เข็ม-กฤตธีรา

กาลครั้งหนึ่งของ เข็ม-กฤตธีรา เรียนจิตวิทยาเพื่อเยียวยาหัวใจตัวเอง

Alternative Textaccount_circle
เข็ม-กฤตธีรา
เข็ม-กฤตธีรา

หายจากหน้าจอไปนานเลยสำหรับ เข็ม-กฤตธีรา อินพรวิจิตร อดีตพิธีกรหญิง “รายการตี 10″ ล่าสุดเธอได้ออกมาเปิดเผยเรื่องราวหลากหลายแง่มุม อัปเดตชีวิตปัจจุบัน บทเรียนความรักในอดีต เลือกคนผิด ผิดหวัง ซ้ำซ้อน จนต้องหันไปเรียนจิตวิทยา รวมถึงชีวิตสาวโสดสุดแฮ็ปปี้ แต่ก็ไม่รู้ว่าสุขขนาดนี้จะถึงขั้นปิดตายความรักเลยหรือเปล่า

กาลครั้งหนึ่งของ เข็ม-กฤตธีรา เรียนจิตวิทยาเพื่อเยียวยาหัวใจตัวเอง

เข็ม-กฤตธีรา

ไม่เห็นหน้าในการเป็นพิธีกรนานแล้วนะ ตอนนี้ทำอะไรอยู่บ้าง?
“เยอะมาก ช่วงที่โควิด-19 ระบาด 2 ปี เรียนเยอะมาก แต่เป็นช่วงเวลาที่เรามีความสุข จริงๆก็ไม่ได้ห่างหายจากหน้าจอเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าทำรายการเองเล็กๆ แล้วก็หยุดไปช่วงโควิดพอดี เนื่องจากเป็นรายการท่องเที่ยว ไปเที่ยวต่างประเทศ พอมันมีโรคระบาดมันเลยต้องหยุดไป ช่วงว่างๆ เลยลงเรียนเยอะมาก”

เรียนนี่คือเรียนเกี่ยวกับอะไรบ้าง?

“เรียนหลายอย่าง เรียนจิตวิทยา แล้วที่เรียนล่าสุดยังไม่จบ คือ จิตวิทยาสุนัข คือเรียนเพื่อให้เข้าใจสุนัข จริงๆ เราลงเรียนหลักสูตรสหรัฐอเมริกาเลย ครั้งแรกงงๆ คิดว่าเป็นการฝึกสุนัข เข้าไปลงทะเบียนเรียบร้อยเลย จ่ายเงินเรียบร้อย พอเริ่มเรียนวันแรก มันเป็นการเข้าใจสุนัขที่เราสามารถเอามาใช้กับคนได้”

ที่เลือกเรียนจิตวิทยา เพราะว่าสมัยก่อนเราเคยผิดหวังกับความรักบ่อยหรือเปล่า?

“จริงๆ เรียนจิตวิทยา เพราะเรามีคำถาม มันเกิดจากการชอบตั้งคำถาม ด้วยนิสัยของการเป็นพิธีกร และด้วยนิสัยของตัวเองด้วย เราเลยรู้สึกว่าทำไมฉันถึงยอม ทำไมฉันถึงไม่เลิก เมื่อเรามีคำถามซ้ำๆ บ่อยๆ กับตัวเอง เราจะเริ่มไม่อยากรู้เหรอ เราต้องอยากรู้สิ เพราะฉะนั้นก็เรียนให้มันรู้ไปเลย”

เข็ม-กฤตธีรา พิธีกรตี10
ให้สัมภาษณ์ในรายการคุยแซ่บshow ทางช่อง วัน31

แล้วเรียนมาได้นานเท่าไหร่แล้ว?

“ประมาณ 7-8 ปีที่แล้ว แล้วช่วงที่มีข่าวเยอะๆ เบรกตัวเองออกไปพักผ่อน ไปต่างประเทศ แต่มันยังอยู่ มันยังรู้สึกว่าตัวเองไม่ประสบความสำเร็จอะไรบางอย่าง มันเหมือนอยู่ได้แหละ แต่มันยังคาๆ อยู่นิดๆ มันเหมือนเป็นตะกอน มันต้องทำยังไง”

งั้นแสดงว่าอนาคตมองตัวเองว่าจะเป็นจิตแพทย์?

“ไม่มอง แต่ถ้าสมมติว่าย้อนกลับไปตอนเรียนจบใหม่ๆ จะไม่เรียนศิลปะ จะเรียนเอาไว้เป็นทางเลือก แต่ว่าอยากเรียนอาชญาวิทยา คือเหมือนกับดูคนที่เป็นฆาตกรว่าทำไมเขาทำแบบนี้ รู้สึกว่ามันเป็นความอยากรู้ของเรา เคยไหมแบบทำไมเขาต้องด่า เขาต้องมีอะไรแน่ๆ แต่ ณ วันนี้เรารู้แล้วทำไมเขาถึงด่าเรา ชีวิตมันมีความสุขมากเลยเมื่อเรารู้ว่าทำไมคนนี้ถึงเป็นอย่างนี้ แล้วเราจะไม่โกรธใคร”

ที่เลือกเรียนจิตวิทยามาส่วนหนึ่งเพื่อบำบัดความรู้สึกตัวเองจากเรื่องความรักหรือเปล่า?

“มันนานแล้วนะ แต่เพื่อให้เราเข้าใจตัวเองจริงๆ สมมติว่าเรามีแฟนมาทั้งหมด 4 คน ทุกคนนิสัยเหมือนกันหมดเลย มีความคล้ายกันหมดเลย จะว่าสเปคมันก็ยังไม่ใช่ แต่ว่าเป็นมากเป็นน้อยขึ้นอยู่กับสถานการณ์ตรงนั้น สมมติเรามีชื่อเสียงเรื่องนี้ก็จะดังมาก แต่ทุกคนเหมือนกันหมดเลย ไม่สงสัยเหรอ ทำไมฉันถึงต้องเลือกคนแบบนี้ มันต้องมีเหตุสิ ต่อให้มานั่งตรงนี้ ชอบทั้งคู่เลย แต่สุดท้ายก็เลือกคนนี้ มันเป็นอัตโนมัติเลย

สุดท้ายคือเลือกคนผิดที่สุด?

“มีคนดีกับคนไม่ดี ต่อให้เราไม่รู้ว่าเขาดีหรือไม่ดีนะ แต่เราก็จะเลือกคนไม่ดีไว้ก่อน”

คิดว่าเพราะอะไรเราถึงเลือกคนที่ผิดกับชีวิตเรา?

“เราไม่ได้ชอบนะ มันเป็นปม มันเป็นความทรงจำในสมอง มันเป็นวิทยาศาสตร์เลย สมองเราเป็นคนเลือก เคยไหมที่เขาบอกว่าห้ามเด็กดู ความรุนแรง สมองเด็กจะพัฒนาเต็มที่ตอน 3 ขวบ เด็กดูอะไรเกี่ยวกับความรุนแรงทางทีวีแล้วเขาจะจำ หรือเด็กที่โตมาในครอบครัวที่พ่อกับแม่ทะเลาะกัน พอถึงจุดหนึ่งแล้วพ่อทำร้ายแม่ เด็กจำ แต่อีกวันเด็กลืม แต่สมองเด็กไม่ได้ลืมนะคะ มันถูกจำไว้แล้วเรียบร้อย เมื่อเด็กคนนั้นโตถึงวัยหนึ่ง เกิดเหตุการณ์คล้ายๆ กัน เด็กคนนั้นจะตบบ้าง มันจะเกิดขึ้นจริงๆ แล้วมันเป็นวิทยาศาสตร์แล้วมันก็ถูกสอนอยู่ในวิชาจิตวิทยา”

สมัยก่อนที่เข็มเลือกคนพิเศษไม่ได้เลือกที่หัวใจเหรอคะ?

“คือสมองมี 3 ส่วน มันจะมีส่วนสมองที่เป็นอารมณ์ หรือที่เราเรียกเล่นๆ เวลาเรียน เราจะเรียกว่าสมองหมา ทำอะไรปั๊บรีแอ คนที่แต่งงาน คนที่เจอคนที่เราชอบ เราจะตัดสินเขาจากอารมณ์ก่อน สมองกลางน่าจะเป็นเหตุ เป็นผล สมมติเราตัดสินใจแต่งงาน เราจะเอาอารมณ์ก่อน แล้วจะมีเหตุ มีผล มาซัปพอร์ต สมองส่วนหน้า คือ การแยกแยะ แยกว่าอันนี้ถูกทาง อันนี้ไม่ถูกทาง อันนี้ดีอันนี้ไม่ดี ฆาตกรจะไม่ค่อยได้ถูกพัฒนาสมองส่วนหน้าที่เข็มเรียนมา เข็มบอกก่อนนะว่าเข็มไม่ได้เก่งเรื่องนี้ แต่ว่าอันนี้แชร์ให้ฟังจากที่เราเรียนมา”

ย้อนกลับไปตอนนั้นที่บอกว่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ทำไมเรายังอยู่ ไม่เลิกกับเขา ตอนนั้นพี่คิดอะไรอยู่?

“เราต้องการจะซ่อมตัวเองในวัยเด็กที่เราไม่รู้ว่าเราต้องการจะซ่อม สมมติว่าคุณพ่อหย่ากับคุณแม่ คุณพ่อออกไปจากชีวิตเรา แล้วเราก็คิดว่าเด็กจะโทษตัวเอง จะไม่โทษพ่อ โทษแม่ จะมาโทษตอนโตแล้ว วัยรุ่น แต่ว่าเด็กจะโทษตัวเองฉันทำอะไรผิด ทำไมพ่อถึงออกไปจากบ้าน ฉันทำอะไรผิดทำไมแม่ถึงไม่สนใจฉัน ฉันทำอะไรผิดทำไมคุณยายถึงตีฉัน เด็กจะโทษตัวเอง เพราะฉะนั้นเราจะรู้สึกว่าเราไม่ดีพอ การที่เราดีพอ เราจะต้องดีพ่อเราไว้ได้สิ มันก็เลยกลายเป็นว่าเราพยายามดึงคนที่อยู่ในชีวิตเรา โดยการที่เรายอม”

ที่ทราบมาแฟนเก่าของพี่ พี่จับได้คาหนัง คาเขาเลยแต่ไม่เลิก?

“ทุกคนเลย”

แต่ไม่เคยโทษผู้ชายด้วยว่าเขาผิด?

“โทษตัวเอง ไม่โทษผู้หญิง คือมันเป็นมุมคล้ายๆ กับว่าเหรียญมันมีสองด้าน แต่เราจะเป็นมุมว่าจริงๆ เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเรา ทุกคนถูกหมดเลยนะ แต่มุมมองคนละมุม ทุกคนพูดความจริงหมด แต่เป็นมุมมองด้านตัวเอง”

ทำไมพี่คิดว่าต้องเป็นพี่ที่ผิด?

“เรารู้สึกว่าถ้าคนจับทางเราได้สมัยก่อนนะ เราจับได้แล้ว เราต้องเลิกสิ เรารู้ด้วยนะว่าเราจะต้องเลิก แต่เราก็หาเหตุผล สมองเริ่มมาละหาเหตุผลมาซัพพอร์ตว่าเขาอาจจะไม่ได้ตั้งใจ เราอาจจะทำได้ดีกว่านี้ เราต้องทนกว่านี้ จนสุดท้ายนี่แบบพีคสุดๆ แล้วนะ เคยโดนแบบว่าจอดรถแล้วผลักลงจากรถ คือเราจับได้ว่าจริงๆ เขามีแฟนแล้ว แต่เขาบอกว่าเขาเป็นโสด เขามีทุกอย่างมาพิสูจน์กับเราเลย”

ใครผลักใครลงจากรถ?

“ผู้ชายผลักลงมาเลย แบบพูดจับได้ไง เราก็ยืนงงๆ แล้วคิดว่าเราควรจะโทษตัวเองไหม  เราไม่ควรจะโทษตัวเอง แต่เรารู้สึกว่าฉันไม่น่าพูดอย่างนั้นเลย ฉันน่าจะทนอีกนิดหนึ่ง”

แต่ละคนให้เวลาเขาเท่าไหร่?

“ถ้าไม่รู้ตัวก็ไปเรื่อยๆ”

ไม่มีใครเตือนด้วย?

“ก็มีนะ บางทีเพื่อนเอายันต์อะไรมาไม่รู้ แล้วจับไปงานบวช บอกนี่โดนของ”

แล้วอะไรเป็นจุดเปลี่ยน?

“เหมือนเรากระโดดลงจากหน้าผา ถ้าไม่กระแทกพื้นไม่รู้ตัว เรากระแทกพื้นทุกครั้งเลย ขนาดเจอไลน์เพื่อนสนิท เป็นเพื่อนรักมาก แคหน้าจอส่งไลน์สมัยไอโฟน1 ตอนนั้นยังไม่มีไลน์ แคส่งมาให้ คุยเลย จีบเพื่อนเราไปด้วย เธอไปทำอะไรหรือเปล่า โทษเพื่อน ซึ่งเข็มคิดว่าเหตุการณ์แบบนี้หลายคนเจอนะ เราจะโทษ และเป็นวลีที่ว่า เนี่ยทะเลาะกัน เดี๋ยวก็ดี เป็นสุนัข จริงๆ เข็มว่าคนเราแค่อยากมีใครสักคนที่ฟัง ก็เลยเหมือนพูดทุกอย่าง พูดออกไปแล้วสุดท้ายคนที่สามก็เป็นสุนัขไป”

ถ้าคนดูอยู่ในวังวนเดียวกับเรา อยากบอกอะไรเขา?

“เวลาที่คนมาแนะนำว่าต้องรู้คุณค่าตัวเอง ต้องรู้จักตัวเอง ต้องรักตัวเอง ไม่มีใครทำได้ ไม่มีใครที่อยู่ดีๆ ฉันจะรักตัวเอง ฉันจะเลิกกับคนนี้แน่ๆ ไม่มีใครทำได้ จากคนที่หลุดมาแล้วนะ เราต้องรู้ก่อน สมมติว่าเราอยู่ในส้วม คนที่อยู่ตรงนั้นจะไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในส้วม จะไม่รู้ว่าตัวเองเหม็นเน่าขนาดไหน แต่เราคิดว่าเราอยู่ในห้องสวยงาม ห้องนอน แอร์เย็นฉ่ำ เราต้องรู้ตัวเอง ยอมรับตัวเองขึ้นมาจริงๆ นั่งอยู่กับตัวเอง ยอมรับว่าไม่ไหวแล้วหรือเปล่า ต้องอยู่กับตัวเองให้ได้ก่อน คุยกับตัวเองว่าสมมติฉันโดนสามีซ้อมมันโอเคเหรอ ถ้าเราคิดว่ามันโอเค ใครมาพูดกับเรา เราก็ไม่มีทาง ต้องให้รู้ว่าอยู่ในส้วมถึงจะออกจากตรงนั้นได้ ตราบใดที่เรายังคิดว่าส้วมคือวิมานเราก็ออกไม่ได้ สมมติเรามีความอิจฉา ริษยา รู้สึกว่าคนนี้มันสวยกว่า รู้สึกอิจฉาปั๊บมนุษย์ส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับว่าตัวเองอิจฉา แต่เราสามารถยอมรับกับตัวเองได้ นั่งคิด นี่เป็นความอิจฉาใช่ไหม ถ้าเรารู้ว่าเราอิจฉาเขา เราจะเลิกอิจฉาได้ แต่คนจะไม่ค่อยยอมรับว่าตัวเองอิจฉานะ โกรธอยู่นะ พี่เข็มพูดเสมอนะว่าพี่เรียนจิตวิทยาเชิงบวก แต่ก็ไม่ใช่คนดีนะ เป็นคนปกติ ก็ยังมีแบบด่ามากๆ ก็สวนบ้าง”

วิเคราะห์คนมาก็เยอะ เคยวิเคราะห์ตัวเองไหม ว่าทำไมถึงไม่ค่อยประสบความสำเร็จกับความรัก?

“จริงๆ พอรู้เหมือนกัน แต่ไม่อยากบอกหมด เดี๋ยวคนจะรู้ เคยคิดกับตัวเองเหมือนกันนะ ถ้าเราแยกความเหงาก้อนหนึ่ง อยากมีเพื่อนก้อนหนึ่ง ไม่มีอะไรทำก้อนหนึ่ง แล้วเราลองเลือกสิ มันถูกทดแทนได้ด้วยอย่างอื่น ถ้าเราไม่มีความเหงาเราจะอยากมีแฟนไหม อะไรคือความเหงา แยกไปอีก เพราะฉะนั้นพอเราเจอคุณค่าของตัวเอง เราจะไม่เหงาไงแล้วจะหาแฟนไปทำไม ถ้าสมมติรู้สึกว่าฉันต้องมีใครสักคนอยู่ในชีวิต ต้องมีใครสักคนอยู่ข้างๆ ไว้ดูแลฉัน ก็ดันดูแลตัวเองได้อีก”

แสดงว่าตอนนี้คือโสด?

“โสดมา 10 ปีได้แล้ว เข็มแชร์เรื่องหนึ่ง เข็มเคยโดนคนด่า แล้วมีคนมาเล่าให้ฟัง เขาคงไปเสพเรื่องราวของเรามา แล้วเขารู้สึกว่าเขาไม่ชอบเราเป็นทุนเดิม แค่เรื่องจอดรถ สตาร์รถหน้าบ้าน เราก็พยายามรู้สึกว่าทำไมต้องโกรธ แต่ก็จะมีคนด่าเราว่า “โอ๊ย…ลูกก็ไม่มี ผัวก็ไม่มี แฟนก็ไม่มี” อะไรอย่างนี้ เขาคิดว่าเราจะต้องเจ็บปวดมาก แต่เรากลับรู้สึกว่าสุดท้ายมันเป็นมุมมองของคนด่านะบางเรื่อง คือชีวิตของเขาถูกเติมเต็มด้วยสามีกับลูก เขาก็เลยคิดว่าพี่เข็มต้องเป็นแบบนี้ คือมนุษย์เกิดมาพร้อมการตัดสินคนอื่นและถูกตัดสิน ลองกลับไปคิดเล่นๆ ก็ได้ว่าเราเคยตัดสินใครไหม ไม่มีใครไม่เคยตัดสินใครเลย แค่ง่ายๆ ทำงานอยู่ที่บริษัทหนึ่งเรามีเพื่อนแล้ว อยู่มาวันหนึ่งมีคนมาสมัครงาน เด็กใหม่เข้ามาเลย ผมแดง แต่งตัวแบบสไตล์เขา ทุกคนจะตัดสินไปแล้ว หรือถ้าเราจะไม่พูดกับใคร แค่เราเหลือบตามอง เราก็ตัดสินเขาไปแล้ว เพราะฉะนั้นการถูกตัดสินเป็นเรื่องปกติ แต่คนตัดสิน เขาตัดสินจากมุมมองของตัวเอง อย่างเราคิดว่าเป็นโสดแล้วแฮ็ปปี้ แล้วถ้าพี่เข็มไปด่า เป็นไงละเป็นโสด แล้วมันไม่เจ็บไง คือเราเป็นคนไม่โกรธ”

ซึ่งในความไม่โกรธ ล่าสุดแอบรู้มาว่าแฟนของเพื่อนสนิทยังหึงและไม่พอใจพี่เข็ม?
“เอาเป็นว่าบ่อย เป็นคนมีเพื่อนผู้ชายเยอะ สมมติว่าเราสนิทกันกับเพื่อน แล้วเวลาที่เราไปไหนมาไหนกับเพื่อน แฟนเขาคงไม่ชอบไงรู้สึกห่วง เราก็เข้าใจเขา เขาคงเสพข่าวมาบ้าง แล้วมีอีกอันเวลาที่คนมาคุยกับเรา ใครที่เสิร์ชกูเกิลก่อนนี่รู้หมด จะบอกเลยว่าเรื่องของเราทั้งหมดตอนนี้เป็นมุมมองของนักข่าวฝ่ายเดียว เขาอ่านเรื่องเป็นมุมเดียวเลย เรารู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวเรา เพราะฉะนั้นคนที่ไปเสิร์ชกูเกิลแล้วมีรีแอกับเรา เราก็เข้าใจ ไม่เป็นไร”

กับคนที่เม้าท์เราในอดีต ณ จุดนี้อโหสิกรรมให้ทุกคนหรือยัง?

“ไม่อโหสิกรรม เพราะว่ามันเป็นพุทธไง เราเอาแบบเวอร์วายไหม ไม่ได้คิดอะไรแล้ว แทบจะลืมไปหมดแล้ว ไม่ได้รู้สึกอะไรเลย เป็นคนตรงที่แบบว่าไม่รู้สึกจริงๆ นะ”

ตอนนี้โสด ถ้าอนาคตไม่มีลูก ไม่แต่งงาน โอเคไหม?

“ก็ต้องคิดสิ โสดมันเป็นทางเลือกของเรา อย่าไปกลัวเรื่องโสด จริงๆ เราเตรียมทุกอย่างไว้แล้วแหละ คือโสดอยู่คนเดียวโดดๆ ไม่ได้ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม แต่เราก็เตรียมไว้ว่าถ้าเราป่วยโทรหาใคร เบอร์อันนี้เบอร์ใคร คือเราจะต้องเตรียมเอาไว้ บ้านที่อยู่อยู่คนเดียวจริง แต่ขยับไปอีกนิดก็เป็นบ้านคุณแม่ ขยับไปเป็นบ้านคุณน้า บ้านคุณลุง เราอยู่ในละแวกเดียวกันหมด สมมติว่าเราแก่กว่านี้เราอาจจะอยู่กับเพื่อน คือมันถูกแพลนไว้แล้ว แล้วมีบ้านที่อเมริกา ถ้ายังไงแก่ๆ คุณแม่ไม่อยากไปไงก็อยู่เป็นเพื่อนคุณแม่ ดูแลคุณแม่จนสุดๆ เลย พอสุดท้ายอาจจะย้ายประเทศก็ได้”


ข้อมูล : รายการคุยแซ่บshow ทางช่อง วัน31

Praew Recommend

keyboard_arrow_up