เปิดวิถีชีวิตในต่างแดนของ คุณแม่ยังสวย เอ๊ะ-ศศิกานต์ หลังทิ้งวงการบันเทิงและเมืองไทยไปนาน 2 ปี เพื่อทำหน้าที่ภรรยาและคุณแม่อย่างเต็มที่
ถึงจะห่างหายจากหน้าจอไปนานเพื่อทำหน้าคุณแม่ลูกหนึ่งอยู่ที่แดนไกลแต่ ล่าสุด เอ๊ะ-ศศิกานต์ กลับมาเยือนเมืองไทย หลังหายไปนานเกือบๆ 2 ปี ซึ่งเธอได้ยอมรับว่าคิดถึงทั้งงาน แฟนๆและครอบครัวที่ต้องห่างไกล พร้อมเผยการรับหน้าที่เป็นคุณแม่ที่ห่างไกลบ้านเคยมีการ ซึมเศร้า เข้ามาเหมือนกัน ส่วนจะกลับมารับงานในวงการบันเทิงหรือไม่นั้นตอนนี้กลับมาแน่แต่ไม่ใช่ตอนนี้
เปิดชีวิตในต่างแดนของ คุณแม่ยังสวย เอ๊ะ-ศศิกานต์ หลังทิ้งวงการบันเทิงเมืองไทย
ดอม โดมินิค วินเซ็นต์ ,น้องโรนิน และคุณแม่เอ๊ะ
กี่ปีแล้วที่ไม่ได้อยู่เมืองไทย
“ย้ายไปน่าจะประมาณปี 2014 ประมาณ 7 ปีค่ะ แต่ช่วงแรกที่ไปก็ยังมีทำอะไรบ้างนะคะ ไม่ได้ถึงกับออกจากวงการบันเทิงไปเลย แต่ช่วงที่มีลูกจำได้ว่าช่วงที่ลูกเกิดมาขวบกว่าๆ ก็ยังมีไปเล่นรับเชิญอยู่นิดหน่อย เพราะว่าลูกเกิดเมืองไทย แล้วก็พอเขาเกิดมาได้สักประมาณ 3 เดือนแล้วหลังจากนั้นเราก็พักยาวเลยค่ะ”
ตัดสินใจไปอยู่ต่างประเทศเลยเพราะว่าอะไร
“แต่งงานกับฝรั่งค่ะ (หัวเราะ) แต่งงานกับสามีชาวต่างชาติค่ะ เขาเป็นอเมริกันเลยค่ะ แต่ที่ดูเขาไม่ค่อยอเมริกันเท่าไหร่เพราะเขามิกซ์ อิตาเลียน ญี่ปุ่น ฮาวาย จีน และเพราะด้วยงานของสามีด้วยค่ะ เพราะเขาทำงานอยู่สหประชาชาติ แล้วที่ได้เจอกับเขาก็เพราะว่าเขามาทำงานที่สหประชาชาติที่เมืองไทยค่ะ พอแต่งงานก็ได้ย้ายกลับไปที่นิวยอร์กด้วยงานแล้วพอย้ายไปได้สักหนึ่งปีเราก็ท้องมีลูกแล้วก็ไปอยู่ที่นั่นยาวเลย”
อันที่จริงเอ๊ะมีแผนที่จะไปใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศบ้างไหม
“คือ ช่วงปีแรก เอ๊ะ ก็ยังบินไปมาอยู่เพราะว่าเรายังมีธุรกิจของเราอยู่ที่นี่เพราะเราก็ยังให้ความสนใจในธุรกิจของเรา แต่พอมีลูกปุ๊บ หน้าที่แม่เลยต้องมาอันดับหนึ่ง พ่อจะอยู่ที่หนึ่งมันก็ไม่ได้เราเลยตัดสินใจไปอยู่ที่นั่นเลย เอ๊ะคิดแบบนี้ค่ะ ชีวิตของเราเดินถอยหลังลงไปเรื่อยๆ แต่สำหรับชีวิตของลูกเพิ่งเริ่มเพราะฉะนั้นเราเลยอยากให้สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา การตัดสินใจทั้งหมดเลยไม่ได้ขึ้นอยู่ที่ตัวของ เอ๊ะ เองเพราะว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับลูกค่ะ”
เห็นว่าการกลับมาเมืองไทยครั้งนี้กะเวลาผิดคือยังไง
“คือ แบบนี้ค่ะ ขั้นตอนการขอวีซ่าให้ ดอม ก็มีเรื่องเยอะมากแล้วก็เราก่อนที่จะกลับมาคือเราเห็นเพื่อนๆยังลงรูปเที่ยวที่ต่างๆในอินสตราแกรม แบบเบ่งบานมากๆแต่พอเรากลับมาถึงไม่ได้เป็นอย่างที่คิด ต้องบอกว่ามาตรการเปลี่ยนทุกวันอย่าง เอ๊ะฉีดวัคซีนแล้ว 7 วัน แต่ว่าลูกยังเด็กอยู่ก็ต้อง 10 วันในการกักตัว แล้วคือ ด้วยความที่เด็กเขามีพลังเยอะมากแล้วเขาอยู่แต่ในห้องเพราะยังดีที่ห้องที่มีห้องนอน ห้องนั่งเล่น และระเบียงที่เราสามารถออกไปสูดอากาศได้”
แต่การทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างไปเพื่อลูกเพื่ออนาคตที่ดีของลูก ตอนแรกมองว่าฉันสู้ได้แต่พอไปจริงๆเกิดอาการ ซึม เศร้า เกิดอะไรขึ้น
“คือ การที่เราย้ายไปอยู่ที่ นิวยอร์ก เป็นการย้ายไปอยู่ต่างประเทศแบบจริงๆ จังๆ ของเราครั้งแรก แล้วพอมีลูกก็เป็นลูกคนแรก ไหนจะให้นม ไหนจะนอนไม่พอ ทำความสะอาดบ้านอีก ทำอาหารเอง ซักรีด เราทำเองทั้งหมดเลยไม่มีพ่อแม่พี่น้องมาอยู่ข้างๆ เราเลย มันยากมากสำหรับเราซึ่งมันก็ต้องใช้เวลาค่ะ แต่ยังดีที่คุณแม่ก็ยังมีบินไปมาหาเราบ้างใช้ชีวิตอยู่กับเราบ้างที่นั่นช่วงหนึ่ง แต่เราก็ซึมนะคะ อย่างบางทีนั่งๆ อยู่ก็ร้องไห้ก็มีเพราะเราคิดถึงแม่”
เอ๊ะ เรียกว่าเป็นคุณแม่ที่สุดทุกอย่างโดยเฉพาะในการเลี้ยงลูก ไม่มีโทรทัศน์ ไม่หยิบมือถือให้ลูกดู ตัดโซเชียลทุกอย่างออกไปเลย และจะเล่นมือถือก็ต่อเมื่อลูกหลับแล้วขนาดนั้นเลยเหรอ
“ไม่ถึงขนาดนั้นร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ แต่เราทำแบบนั้นจริงๆ (หัวเราะ) จริงๆ เรื่องนี้เริ่มมาจาก ดอม ก่อนเพราะตอนที่อยู่เมืองไทยเขาบอกกับเราว่าเขาไม่อยากได้โทรทัศน์เป็นเซนเตอร์ของบ้าน เพราะอย่างกลับเข้ามาในบ้านเขาไม่อยากให้ทุกคนมานั่งดูทีวี ซึ่งตอนนั้นเราก็เถียงเขานะคะ เพราะว่าเราก็โตมากับทีวีนั่งดูทีวีร่วมกัน แต่พอเราไปต่างประเทศเราถึงได้รู้ว่าอย่างน้อยเลยนะคะ ในสังคมของคนที่เราเจอคือเขาก็อาจจะมีทีวีหรือบางบ้านก็ไม่ได้มีเลยเพราะว่าเขารู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญอะไร เพราะเราต้องการควบคุมสกรีนไทม์ให้น้อยที่สุด เพราะมันมีผลต่อพฤติกรรมของลูกค่อนข้างมาก ดอมเขาเป็นพวกที่อ่านหนังสือเยอะเขาก็จะค้นคว้าหาข้อมูลต่างๆ เยอะ ซึ่งการไม่มีทีวีมันก็เป็นผลที่ดีนะคะ เพราะมันทำให้เขาเป็นเด็กที่มีสมาธิดี แต่ถามว่า โรนิน ลูกชายไม่เคยเล่นโทรศัพท์เลยเหรอเคยนะคะ เพราะว่าเวลาที่เราถ่ายรูปกันเขาก็เลื่อนเป็นทำอะไรเป็น ส่วนการ์ตูนเราจะให้เขาดูอาทิตย์ละ 30 นาที”
แล้วคือ ตอนนี้พอ น้องโรนิน โตขึ้นแล้ว วิ่งได้เล่นได้ แต่ เอ๊ะ เหมือนกับว่ารู้สึกว่าตอนนี้ตัวเองมีลูกสองคน
“ดอม กับ ลูก ตอนนี้เขาเหมือนเป็นเพื่อนกันเลยค่ะ เขาจะไปปั่นจักรยานภูเขาด้วยกัน โรนิน คือ อึดมากเพราะระยะทางที่ไปคือ 11 ไมล์เลย แต่เราก็ไม่ได้ไปบ่อยนะคะ แต่เพราะว่าเขาเป็นเด็กที่ชอบอยู่นอกบ้านด้วยค่ะ เพราะว่าแบบเข็ดรถในบ้านคือเขาจะร้องไห้ แต่พอเข็ดรถพาออกไปนอกบ้านหยุดร้อง”
ทั้ง เอ๊ะ และ สามีคือเป็นคนที่ทุ่มเทเวลาให้กับลูกมากๆให้ตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อเลี้ยงลูกอย่างเดียว แล้วจริงเหรอที่ 2 ปี ไม่ทำงานเลยถามตรงๆรายได้มาจากไหน
“คือ ก่อนหน้าที่เราจะมีลูกเราทั้งคู่ก็ทำงานหนักมากๆ มาก่อน แล้วเราก็ไปลงทุนกับที่ดิน คอนโด กับบ้าน ซึ่งเราก็เก็บค่าเช่าไปเรื่อยๆ ซึ่งถามว่ามันเยอะมากมายเมื่อตอนที่เราทำงานในวงการบันเทิงไหมก็ไม่ค่ะ แต่ว่าเราก็ใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่งเพราะว่าอยู่ที่นั่นไม่มีใครมาสนใจว่าเราถือกระเป๋า รองเท้า เสื้อผ้าแบบไหน อะไร คนรวย คนจน ใส่เสื้อผ้าแบบเดียวกัน คือ ตอนแรกคุณพ่อคุณแม่ เอ๊ะ ท่านก็ไม่เข้าใจว่าตอนแรกทำงานอยู่ UN ดีๆ ลาออกทำไม เพราะสวัสดิการทุกอย่างคือดีมาก แต่อย่างที่บอกค่ะเพื่อลูกเนอะเรามองเห็นว่าความสำคัญของเขาคือตั้งแต่ที่เขาเกิดจนถึง 5 ปี ถ้าเราไม่ได้ใกล้เขาแล้วเราสอนเขาดีพอเราก็ต้องมานั่งแก้ไขเขา ถ้าเขาเป็นวัยรุ่นแล้วเราก็จะมานั่งสอนนั่งบอกว่าทำไมไม่ทำอย่างที่เราบอกเราสอนเราคิดทำไมทำอีกทางอย่างที่เราไม่อยากให้ทำ เราเลยคิดว่าถ้าเราสอนเราสร้างพื้นฐานของเขาให้มันแน่น ให้มั่นคง ต่อไปมันจะดีกับเขาและเรา ถามว่าทุกวันนี้ โรนิน เป็นอเมริกัน หรือ ไทย ครึ่งๆ ค่ะ พูดไทยชัดเลยค่ะ แต่เพราะว่าตอนที่อยู่ที่นั่นมีแค่เอ๊ะที่พูดไทยแต่พอกลับมาที่นี่คือ ภาษาไทย เบ่งบานมากคือสามารถพูดได้เป็นเรื่องเป็นราวเลยค่ะ ส่วนภาษาอังกฤษไม่มีปัญหาอยู่แล้ว”
เห็นว่า น้องโรนิน มาบอกว่า อยากเป็นนักวิทยาศาสตร์
“มาจากที่จำไม่ค่อยได้แล้วค่ะ แต่เราได้คุยกันว่าคนเราเกิดมาต้องมีต้องเจ็บ ต้องแก่ ต้องตาย นะลูกเขาเลยเริ่มคิดกลัวว่าถ้าวันหนึ่งพ่อแม่ต้องจากเขาไป เขาเลยอยากเป็นนักวิทยาศาสตร์เขาจะสร้างสารเคมีอะไรบางอย่างขึ้นมาเพื่อไม่ให้เราตายสามารถย้อนกลับไปเป็นเด็กได้ตลอดเวลา เขาคิดแบบนี้ด้วยความที่เขารักพ่อแม่”
มีลูกชายน่ารักแบบนี้ วางแผนเรื่องทายาทคนต่อไปบ้างไหม
“คือกว่าเราจะได้ โรนิน มา ก็แท้งไปสองครั้ง และทำ IVF 4-5 ครั้งเลยค่ะ คือพยายามมากแล้วที่ได้ โรนิน มาเพราะว่าย้ายไปทำงานที่ ฟิจิ อยู่เดือนหนึ่งแล้วก็ได้เขามาจากธรรมชาติ เราคิดว่าเขาคงเป็นไข่ฟองสุดท้ายที่เหลืออยู่เพราะว่าหลังจากนั้นเราก็พยายามทำแล้วก็ไม่ประสบผลสำเร็จ”
จะมีกลับมาทำงานในวงการบันเทิงไหม
“ก็อยากนะคะ เพราะว่าโควิดเราไม่สามารถออกไปทำงานข้างนอกไม่ได้เลยอยู่แต่ในบ้านแล้วมันก็มีความเหงาเกิดขึ้นเราก็มาคิดว่าเราทิ้งอะไรไป งานเราทำไมเราไม่กลับมาทำเพราะมันคือสิ่งที่เราทำได้ดี”
ซึ่งงานในวงการอาจจะไม่ได้มีให้เห็น แต่ที่เอ๊ะมีให้เห็นและให้ทานเลยก็คือ ร้านอาหารเกาหลี TUDARI 19 สาขา ที่ได้รับผลกระทบจากโควิดเหมือนกัน
“เราเปิดมา 10 ปีแล้วต้องบอกว่าปีนี้เป็นปีที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด เพราะที่ผ่านมาจะมีทั้งช่วงดีและไม่ดีแต่สำหรับปีนี้คือโหดมากที่สุดแล้วค่ะ ก็สำหรับแฟนๆที่ยังคิดถึงกันอยู่ หรือ สำหรับงานในวงการถ้าจะเห็นเอ๊ะ คงรอลูกโตกว่านี้ก่อนนะคะ ส่วนใครที่คิดถึงกันก็แวะไปที่ร้านอาหารของเอ๊ะก่อนนะคะ”
ข้อมูลจาก : รายการ ต้มยำอมรินทร์ ผลิตโดย CHANGE2561
ภาพจาก : ae_sasikarn