ก้าวที่แกร่งขึ้น ของ สาวลูกครึ่งไทย-อังกฤษ ชาล็อต ออสติน นางเอกและนางงามผู้ฝ่าวิกฤตดราม่าฆ่าไม่ตาย
LIFE : STRONGER
“ตลอดระยะเวลาตั้งแต่เริ่มทำงาน ได้เรียนรู้อะไรบ้างคะ“ต่อให้ทำดีแค่ไหน…ก็อาจมีคนไม่ชอบอยู่ดี หนูรู้สึกว่าเรื่องนี้คือความจริง ของชีวิต เพราะต่อให้เราตั้งใจทำมาก ๆ มีหลายคนชมว่าดี แต่ก็จะมีคนอีกกลุ่ม ที่ไม่ชอบสิ่งที่เราทำอยู่ดี“ฉะนั้นอย่าเอาใจไปโฟกัสตรงนั้น แต่ให้โฟกัสไปที่กลุ่มคนที่ชอบ ถ้าเราเต็มที่ แล้วจริง ๆ ต่อให้มันจะไม่ดีในสายตาบางคน แต่ก็ต้องมีบางคนที่เห็นความตั้งใจ และศักยภาพของเราที่พัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ แน่นอน อย่างเรื่องร้องเพลง แฟนคลับ ที่เขารักเราจะบอกเสมอว่าอยากให้กลับมาร้องเพลงนะ อยากได้ยินเสียงชาล็อต ร้องเพลง ซึ่งหนูรู้สึกว่าที่ผ่านมาเราก็มีพัฒนาการด้านการร้องเพลงที่ดีขึ้น แต่ อาจจะยังไม่ได้ดีที่สุด ก็จะมีคนบางกลุ่มที่บอกว่าชาล็อตเป็นตัวถ่วงคอนเสิร์ต ตัวถ่วงเวที ไม่อยากให้ขึ้นมาเลย ซึ่งคำนี้มันเจ็บมากนะ…สิ่งที่พยายามทำมา ทั้งหมด พยายามฝึกฝนตัวเอง ตั้งแต่ร้องเพลงไม่เป็น จนตอนนี้ร้องถูกคีย์ ถูก จังหวะแล้ว เขาไม่เห็นเลยเหรอ”

แสดงว่าภายใต้รอยยิ้มที่ทุกคนเห็นมีความกดดันซ่อนอยู่
“ใช่ค่ะ เพราะเป็นเรื่องที่เราโดนว่ามาตลอดตั้งแต่เริ่ม จากนั้นก็พยายาม ฝึกฝนตัวเอง เรียนร้องเพลง จนกระทั่งมีคอนเสิร์ต มีเพลงของตัวเอง แต่ก็ยังมี บางคนไม่ชอบอยู่ดี จึงเรียนรู้ว่าถ้ามัวไปเสียเวลากับคำพูดของคนที่ไม่ชอบ เรา อาจจะไม่ได้ทำอะไรเลยนะ สุดท้ายเราแค่ต้องทำทุกอย่างให้เต็มที่และดีที่สุด ส่วน ใครจะว่าอะไรก็รับฟังและปล่อยวางค่ะ”
กับกระแสดราม่าต่าง ๆ รับมือได้ดีขึ้นไหมคะ
“ต้องบอกว่าช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีเรื่องเข้ามาทดสอบเยอะค่ะ แทบจะทุก รูปแบบ ทั้งเรื่องงาน เรื่องคน แต่ก็ทำให้เราเรียนรู้ว่าคนมีหลายแบบ ซึ่งเรา ไม่สามารถรู้หรือเข้าใจได้ทั้งหมดว่าเขาคิดอะไร“อย่างบางข่าวที่เกิดขึ้น หลัก ๆ มาจากเรื่องการสื่อสาร แต่ที่เจ็บที่สุดคือ การโดนหักหลังจากคนที่ไว้ใจ เจ็บตรงที่คนใกล้ตัวทำกับเราได้ขนาดนี้เลยเหรอ การอยู่ในวงการบันเทิงไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เราต้องดูแลระมัดระวังตัวเอง ในทุกเรื่อง แม้กระทั่งเพื่อนสนิท บางครั้งก็ไม่สามารถไว้ใจได้ ซึ่งทำให้เรามีกำแพง เพิ่มขึ้น จากเดิมที่สบาย ๆ คุยสนุกได้กับทุกคน แต่พอเกิดเหตุการณ์นั้น เรารู้แล้วว่าสิ่งที่ต้องมีนอกจากสติคือกำแพงในการอยู่กับผู้คน”

ทำให้แกร่งขึ้น?
“แต่ไม่ได้ปิดตัวเองนะคะ แค่เข้าใจแล้วว่าเราไม่จำเป็นต้อง บอกทุกอย่างกับทุกคน ต่อให้สนิทมากแค่ไหนก็ไม่ควร เพราะเราไม่รู้เลยว่าต่อหน้า เขาอาจจะพูดดี แต่ลับหลังอาจจะพูดถึงเราอีกแบบ จึงสร้างกำแพงขึ้นเพื่อเป็น เกราะปกป้องตัวเองในบางเรื่อง แต่ไม่ใช่ว่าชาล็อตเปลี่ยนไปนะคะ ยังยิ้มแย้ม สดใสเหมือนเดิม (ยิ้ม) แค่มีภูมิต้านทานมากขึ้น”
เวลามีปัญหา อิงฟ้าให้คำแนะนำหรือให้กำลังใจอย่างไรบ้างคะ
“ช่วงนี้เราไม่ได้เจอกันบ่อย แต่ทุกครั้งที่เจอกัน พี่ฟ้าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขา จะรอดูสถานการณ์ก่อนว่าเราเป็นอย่างไร สมมติว่าเขาเห็นว่าเรากำลังเศร้า นิ่ง ๆ เงียบ ๆ เขาจะไม่เข้ามา เพราะรู้ว่าเป็นช่วงที่เราอ่อนแอ เขาจะให้เวลาเราก่อน“แต่ถ้าเราเริ่มโอเคขึ้นแล้ว เขาก็จะเข้ามากอดให้กำลังใจ เป็นความรู้สึกที่ดี มาก ๆ เหมือนเป็นเซฟโซนของเรา แม้ว่าเราจะไม่ได้ใช้ชีวิตด้วยกันทุกวัน แต่ อย่างน้อยทุกครั้งที่ได้ทำงานหรือเจอกันก็รู้สึกปลอดภัยเสมอที่มีเขาอยู่ข้าง ๆ ค่ะ” (ยิ้ม)

ชาล็อตเคยบอกว่าเวลามีปัญหาอะไรจะไม่ค่อยปรึกษาใคร แล้วมี วิธีฮีลใจตัวเองอย่างไร
“ตอนนี้จะเป็นการเขียนเพื่อปลดปล่อยและระบายความรู้สึกออกมาค่ะ แล้ว ก็พยายามพูดกับตัวเองว่าไม่เป็นไรนะ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป คือเหมือนให้เราได้ปล่อย ออกมา แล้วทุกอย่างจะดีขึ้นค่ะ หรือบางวันถ้าเครียดมากจะฟังธรรมะก่อนนอน เพื่อเป็นการกลั่นกรองสิ่งที่เรากำลังเครียด วิเคราะห์ว่าเป็นเพราะอะไร และควร แก้ไขอย่างไร ก็ทำให้จิตใจสงบขึ้น แต่ปกติเวลากลับบ้านไปจะดูหนัง ฟังเพลง เล่นกับกระต่าย แค่นั้นก็แฮปปี้แล้วค่ะ”
“และทุกครั้งที่เจอแฟนคลับช่วยฮีลใจได้ดีมากค่ะ (ยิ้ม) เขาคอยให้กำลังใจ คอยซัพพอร์ต เหมือนเป็นลมใต้ปีกให้เราในทุกวัน หนูรู้สึกว่าการมีคนกลุ่มนี้อยู่ข้าง ๆ ทำให้รู้ว่าเราไม่ได้โดดเดี่ยว ไม่ได้อยู่คนเดียว เวลาต้องการกำลังใจก็จะเข้าไปพูดคุยกับแฟน ๆ ในด้อม ทำให้ทั้งหนูและเขาได้รับ พลังดี ๆ ด้วยกันทั้งคู่“
อยากขอบคุณแฟนคลับทุกคนที่อยู่ฮีลใจมาตลอด บางคนอยู่ด้วยกันตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ จะสามปีแล้วนะ รวมถึงคนที่เพิ่งเข้ามาด้วย ก็อยากให้อยู่ด้วยกันไปนาน ๆ นะคะ หนูจะพัฒนาตัวเอง ในทุกด้าน จะทำให้ทุกคนหลงรักมากกว่าเดิมนะ” (ยิ้ม)

มีทักษะด้านไหนที่อยากฝึกฝนเพิ่มไหม
“ตอนนี้อยากฝึกภาษามือค่ะ เพราะมีแฟนคลับที่เป็นผู้บกพร่องทางการได้ยิน เราเห็นเขาใช้ ภาษามือคุยกัน ทำให้รู้สึกว่าเราอยากตอบแทน อยากสื่อสารกับเขา ก็มีทำคลิปเต้นพร้อมภาษามือ ซึ่งแฟน ๆ ประทับใจมาก จึงอยากฝึกทักษะด้านนี้เพิ่มเติมค่ะ”
LOVE : MYSELF
มองภาพตัวเองในอีก 10 ปีข้างหน้าเป็นอย่างไรคะ
“อีก 10 ปีก็อายุ 35 น่าจะเป็นช่วงที่จริงจังกับชีวิต อยากทำงานเก็บเงินให้ได้มากที่สุด เพราะ ถ้าไม่มีใครเข้ามา เราต้องอยู่คนเดียวให้ได้ (หัวเราะ)“แต่ถ้ามีคนเข้ามา ก็ขอให้เป็นคนที่เราแฮปปี้และทุกคนรอบตัวยอมรับ การที่เราจะมีใครสักคน ข้างกาย มันไม่ใช่แค่ตัวเราคนเดียว โดยเฉพาะปะป๊า (ณวัฒน์ อิสรไกรศีล) ต้องโอเค ก็อยากให้ ปะป๊าช่วยสแกนให้ เพราะเขาดูคนเป็น ที่ผ่านมาเขาพูดอะไรก็เป็นตามนั้นหมดเลย ปะป๊าสอน ตลอดว่าถ้าถึงเวลาเดี๋ยวมันก็มาเอง ตอนนี้ยังเด็ก ไม่ต้องไปโฟกัสเรื่องนี้”

เหงาไหม แล้วมีวิธีแก้ยังไง“
อยู่กับเพื่อนค่ะ เพราะเรายังไม่สามารถมีความรักได้” (หัวเราะ)
บอกตัวเองแบบนั้นเลยเหรอ
“ใช่ค่ะ หนูบอกตัวเองว่าตอนนี้เราไม่สามารถมีความรักได้ ต้องโฟกัสเรื่องงานก่อน โอกาส ที่เข้ามาสำคัญกว่า เป็นช่วงที่กำลังเติบโต อยากให้เป็นปีที่ปัง ๆ และที่สำคัญ เรื่องเงินสำคัญกว่า ค่ะ (หัวเราะ)
“และที่บอกว่าไม่สามารถมีความรักได้ เพราะเวลาที่หนูรักใครจะรักมาก รักแบบสุดหัวใจเลย รักมาก และถ้าเป๋เมื่อไรคือพังเลยค่ะ ซึ่งหนูไม่ชอบตัวเองตอนที่ต้องนั่งร้องไห้ที่บ้านเพื่อให้ตัวเอง หลับ พอตื่นเช้าก็เช็ดน้ำตาแล้วออกไปทำงาน ทำตัวเองให้แฮปปี้สดใส แต่พอขึ้นรถกลับบ้าน ก็ร้องไห้อีก วนอยู่อย่างนี้จนเราเหนื่อยและสงสารตัวเอง
“ก็ไม่เข้าใจนะคะว่าทำไมเราต้องเป็นคนที่รักเอยเตยหอมทุกอย่างขนาดนั้น พอเจ็บ… สุดท้ายก็ไม่มีใครช่วยเราได้ เรานี่แหละที่ต้องฮีลใจตัวเองคืนมา คือความรักสำหรับคนอื่นอาจจะ ไม่ได้เป็นแบบนี้ แต่การมีความรักสำหรับหนูมันน่ากลัวตรงที่เวลาเจ็บแล้วเจ็บนาน…กว่าจะลืมได้ กว่าจะฮีลใจตัวเองกลับมาได้เป็นปกติ คือไม่ชอบตัวเองในสภาวะแบบนั้น ตอนนี้ก็เลยยังไม่อยากมี ความรักค่ะ”

แต่ตอนนี้มีประสบการณ์แล้ว ถ้ามีความรักอีกครั้งจะควบคุมตัวเองไม่ให้เป๋ได้ไหม
“ไม่ได้ค่ะ เป๋ทุกรอบ (หัวเราะ) เรื่องหัวใจมันบังคับกันไม่ได้ แต่ต้องบอกก่อนว่าถึงจะเป๋ ยังไง แต่ไม่เคยกระทบเรื่องงานนะคะ ทำงานเต็มที่เสมอ เพียงแต่ไม่ชอบตัวเองตอนร้องไห้ ร้อง จนกินข้าวไม่ได้ ต้องฟังธรรมะเพื่อให้หลับ ซึ่งถ้าถามว่าตอนนี้อยากตัดอะไร อยากตัดหัวใจออกไป เลย ชาล็อต…เธอมีความรักไม่ได้หรอก” (หัวเราะ)
ข้อมูล นิตยสารแพรว
ภาพ atipashop