หนิง-ศรัยฉัตร

สวยเก่งครบสูตร เบลล่า-กุญช์จารี ลูกสาวคนสวยวัยของ หนิง-ศรัยฉัตร

account_circle
หนิง-ศรัยฉัตร
หนิง-ศรัยฉัตร

เบลล่า ลูกสาวคนสวยของหนิงศรัยฉัตร จีระแพทย์ สาวน้อยที่หลงใหลการเต้นเป็นชีวิตจิตใจ เธอเริ่มเต้นมาตั้งแต่ 4 ขวบ จนทุกวันนี้เบลล่าเต้นมา 10 กว่าปี กวาดรางวัลหลายสถาบันแล้ว

จากการได้พูดคุยกับเบลล่าเราสัมผัสได้ว่า เธอคือเด็กที่มุ่งมั่นไล่ตามความฝัน ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ เธอจะทำทุกสิ่งอย่างสุดความสามารถ

สวยเก่งครบสูตร เบลล่า-กุญช์จารี ลูกสาวคนสวยวัยของ หนิง-ศรัยฉัตร

เต้นนี่แหละ… ใช่เลย

“สมัยเด็กแม่ให้หนูเรียนพิเศษหลายอย่างทั้งเต้น เปียโน และยิม  แต่สิ่งที่หนูชอบมากที่สุดก็คือการเต้น จึงหยุดเรียนอย่างอื่น แล้วมุ่งแต่เต้นอย่างเดียว โดยเริ่มจากบัลเล่ต์ก่อน จนกระทั่งหนู 7 ขวบ ทางโรงเรียนสอนเต้นก็ชวนแข่งเต้นแจ๊สกรุ๊ปราว 20 คน ปรากฏว่า ได้รางวัล ตอนที่แข่งไม่รู้เลยว่าจะอะไรเกิดขึ้น และไม่ได้แข่งเพื่อจะเอาชนะ แต่เพราะเพื่อนประกวดทุกคน ก็อยากสนุกกับเพื่อน พอได้รางวัลก็รู้สึกว่า โอเคค่ะ (ยิ้ม) และนี่เป็นจุดเริ่มต้นให้หนูเต้นต่อไปเรื่อยๆ ขณะที่เพื่อนคนอื่นๆ ประมาณ 80% จะเลิกเต้นหลังจากที่เรียนมาได้ 3 ปี แต่หนูไม่เคยหยุดเลย บัลเล่ต์เป็นความฝันของหนูและต้องการที่จะไปต่อ 

 “หลังจากนั้นหนูก็แข่งเต้นแจ๊สโซโล่ได้ที่ 1 ตอน 8 ขวบ พอรู้ว่าได้รางวัลก็ช็อกมาก เพราะที่ผ่านมาไม่มีใครชมว่าหนูเก่ง และไม่เคยมีใครคิดว่าหนูจะได้ที่ 1  การแข่งครั้งนั้นพิสูจน์ตัวเองว่า หนูทำได้ สำหรับเวทีนี้หลังจากแข่งที่ประเทศไทยเสร็จ ก็ไปแข่งต่อระดับเอเชียแปซิฟิคได้ที่ 2  จากนั้นก็ไปแข่งรอบสุดท้ายที่ออสเตรเลียได้ที่ 2 เช่นกันค่ะ แค่นี้ก็คือ ดีใจแล้ว

“พอจบจากเวทีนั้น หนูก็ประกวดทุกเวทีเช่น เวที ATOD (Australia teacher of Dancing) แล้วก็มีไปแข่งที่จีน มาเก๊า ฮ่องกง อย่างช่วงก่อนโควิด หนูไปแข่งที่ออสเตรเลียทุกปี เคยได้ที่ 1 มาแล้วด้วย”

ซ้อมแบบเก็บเล็กผสมน้อย  

“เวลาไปแข่งหนูจะเตรียมตัวซ้อมเนิ่นๆ ไม่หักโหม ห้ามอัดเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นก่อนแข่งจะบาดเจ็บได้ง่าย เช่น สมมุติมีแข่งเดือนเมษายน จะคิดท่าใหม่ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ซ้อมลากยาวเกือบทุกวัน วันละชั่วโมงครึ่ง แต่ก็ต้องรู้จักบาลานซ์ตัวเอง เพราะมีบางช่วงที่ร่างกายต้องการพัก ถ้าไม่ไหวก็คือหยุด สิ่งที่ดีที่สุดในการซ้อมคือ ต้องมีวันพักและเวลาของตัวเองด้วย ส่วนวันที่ขี้เกียจ เบิร์นเอาท์ ไม่อยากทำอะไร หนูก็มีเหมือนกันนะคะ หนูว่าเด็กทุกคนก็มีอารมณ์นี้ แต่เพราะการเต้นเป็นสิ่งที่หนูรัก มันไม่ใช่งาน หรือการบ้านที่ต้องทำ เลยทำให้หนูมีกำลังใจออกไปซ้อม ไปแข่ง ซึ่งพอได้ไปสุดท้ายก็จะรู้สึกดีกับตัวเอง

“สำหรับเรื่องอาหารการกิน หนูกินปกติเลยค่ะ ด้านการออกกำลังกายเพิ่มเติมแค่อาศัยว่ายน้ำ ซึ่งเป็นการออกกำลังกายที่ดีที่สุด บาดเจ็บน้อยและ ช่วยให้ร่างกายแข็งแรงทุกส่วน สังเกตว่า ช่วงไหนเพิ่งว่ายน้ำมา ครูจะชมว่า เต้นดีขึ้น นอกจากนั้นหนูไม่ออกกำลังกายหนักๆ เลย เพราะแค่เต้นก็หนักแล้ว

“สิ่งสำคัญที่สุดคือ ต้องไม่บาดเจ็บ นักเต้นมักจะมีปัญหาเรื่องการบาดเจ็บเยอะ แต่ไม่เคยถึงขั้นเท้าเลือดออก เล็บหลุดเหมือนในหนัง (หัวเราะ) ก็มีบาดเจ็บเหมือนกัน เช่น เนื้อพอง

 “มีอยู่ครั้งนึง หนูบาดเจ็บที่ขาตอนแข่ง ซึ่งตอนนั้นต้องแข่งโซโล่ทั้งหมด  12 งาน หนูตัดสินใจแข่งเหลือแค่ 6 งานเท่านั้น เพราะรู้ตัวว่าทำไม่ไหว อยากมีเวลาพักให้ร่างกายรักษาตัว ที่บาดเจ็บหนักสุดคือ ล้มแล้วเอ็นอักเสบ ตอนนั้นก็คือไปพัก กายภาพ สุดท้ายหมอก็บอกว่า ไม่มีอะไรดีไปกว่าการพัก เพราะฉะนั้น อัดไม่ได้ เช่นใกล้ๆ ถึงวันแข่งแล้วซ้อมหนักจนบาดเจ็บแล้วแข่งไม่ได้ เพราะอัดมามากเกินไป

ใจเต้นก่อนขึ้นเวที

“ก่อนขึ้นเวทีหนูเครียดและกลัวเหมือนกันค่ะ ด้วยความที่แม่ไม่สามารถมาอยู่หลังเวทีเป็นเพื่อนได้ หนูต้องดูแลตัวเองทุกอย่าง ทั้งแต่งหน้า ทำผมเอง มากสุดแม่ก็แค่ส่งเสบียงมาให้ สิ่งที่หนูต้องทำคือ มีเวลาเตรียมใจประมาณ 20 นาที นั่งอยู่คนเดียว บางทีก็นั่งอ่านหนังสือ ไม่ดูคนก่อนหน้าแข่งด้วย เพราะไม่อยากสร้างความกดดันให้ตัวเอง ถึงอย่างนั้นหนูก็ตื่นเต้นอยู่แล้ว  บางครั้งได้ยินเสียงหัวใจตัวเองเต้นเลย ก็ไม่รู้ว่า นี่กลัวหรือหนาว รู้แค่ว่าเราสั่น

“ทุกอย่างที่เล่ามา หายหมดเวลาขึ้นเวทีค่ะ พอได้ยินเสียงเพลง ร่างกายและสมองของหนูเคลียร์มาก ไม่มีอะไรในหัว หลายคนถามว่า จำท่าเต้นยังไง หนูไม่เคยจำและไม่คิดถึงท่าทาง แค่ปลดปล่อยทุกอย่างออกมา เพราะที่ผ่านมาก็ซ้อมเยอะจนจำได้  ในทางกลับกัน ถ้าหนูพยายามคิดถึงท่า หนูจะลืม ส่วนเหตุการณ์ที่ลืมจริงๆ ก็เคยมี แต่ก็เต้นไปเลยค่ะ การเต้นมีประโยชน์ตรงนี้ที่ได้ฝึกแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เพราะเราไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นบนเวทีบ้าง เคยมีเพื่อนคนนึงขึ้นไปเต้นแล้ว แต่คนเปิดเพลงให้ผิด ไม่ใช่ที่ซ้อมมา เขาเต้นต่อไปจนจบโชว์ค่ะ และได้รางวัลที่ 3 ด้วย”

เก็บเกี่ยวประสบการณ์จากเวทีแข่ง

“สำหรับเวทีแข่งโซโล่หลักๆ จะมีทั้ง บัลเล่ต์ แจ๊ส คอนเทมโพรารี่ และ Song and Dance ซึ่งการเต้นแบบ Song and Dance เป็นการเต้นที่หนูชอบมากเพราะได้ร้องและเต้นไปด้วย มันสนุก บางคนเขาเต้นเก่งมากแต่อาจจะไม่กล้าร้องเพลง เพราะกลัวไม่เพราะ หนูเองไม่ได้ร้องดีที่สุดนะคะ แต่หนูแค่กล้าร้องเท่านั้นเอง  ซึ่งทุกโชว์จะต้องใช้แอคติ้งผสม และหนูก็ชอบแอคติ้ง สำหรับเวทีนี้ก็ได้ที่ 1 มา 3 ปีซ้อน ที่จริงแล้วเรื่องการแสดงเป็นพื้นฐานในทุกๆ โชว์ เราไม่ได้แสดงแค่ท่วงท่า แต่เราต้องสื่อสารเนื้อหาของเพลงออกมาด้วย เช่น การเต้นคอนเทมโพรารี่ ก็จะร่วมสมัย ก็จะต้องแสดงออกมาดุดันหน่อย

“ถ้าถามว่าชอบเต้นแนวไหนมากที่สุด ตอบยากมากค่ะ เพราะความชอบของหนูเปลี่ยนเกือบตลอดเวลา บางครั้งหนูเห็นคนอื่นเต้น เราก็อยากเต้นแบบนั้นบ้าง จึงขึ้นกับอารมณ์แต่ละช่วง แต่ที่คนนิยมมากในตอนนี้ก็คือ คอนเทมโพรารี่ เพราะเป็นการเต้นที่ไม่อยู่ในกรอบ เป็นไปได้ทุกอย่างและ ไปไกลกว่าการเต้นบัลเล่ต์หรือแจ๊สแล้ว

“เวทีที่ตื่นเต้นที่สุดคือ AGP (Asian grand prix) เป็นการประกวดระดับเอเชียที่ฮ่องกง หนูได้ทุนไปเรียนก่อนแข่งประมาณหนึ่งอาทิตย์ เวทีนี้มีคนเก่งเยอะมาก เราแข่งมาเยอะพอๆ กันและเรียนหนักเท่ากัน แต่ตอนที่หนูไป หนูไม่ได้ไปเพื่อชนะ แต่เอาประสบการณ์ ได้เรียนรู้จากนักเต้นอื่นๆ ที่อาจจะอายุเท่ากันหรือโตกว่า บางคนก็เด็กกว่าแล้วเขาก็เก่งมาก อย่างเด็กเอเชีย มีวินัยสูง โดยเฉพาะจีน ฮ่องกง สิงคโปร์ อินโดนีเซีย อย่างรายการนี้หนูเข้ารอบ Semi final แต่ยังไม่ถึงรอบ Final เพราะยากจริงๆ แต่แค่นี้ก็แฮปปี้มากแล้ว เพราะเหนือกว่ารางวัลก็คือประสบการณ์ชีวิต ที่ได้เจอเพื่อนใหม่  ได้เรียนรู้ว่า คนต่างชาติเขาดูแลตัวเองกันยังไง

“อีกประสบการณ์ปีที่แล้วก็ได้ทุนไปเรียนที่นิวยอร์คเป็น Musicle  Theatre ทั้งหมด  3 อาทิตย์ เป็นการเรียนที่หนูประทับใจมาก ชอบมาก พอกลับมาร้องไห้เลย เพราะที่นั่นเพื่อนเรียนกันแบบชิลๆ ไม่มีการแข่งขันอะไร เราได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน อยากลับไปอีกค่ะ ส่วนที่ออสเตรเลียหนูก็เคยได้ทุนไปเรียน เด็กที่นี่จะชิลๆ ไม่ซีเรียส ซึ่งตรงนี้จะต่างจากเด็กจากฮ่องกงกับจีน ที่ซ้อมหนักมาก หนูชื่นชมวินัยของเขา คือเขารู้ตัวว่า มาทำอะไรอยู่ตรงนี้ และฝึกซ้อมร่างกายให้แข็งแรง เตรียมพร้อมการเต้น

พักเต้นไว้ก่อน

 “จนถึงทุกวันนี้ หนูเต้นมา 10 ปีแล้ว รู้สึกอิ่มตัว จึงลดการเเข่งขันให้น้อยลง ตอนนี้เหลือแข่งหนึ่งรายการคือ THCCDC ( Thailand Challenge Cup Dance Competition) เป็นเวทีจากฮ่องกง นอกเหนือจากนี้หนูทุ่มเวลาให้กับการเรียนมากขึ้น เพราะเพิ่งย้ายไปเรียนที่โรงเรียน ISB การเรียนก็เข้มข้นด้วย

“ขณะเดียวกันก็ไปหาประสบการณ์อย่างอื่นดูบ้าง เช่น ล่าสุดได้มีโอกาสเดินแบบให้กับห้างสรรพสินค้า ดิ เอ็มควาเทียร์ เตรียมตัวตั้งแต่ 7 โมงเช้า ได้เดินเกือบทุ่ม ถึงแม้จะเดินไม่นาน ก็เป็นความสุขนะคะ หนูอยากเก็บพอร์ทไว้ เพราะก็จะอยากเข้าวงการ แค่รอจังหวะเวลาและโอกาสที่ใช่กว่านี้ 

“ถึงอย่างนั้นทุกวันนี้ก็ยังไม่ทิ้งการเต้นะ ทุกเสาร์ อาทิตย์หนูต้องแบ่งเวลาไปเรียนเต้นอยู่ เพราะต้องสอบเก็บวุฒิหลักสูตร ATOD ของออสเตรเลียทุกปี หนูก็สอบเต้นแจ๊สมา 9 แล้ว ส่วนบัลเล่ต์คือสอบต่อเนื่องมาปีที่ 10 อีก 2 ปี หนูสามารถเป็นอาจารย์สอนเต้นได้  อีกอย่างที่ทิ้งการเต้นไม่ได้เพราะถ้าไม่ได้เต้นหนึ่งอาทิตย์ จะยืดตัวไม่ได้  ที่สุดแล้วเต้นมานานมาก ไกลเกินกว่าจะถอยหลัง”

วันว่างของเบลล่า

“หนูชอบอ่านหนังสือมาก ทั้งนิยาย ชีวประวัติบ้าง นักเขียนที่ชอบคือ Jane Austin โดยเฉพาะเรื่อง Pride and prejudice กับ Emma คือหนังสือที่คลาสสิคมาก หนังก็ทำออกมาดีเช่นกัน

 “กิจกรรมที่ครอบครัวที่ชอบทำด้วยกันคือ ดูหนัง แม่คือคนที่ทำให้หนูชอบดูหนังเลยค่ะ เราจะชอบทายว่า เรื่องไหนจะได้ออสการ์ และนี่เป็นสาเหตุนึงที่ทำให้หนูอยากเป็นนักแสดงด้วย ไอดอลที่หนูชื่นชอบมีหลายหน เช่น Anya taylor-joy, Timothee Chalamet และ Saoirse Ronan

“นอกจากนี้ถ้ามีเวลา ก็จะไปช้อปปิ้งกับแม่ค่ะ แต่เวลาจะซื้ออะไร หนูจะคิดเยอะ เลือกแล้วเลือกอีก เพราะแม่สอนว่า ถ้าจะซื้ออะไรก็ต้องดูให้ทั่ว สมมุติว่า ถ้าอยากซื้อของ 3 ชิ้น อาจจะซื้อกลับบ้านแค่ชิ้นเดียว บางทีไม่ซื้ออะไรเลยก็มี”

คำสอนจากแม่หนิง

“เวลาแม่สอน แม่จะไม่สั่ง แต่เขาจะยกประสบการณ์แล้วให้เราคิดเอง แม่สอนเยอะมาก โดยเฉพาะการทำงาน แม่สอนว่า เวลาไปทำงาน เราต้องเป็นคนน่ารัก อ่อนน้อม ถ่อมตน แม้ช่วงเวลานั้นเราอาจจะอารมณ์ไม่ดีก็ตามก็ต้องระวัง เพราะเวลาคนเขาจำ เขาจะจำข้อเสียตลอดไป First Impression จึงสำคัญมาก อีกอย่างคือต้องมีวินัยและตรงต่อเวลา ที่สำคัญที่สุดคือ เวลาจะโพสต์หรือเขียนอะไรในออนไลน์ก็ต้องระวัง เพราะทุกอย่างในออนไลน์มันอยู่ตลอดไปค่ะ”


เรื่อง Fai

ภาพ วรสันต์

Praew Recommend

keyboard_arrow_up