เบื้องหลังภาพความสุขที่หลายคนเห็นของคู่รักคนดัง อุ้ม ชณัญพัชร์ และ บิ๊ก-ศรุต วิจิตรานนท์ ได้ซ่อนห้วงเวลาแห่งความไม่มั่นใจในตัวเองของอุ้ม จนเกือบสูญเสียรักเพราะคิดว่า “ไม่ดีพอ” แต่เพราะความรักที่หนักแน่นจากคุณบิ๊กทำให้คุณอุ้มเปลี่ยนปมในใจให้กลายเป็นพลังใจที่แข็งแกร่ง
จุดเริ่มต้นความรัก
“พอเรียนจบจากประเทศออสเตรเลียก็กลับมาประเทศไทย ตอนนั้นเรายังไม่ได้มีเพื่อนเยอะ ถ้าเป็นกลุ่มเพื่อนที่เรารู้สึกไว้ใจก็น่าจะเป็นเพื่อนที่โรงเรียนมัธยมศึกษา พอดีกับมีกลุ่ม Facebook กลุ่มของศิษย์เก่าที่โรงเรียน ก็เลยเข้าไปเล่นดู ตอนนั้นInstagramเพื่งมาใหม่ๆ เราเลยได้แอดเพื่อนจากกลุ่มของศิษย์เก่าไปในอินสตาแกรมด้วย ก็เลยเห็นพี่บิ๊กว่าคนนี้ก็อยู่ที่โรงเรียนเดียวกันเลยกดแอดไปพร้อมกับแนะนำตัวว่าเป็นเราเป็นรุ่นน้องที่โรงเรียน ซึ่งพี่เขาก็ตอบกลับมาทันทีว่าอยู่รุ่นไหน ปีไหน เลยรู้สึกว่าพี่เขาเป็นคนน่ารักและเฟรนด์ลี่ แต่ก็ไม่ได้รู้จักเขาว่าเป็นใคร จนน้องที่เป็นญาติบอกว่าผู้ชายคนนี้ชื่อ บิ๊ก วิศรุต เป็นนักดนตรีอยู่วง Soul After Six”

รักออนไลน์ 1 ปี
“หลังจากที่รู้จักกันพี่เขาก็ชวนคุยเรื่อยๆ ผ่านโลกออนไลน์ ด้วยนิสัยเขาที่เป็นสุภาพ เป็นคนที่ไนซ์แบบที่เข้าถึงได้โดยไม่ได้รู้สึกว่ามีกำแพง เวลคัมทุกอย่างที่เราพูด เป็นที่ปรึกษาที่มีฟีดแบ็คให้เราตลอดเวลา เหมือนคนคลิกกัน ทำให้ได้คุยกันทุกวัน จากเรื่องทั่วไปก็คุยเรื่องส่วนตัวลึกๆ คุยกันมาประมาณ 1 ปี จนมันถึงจุดหนึ่งที่รู้สึกว่าวันไหนไม่คุยไม่ได้ หมายถึงว่ามันรู้สึกขาดอะไรไปสักอย่างหนึ่งถ้าวันนั้นไม่ได้คุยกัน ก็รู้สึกว่ามันควรที่จะเจอกันแล้วไหม จึงนัดกินข้าวกัน ซึ่งการเจอกันครั้งแรกก็ตื่นเต้นค่ะ เขาเป็นพี่บิ๊กในแบบที่เรารู้จัก แต่ที่คาดไม่ถึงคือเขาดีกับเรามากขึ้นเรื่อยๆ”
เคียงข้างกันในวันที่ร่างกายเปลี่ยนแปลง
“เรื่องโรคไทรอยด์ที่เราเป็น พี่บิ๊กทราบมาตลอด จริงๆ จุดเริ่มต้นที่เรารู้ตัวคือหลังจากที่เราเรียนจบกลับมาประเทศไทยได้ไปตรวจสุขภาพ และพบว่าเป็นโรคไทรอยด์ วิธีการรักษาคือคุณหมอให้กินยาคุมไทรอยด์ให้เป็นปกติ แต่หลังๆ เริ่มมีเอฟเฟ็กเกี่ยวกับยา คือน้ำหนักขึ้นไปเรื่อยๆ ตอนนั้นจำไม่ได้ว่าน้ำหนักขึ้นไปเท่าไหร่ จนช่วงหลังๆ 1 อาทิตย์ น้ำหนักขึ้น 5 กิโลกรัม เสื้อผ้าที่เคยใส่ได้ก็ใส่ไม่ได้ ตอนนั้นยอมรับเลยว่าเสียเซลล์มาก มันไม่มีใครที่จะรับตัวเองได้ขนาดนั้น”
“จริงๆ แล้ว ส่วนหนึ่งที่ทำให้สนิทกันเพราะเขารู้เรื่องสุขภาพของเรา ตอนนั้นรูปร่างเรายังอวบๆ ไม่ได้น้ำหนักเยอะขนาดนี้ จนมาถึงจุดหนึ่ง เขารู้ว่าเราไม่โอเคกับตัวเอง ดังนั้นเขาก็จะถามเราตลอดว่า “วันนี้เป็นยังไง” และให้กำลังใจเราเสมอ เขามักจะบอกว่า “ไม่เป็นไรเดี๋ยวเราช่วยกันหาทางแก้ไป”

เกือบสูญเสียรักเพราะคิดว่า “ไม่ดีพอ”
“หลังร่างการพบกับความเปลี่ยนแปลง ยังมั่นใจในตัวพี่บิ๊กเกี่ยวกับความรู้สึกที่เขามีต่อเรา เรารู้อยู่แล้วว่าเขาอยู่กับเราตรงนี้ได้ มันไม่ได้มีความรู้สึกกังวลว่าเขาจะโอเคกับเราไหม แต่พอเราน้ำหนักเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราจะแคร์คนรอบข้างเขามากกว่าเขา เวลาเราเดินกับเขา มันก็จะความรู้สึกผุดขึ้นในใจ “คนนี้เป็นแฟนกับเขาเหรอ ทำไมอ้วนจัง”
“คือเวลาที่น้ำหนักตัวเปลี่ยนแปลงไป หลายคนรู้สึกไม่อยากเริ่มต้นความสัมพันธ์ อุ้มเองก็เป็นแบบนั้น จนเรียกได้ว่าเป็นอินโทรเวิร์ตไปเลย ไม่อยากออกจากบ้าน ไม่อยากออกไปไหน เวลาใครถ่ายรูปเราบางครั้งก็รู้สึกโกรธเลย ขนาดถ่ายรูปคู่กันอุ้มก็ห้ามพี่บิ๊กว่าอย่าเอาไปลงเพราะรู้สึกว่าไม่โอเค คือเป็นหนักจนเรียกได้ว่ากระทบความสัมพันธ์มากๆ”
“ที่ผ่านมาเราไม่ค่อยทะเลาะกันเรื่องอื่นนอกจากเรื่องอ้วน อย่างเวลาที่เขาชวนไปเที่ยวเราก็จะปฎิเสธเพราะเราไม่อยากออกไปไหนเนื่องจากแคร์สายตาคนอื่น ที่กระทบกับความรู้สึกมากๆ คือมีคนดีเอ็มหาพี่บิ๊กส่งรูปเราและบอกเขาว่าคุณควรหาแฟนใหม่ มันยิ่งเหมือนเป็นปมในว่าเราไม่คู่ควร จนอุ้มตัดสินใจพูดกับเขาตรงๆ ว่า “ทำไมพี่ไม่ไปหาคนที่ดีกว่า เราเลิกกันไหม” อุ้มพูดคำว่า “เลิก” เพราะเรื่องอ้วนเป็นสิบๆ รอบ ยิ่งตอนก่อนแต่งเราก็อยากเช็กความรู้สึกว่าเขาโอเคจริงไหม เพราะถ้าแต่งงานไปแล้วมีปัญหามันจะเสียความรู้สึก”

พลังรักพิชิตปมในใจ
“ปฏิเสธไม่ได้ว่าพอเราเจอกับคำพูดด้านลบมันทำให้เราสูญเสียความมั่นใจมากๆ เหมือนกัน แต่สุดท้ายเราก็คิดไตร่ตรอง เราควรแคร์คนที่เราอยู่ด้วย ถึงคนอื่นจะมองอย่างไรก็ไม่เป็นอะไร เพราะคนอื่นมีสิทธิ์ที่จะคิดหรือพูด แต่เราก็ต้องมั่นคงกับตัวเอง”
“สำหรับตอนนี้ความคิดก็เปลี่ยนไป เพราะแต่งงานกันมาสักพักแล้วเลยรู้สึกว่าไม่ได้สนใจคอมเม้นต์เหมือนเดิมแล้ว จริงๆ ปกติอุ้มไม่ค่อยอ่านคอมเม้นต์ด้วยซ้ำ ส่วนใหญ่จะรับทราบจากเพื่อนๆ มากกว่า ซึ่งตอนนี้คอมเม้นต์ส่วนใหญ่ก็โพซิทีฟเราก็แฮ็ปปี้ ต้องขอบคุณทุกๆ คนที่มีมุมมองเข้าใจมองว่ารุปร่างที่เปลี่ยนแปลงจากโรคเป็นเรื่องปกติ”

ตัดสินใจผ่าตัดเพื่อการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต
“อย่างที่บอกหลังจากแต่งงาน เราก็มีความั่นใจในตัวเองมากขึ้น แต่เพราะสุขภาพที่แย่จริงๆ ทำให้ตัดสินใจผ่าตัดกระเพาะ คือตอนนั้นอุ้มน้ำหนักตัวอยู่ที่ 135 กิโลกรัม เรารู้สึกว่าเริ่มใช้ชีวิตลำบาก ขณะเดียวกันก็ได้รับผลกระทบจากโรคที่เป็น ซึ่งหนักสุดคืออาการหยุดหายใจขณะหลับ เพราะรู้สึกหายใจไม่สุด ตื่นมาเหมือนคนหลับไม่เต็มอิ่ม และมีการกรนหนักมากจนเกรงใจคุณสามี เกือบจะแยกห้องนอนกันเลยเพราะกลัวเค้านอนไม่หลับค่ะ แล้วก็เริ่มมีอาการปวดเข่า เจ็บข้อเท้า เดินได้ไม่เยอะ เหนื่อยง่าย และแน่นอนพอน้ำหนักเยอะ ๆ เราจะเริ่มขี้เกียจ ไม่อยากทำอะไรเลยและนั้นคือผลกระทบกับการใช้ชีวิตที่ค่อนข้างหนักแล้วค่ะ ตอนนั้นเลยหาวิธีลดน้ำหนักที่ได้ผลแน่ ๆ เลยมาเจอการผ่าตัดกระเพาะแบบส่องกล้อง พอลองศึกษาดูก็คิดว่าน่าจะเหมาะกับเรามากสุด”

การเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลต่อความสุข
“หลังจากที่ได้เปลี่ยนแปลงตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น อุ้มก็รู้สึกชื่นชอบและมีความสุขกับทุกสิ่งรอบตัวเลยค่ะ เหมือนมีแต่เรื่องดีๆ เกิดขึ้นเต็มไปหมด ชีวิตเปลี่ยนไปราวกับพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ การกิน การนอน หรือแม้แต่การเลือกเสื้อผ้า ความสุขในชีวิตก็เพิ่มขึ้นในทุกๆ การใช้ชีวิตค่ะ”

เรื่อง : นนทพร สุทธิพิบูลย์
ภาพโดย : เบลเยี่ยม-ภาวินี บูรณาชีวาวิไล