไม่เหมือนก่อนที่เป็นสาวโสดที่ทำงานเสร็จไปกินข้าวกัน ทำกิจกรรมร่วมกันโน่นนี่นั่น เพื่อนก็จะรู้ อย่างพี่ปุ้ยก็งานยุ่ง แมร์เขาก็มีรายการของเขา จากเดิมที่ด้วยกันเวลาก็ไม่ค่อยจะมี ยิ่งตอนนี้ต่างคนต่าวแยกย้ายไปรับงานมันเลยยิ่งไปกันใหญ่

พูดแบบนี้แสดงว่าแต่งงานแล้วชีวิตเปลี่ยนเลยทันที

แม่ไก่ มีสุข : ถูกต้องเลยค่ะ เปลี่ยนเลย ตอนนี้พี่ทำรายการเช้าทุกวัน และพิธีกรอีเว้นท์ พอเสร็จจากงานก็จะให้เวลากับลูกเต็มที่ คือพี่จะนอนกับลูกตลอด สองทุ่มเป็นเวลาของเขาเลย แต่มีเหมือนกันที่พี่ไปรับงานต่างจังหวัด และไม่ได้นอนกับลูก แต่จะแค่เดือนละหนค่ะ

kai-1เป็นคุณแม่ที่ติดลูกหนึบด้วยหรือเปล่า

แม่ไก่ มีสุข : พี่ให้เวลาเขาค่ะ บอกกับตัวเองและทุกคนเลยว่า ช่วง 0-3ขวบขออยู่กับเขา เพราะพอเริ่มท้องก็อ่านข้อมูล ก่อนหน้านี้ตอนอายุประมาณ 30 เริ่มตกตะกอนตัวเองว่าเรายังไม่พร้อมจะเป็นแม่ เลยคิดว่าจะแต่งงานหรือไม่แต่งงานก็คงไม่มีลูก ถ้าแต่งคงเป็นคู่สามีภรรยาพากันไปเที่ยวรอบโลกมากกว่า และยิ่งมาเจอกับพี่คิม (สามี) ตอนที่พี่ไก่อายุ 39พี่คิมก็อายุมากกว่าพี่ไก่อีก มาแต่งงานกันตอนอายุเยอะแล้วด้วย เลยคิดว่าเราคงไม่มีลูกแล้วล่ะ แต่พี่ไก่ก็เคยรู้สึกว่ามันจะบาปไหมถ้ามีเขามารอเราเกิด แล้วไม่ให้เขามา พี่เลยปล่อยคิดไว้ว่าจะสัก 3 ครั้ง เขาก็มาเลยตั้งแต่ครั้งแรก คือมันไม่น่าเชื่อว่าอายุขนาดนี้จะมีลูกได้เพราะพี่ไก่กับพี่คิมอายุไม่น้อยแล้ว

พอรู้ว่าตั้งท้องน้องมีการเตรียมตัวอย่างไรบ้าง

แม่ไก่ มีสุข :  คือก่อนหน้านี้อย่างที่บอกพี่ไม่มีข้อมูลเรื่องการเป็นแม่เลย ไม่มีความสนใจเรื่องพื้นฐานตรงนี้ พอท้องเลยต้องเริ่มทำการบ้านให้ตัวเอง อ่าหนังสือทุกอย่าง มันเลยทำให้รู้ว่าช่วงวัยทองของลูกคือช่วงนี้แหละ 0-3 ขวบ อาจจะเลยขึ้นไปได้ถึง 6 ขวบ แต่ถ้าได้เลี้ยงลูกจริงๆ จะรู้เลยว่าช่วง 0-3ขวบนี่เขารู้เรื่องนะทั้งที่เขายังพูดไม่ได้ เขาแสดงอะไรออกมาให้เราเซอร์ไพรส์ได้ตลอด แค่ยังพูดไม่ได้เท่านั้นเอง และจริงอย่างที่ข้อมูลบอกหมดเลย อย่างแวลาที่พ่อแม่หัวเราะร้องเพลง เขาก็จะอารมณ์ดี

kai15แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราคุยเรื่องงานเครียดกันก็จะต้องเปลี่ยนโหมด เพราะมันจะมีผลกับเขาด้วย และพี่ไก่เป็นคนอารมณ์ดีอยู่แล้ว เราเลยพยายามจะพูดดี ไม่เครียด มันเลยส่งผลให้ตอนนี้นามรูปเป็นเด็กอารมณ์ดีมาก ยิ้มง่าย นอนง่าย ไม่ป่วย และเขาเป็นเด็กที่ล้มตลอด เขาก็จะให้ลุกเอง เพราะที่ผ่านมาตั้งแต่เลี้ยงที่บ้าน พี่จะปล่อยให้เขาล้มเอง ลุกเองและค่อยสอนเขาว่าลูกเห็นไหมว่าล้ม ลูกต้องค่อยๆ เดินช้าๆ (น้ำเสียงอ่อนโยน) พี่จะปล่อยให้เขาใช้ความพยายามลุกขึ้นมาเอง เขาเลยเป็นเด็กที่ไม่งอแง สามารถช่วยเหลือตัวเองได้บ้าง

ตั้งใจเลี้ยงแบบนี้ด้วยอยู่แล้วใช่ไหม

แม่ไก่ มีสุข : ตั้งใจเลี้ยงเขาให้ง่ายที่สุดเท่าที่มนุษย์คนหนึ่งจะต้องปรับตัวให้อยู่กับโลกใบนี้ให้ได้มากกว่าค่ะ คือถ้าเราไปบังคับมากว่านั้นก็ไม่ได้ นี่ก็ไม่ได้ ไม่ให้ทำ สกปรกลูกห้ามๆ พี่มองว่าเขาจะถูกจำกัดการแสดงออก พัฒนาการของเขาก็จะช้า พี่ไก่เลยคิดว่าจะปล่อยเขา ส่วนอะไรที่อันตราย ไม่ปลอดภัย เราเซฟอยู่แล้ว เพราะพี่เองจะอยู่กับลูกตลอด

kai6ใส่ใจเรื่องการเลี้ยงลูกขนาดนี้ มีการแบ่งหน้าที่กับสามีอย่างไรบ้าง

แม่ไก่ มีสุข : พี่ถือว่าเป็นคนโชคดีนะที่มีพี่เลี้ยงดี มีสามีที่ดีมาก เราตกลงกันเลยว่าถ้าช่วงเช้าที่พี่ไก่มีงาน เขาก็จะอยู่ดูลูกกับพี่เลี้ยง บ่ายไปแล้วพี่คิมก็รับงานได้ แต่ถ้าเกิดงานชนกัน ก็จะมาเลือกกว่าจะรับงานของใคร เราจะไม่ทิ้งให้ลูกอยู่คนเดียวเลย ถามว่าเคยมีไหมก็เคยแต่น้อยมากที่เคยให้เขาอยู่กับพี่เลี้ยงสองคน แค่สองครั้งเอง แต่จริงๆ เรื่องนี้ไม่ได้ว่าเป็นห่วงเรื่องการดูแลของพี่เลี้ยงนะคะ แต่พี่คิดว่าถ้าเราอยู่กับลูก เราจะสามารถช่วยเขาเรียนรู้ได้ พี่ไก่อยู่กับลูกแต่ไม่เคยปล่อยให้เขาคลานคนเดียว และตัวเองเอาแต่นั่งเล่นโทรศัพท์เลยนะ พี่จะเล่นกับเขา ร้องเพลง เวลาให้เขากินนมก็จ้องตาคุยกับเขาให้เขารับรู้ ส่งสัญญาณสื่อสารทุกอย่าง เล่นบ่อบอล นับเลข เล่านิทาน ร้องเพลง สอนเต้น ทำทุกอย่างเลยค่ะ

kai7
ตอนนี้น้องเริ่มโตแล้ว อยากให้ช่วยเล่าย้อนกลับไปวินาทีแรกที่เห็นหน้าเขา รู้สึกอย่างไรบ้าง
แม่ไก่ มีสุข : อุ๋ยย แก้มเยอะเหมือนเราจริงๆ (หัวเราะ) เห็นครั้งแรกแบบ โอ้…… แก้มมาเต็มเลย ใช่เลย และมีความรู้สึกว่าแบบ เรามาถึงจุดนี้ได้ยังไง มันเป็นการเดินทางในชีวิตตัวเองที่เซอร์ไพรส์ที่สุดแล้ว

แล้วชื่อน้อง “นามรูป” ใครเป็นคนตั้งให้

แม่ไก่ มีสุข : พี่ไก่คิดและปรึกษาพ่อคิมด้วย ตอนแรกคุณพ่อมั่นใจมากว่าจะได้ลูกชายเลยตั้งแต่ชื่อผู้ชายไว้ พอมารู้ว่าเป็นลูกสาวก็มาคิดว่าจะเอาชื่ออะไรดี เพราะพี่ไก่เองชื่อมีสุข ไม่เคยมีใครถามเลยว่าแปลว่าอะไรเพราะมันตรงตัวอยู่แล้ว เลยอยากตั้งใจตั้งชื่อเขา ให้เขาได้ถูกถามบ้างว่าชื่อเขาแปลว่าอะไร พี่เลยมองว่าน่าจะเอาธรรมะมาตั้งเป็นชื่อ ตอนแรกก็คิดไม่ออกหรอก เลยนั่งสมาธิมีอยู่วันนึงก็นอนหลับตาท้องโย้อยู่เลยหายใจก็ไม่ค่อยออก อยู่ๆ ชื่อนี้มันก็ขึ้นมาเลย

kai3

นามรูปคือ หนึ่งใน 12รอบวงจรของจิต คือสิ่งที่เป็นสังขาร วิญญาณ เวทนา รูปก็คือ ดิน น้ำลมไฟ หรือเข้าใจง่ายๆ คือจิตกับกาย นี่แหละคือนามกับรูป

ช่วงนี้น้องเริ่มพูดคำว่าแม่ ได้บ้างหรือยัง

แม่ไก่ มีสุข : ได้แต่คำว่า หม่ะ ๆ เริ่มพูดเป็นคำๆ ค่ะ ครั้งแรกที่พี่ได้ยินจำได้ว่าไม่ชัดแต่ได้ยินว่าเขาพูดคำนี้ และเราดันไม่สนใจว่าเขาเรียกเราหรือเปล่า พี่ก็ตื่นเต้นมากนะ ว่าโหพูดได้แล้วหรอลูก มันเหมือนแบบ……คือดีใจผสมตกใจ จากเด็กแบเบาะ อยู่ๆ วันนึงก็มาเรียกเราว่าแหม่ะๆ เขารู้เรื่องแล้วนี่ (แม่ไก่ยิ้มตาเป็นประกายมาก)

ทุ่มเทให้ลูกทุกอย่างขนาดนี้ ทำให้ชีวิตคู่สามี ภรรยาหวานน้อยลงบ้างหรือเปล่า

แม่ไก่ มีสุข : (หัวเราะ) น้อยลงในแง่ของการสัมผัสค่ะ เพราะปกติเราจะหอมกันทุกวันเดินจับมือเหมือนมีกันสองคนอยู่บนโลกใบนี้ แต่พอมีลูกคือเราสลับกันดูลูกอ่ะค่ะ คุณพ่อชงนม คุณแม่พามากล่อมนอน ทางกายเลยไม่ค่อยได้สัมผัสกัน แต่ไปลงกับลูกแทน ต่างคนก็ต่างระดมไปหอมลูก แต่เราสองคนยังติดกันเป็นปาท่องโก๋เหมือนเดิมนะ เป็นคู่ที่ตั้งแต่แต่งงานเราไม่เคยแยกกันทำอะไรเลยสักอย่างค่ะ แม้แต่งานบางอย่างที่เป็นความคิดร่วมกันงานเขาหรืองานเรา ก็จะช่วยกันปรึกษาแก้ปัญหาถามกันก่อน เราจะไม่ตัดสินใจไปเองคนเดียวโดยที่ไม่ปรึกษาอีกคน ทั้งพี่คิมพี่ไก่เป็นเหมือนกัน ทุกคนที่ใกล้ชิดจะรู้ว่าพี่ไก่จะรอถามพ่อคิมก่อน พี่คิมก็จะรอถามแม่ไก่ก่อน

kai13พี่สองคนไม่ค่อยขาดเรื่องการสื่อสาร พอลูกหลับแล้วก็นั่งคุยกัน เออเป็นยังไง งานที่พ่อไปเจอมาเราจะคุยกันทุกวันค่ะ

พี่คิมหวงลูกสาวไหม
แม่ไก่ มีสุข : มากกกกกกกก คือหวงอยู่แล้ว แต่นี่เข้าข่ายว่ามาก คือชีวิตเราสองคนเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว ทั้งเรื่องการแต่งงานเพราะเราคบกันสองเดือนแรกก็คุยเรื่องนี้เลย และใช้เวลาอีกสองเดือนเตรียมงานแต่ง พออยู่ด้วยกันได้สี่เดือนก็ท้อง

kai4
ความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วของชีวิตพี่ไก่ เกิดจากอะไร ทำไมวันนั้นถึงตัดสินใจว่าจะแต่งกับผู้ชายคนนี้

แม่ไก่ มีสุข : อธิบายยากมากเลยค่ะ มันคงถึงเวลามั้งคะ คิดดูว่าผู้หญิงคนนึงอายุ 39 มันคงน้อยคนแล้วล่ะที่คิดว่าวัยนี้จะเป็นวัยที่สร้างครอบครัว มันเป็นวัยที่ทำงานๆ จนเราออยู่ในจุดที่อยู่ได้ด้วยตัวเองแล้ว เรามีทางของเราในการบริหารจัดการชีวิตเราแล้ว อยู่ๆ ก็มาแต่งงาน ณ เวลานั้นที่เราจะเลือกใครสักคนที่เราอยู่ได้ด้วยตัวเองแล้วเนี่ยะ พี่ไก่คิดว่าตัวเราเองก็น่าจะหนักแน่นพอที่จะมองด้วยความเป็นจริงมากกว่าใช้อารมณ์ตัดสินใจว่า ผู้ชายที่จะเข้ามาคนไหนที่ใช่จริงๆ เพราะผู้หญิงมันจะมีโหมดของอารมณ์มาใช้ในการตัดสินเยอะ แต่การใช้อารมณ์ตัดสินใจมันก็ถูกต้องที่สุดสำหรับความรักนะคะ แต่มันก็ย่อมมีปัญหา และด้วยในวันที่เรามั่นคงกับตัวเองมากๆ แล้ว เราก็จะคมพอที่จะเห็นใครสักคนที่จะเข้ามาเดินทางในชีวิตกับเรา มันเลยอธิบายไม่ถูก คือมันเป็นการเจอกัน ได้คุยกันมากและคุยทุกวัน แต่คุยกันสองเดือนเรารู้แล้วว่าใช่ไม่ใช่ จากที่เรารู้จักตัวเองก่อน มันเลยทำให้เรารู้จักคนอื่น

kai2
พระพุทธเจ้าเคยบอกไว้ว่าเมื่อเราฉลาดในวาระจิตของตัวเอง เราจะฉลาดในวาระจิตของผู้อื่น พี่ไก่ก็มาเข้าใจตรงจุดนี้แหละว่าเมื่อไหร่ที่เราลับเข้ามาดูจิตของตัวเอง ศึกษาค้นหาตัวเองจนเจออย่างเด่นชัดว่าเราเป็นแบบนี้ เราก็จะรู้เลยว่าใครคนที่เป็นธาตุเดียวกับเราโดยอัตโนมัติ ถามว่าไม่มีปัญหาเลยไหม คงไม่ใช่ พี่ไก่ไม่ได้เป็นคู่รักเหมือนในเทพนิยาย มันคือธรรมชาติ เราแต่งงานมีเรื่องให้คิด วางแผน มีเรื่องของปัญหาเป็นปกติ แต่ความที่โตทั้งคู่ทำให้รู้ว่าเมื่อไหร่ที่เกิดปัญหา อีกคนร้อนอีกคนก็ต้องเย็นสลับกันได้ ความเหมาะของอารมณ์ที่จะอยู่ในขั้นพีคสุดเนี่ยะมันควรจะอยู่ที่ขั้นไหน
เราจะคุยกันเสมอว่า พ่อรู้ไหมทำไมทำไมธรรมชาติให้ตาเรามีสองข้าง ให้หูมีสองหู ให้ตามีสองตา ทุกอย่างมีสองอย่างหมดเลย เพราะเมื่อไหร่ที่ข้างไหนใช้การไม่ได้มันยังมีอีกข้างมาช่วยทดแทน แต่ปากเวลาที่มันเสียไปแล้ว เราพูดไม่ดี พูดคำที่ไม่ดี มันไม่มีปากไหนให้แก้นะ ธรรมชาติสอนให้เราคิดก่อนพูด ไม่ว่าเราจะเป็นคู่รัก เพื่อน ยิ่งคนที่สนิทกันยิ่งต้องระวังคำพูดมากๆ เพราะฉะนั้นเมื่อไหร่ที่เรามีอารมณ์ที่จะทะเลาะกัน ก็จะต้องระวังกันให้มากๆ

kai11
ท่าทางพี่ไก่น่าจะใจเย็นมากกว่าพี่คิมหรือเปล่า

แม่ไก่ มีสุข : อืมมม….ก็ใจเย็นลงขึ้นเยอะ เป็นเมื่อสิบปีก่อน ก็ปี๊ดป๊าดเหมือนกัน แต่ต้องขอบคุณธรรมมะจริงๆ ที่ทำให้เราคิดได้ว่าไม่ควรยึดติดมาก จะสุขมากๆ หรือทุกข์มากๆ ก็ตาม

kai5
แล้วระหว่างพ่อคิม กับแม่ไก่ ดูแล้วน้องนามรูปมีแววเหมือนใคร
แม่ไก่ มีสุข : เกินครึ่งไปทางพ่อนะพี่ว่า นามรูปเป็นสาวอารมณ์สองด้าน ดีก็ดีจนทุกคนงง แต่ถ้าเขาไม่เอาอะไรจะโมโหร้าย ร้องไม่หยุดเหมือนกัน วิธีที่พี่จะหยุดเขาคือจะเอามือแตะที่อกและพูดกับเขาว่านามรูป ฟังคุณแม่นะคะ (น้ำเสียงอ่อนโยน) อันนี้เล่นไม่ได้นะคะ กลับบ้านเราค่อยเล่นนะคะ และหาทางเลือกให้เขาใหม่

เคยตีลูกหรือเสียงดังกับลูกไหม
แม่ไก่ มีสุข : พี่ไก่ไม่เคยมองว่าการใช้อารมณ์คือการแก้ปัญหาเลย อารมณ์ร้ายๆ เหวี่ยงวีน มันใช้ได้แค่เวลานั้นที่คุณสามารถหยุดโลกทั้งใบได้ แต่สภาพหลังจากนั้นพี่ไก่ไม่เคยเห็นว่าคนที่ใช้จะได้ผลดีกลับมาเลย การด่าทอ การใช้ความรุนแรง พูดวาจาเผ็ดร้อนเพื่อจะเอาชนะกันในนาทีนั้น ผลของมันเราจะถูกตีค่าว่าเป็นแบบนั้นไปแล้ว ยิ่งเราโตวุฒิภาวะเราก็ควรจะพัฒนาด้วย ถามว่าพี่มีไหมอารมณ์แบบนี้มีค่ะ เพราะเราก็เป็นมนุษย์คนนึง แต่พี่ไก่ต้องฝึกตัวเอง ต้องพัฒนาตัวเอง เคยเหมือนกันที่เราพยายามให้คนอื่นเปลี่ยน แต่พี่ไก่เห็นผลแล้วว่าเปลี่ยนตัวเองมันได้ผลมากกว่า อย่างเวลาทะเลาะกับพี่คิม พี่ไก่จะไม่ใช่อารมณ์เลย เขาก็จะเห็นว่ามันไม่มีการตอบโต้จากอีกฝั่ง ก่อนหน้านี้พี่ก็เคยลองตั้งใจเสียงดังนะ และเราก็เห็นตัวเองว่าตัวเราน่าเกลียด ก็รู้เลยว่ามันไม่ดี ไม่ได้ผล ยิ่งร้อน เรายิ่งต้องเย็น จะได้เห็นอะไรที่ชัดเจนขึ้นด้วย

kai9
ใส่ใจดูแลลูกขนาดนี้ มีวางแผนอนาคตเขาไว้อย่างไรบ้าง
แม่ไก่ มีสุข : พี่อยากให้เขาเป็นตัวของตัวเองที่สุด เท่าที่แม่คนนึงจะให้อิสรภาพเขาได้ เขาเลือกที่จะเรียนอะไรก็ได้ แต่เราเป็นที่ปรึกษาให้เขาได้ จะใส่กระโปรง กางเกง เลือกเรียนเอง เลือกคนรักเอง จะเป็นเพศเดียวกันหรือต่างเพศก็ได้ แต่สุดท้ายคือเขาต้องมีความสุขจากตัวเขาจริงๆ อันนี้เป็นนโยบายนะ ส่วนภาคปฏิบัติเดี๋ยวต้องรอดูไปก่อน (หัวเราะ)…

kai10
จบด้วยเสียงหัวเราะพร้อมกับร้อยยิ้มและแววตาที่เป็นประกายตลอดการสนทนา เชื่อแล้วล่ะว่าการเป็นแม่มันช่างเป็นหน้าที่ที่ยิ่งใหญ่ และแม่ไก่คนนี้จะคอยฟูมฟักลูกเจี๊ยบตัวน้อยที่นับวันจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ให้เป็นเด็กที่มีความสุขที่สุดสมความตั้งใจของพ่อแม่อย่างแน่นอน
เรื่อง : SRIPLOI
ภาพ : วาระ สุทธิวรรณ
สถานที่ : ร้านอาหาร The girl&The pig เซ็นทรัลเอ็มบาสซี่

Praew Recommend

keyboard_arrow_up