แคทรียา อิงลิช

สัมผัสที่ 6 แคทลียา อิงลิช กับเรื่องลี้ลับเหนือคำบรรยาย ที่ไม่สามารถหาคำตอบได้

account_circle
แคทรียา อิงลิช
แคทรียา อิงลิช

นอกจากความสามารถทางการร้อง เต้น และการแสดง ในอีกด้านหนึ่ง แคทรียา อิงลิช ยังสามารถสัมผัสกับเรื่องลี้ลับเหนือคำบรรยายและหลายครั้งที่ต้องเผชิญกับพลังงานที่มาปรากฏให้เห็นหลากรูปแบบ

“แคทเจอเรื่องลี้ลับที่อธิบายยากมาตั้งแต่เด็กๆ แต่ตอนนั้นไม่รู้ว่าคืออะไร พอโตขึ้นจึงเข้าใจว่าตัวเราคงมีเซ้นส์ ครั้งแรกที่เห็นคือตอนเรียนไฮสกูลที่อังกฤษ โรงเรียนแห่งนี้เก่าแก่มาก  สร้างสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2  ยังมีซากของบังเกอร์สำหรับหลบภัยเหลืออยู่เป็นอนุสรณ์

สัมผัสที่ 6 แคทลียา อิงลิช กับเรื่องลี้ลับเหนือคำบรรยาย ที่ไม่สามารถหาคำตอบได้

 แคทรียา อิงลิช

“หอพักนักเรียนอยู่ชั้นบนสุด เป็นห้องใหญ่นอนรวมกันประมาณ 9 คน คืนหนึ่งประมาณเที่ยงคืนกว่า แคทลุกไปเข้าห้องน้ำ ระหว่างทางที่จะเดินไปเปิดประตู หางตาเหลือบเห็นควันสีขาวเป็นดวง เคลื่อนด้วยความเร็วออกมาทางที่เพื่อนนอนอยู่ แล้วมาหยุดตรงหน้า แคทพยายามเพ่งมอง เป็นควันสีขาวๆ ที่เข้มกว่าควันทั่วไป แล้วสักพักก็หายแว่บทะลุประตูออกนอกห้องไปเลย แคทวิ่งตามไปดูก็มีแต่ความว่างเปล่า ได้แต่เก็บความสงสัยนั้นไว้คนเดียว  ไม่กล้าเล่าให้เพื่อนฟัง กลัวเขาหาว่าเราสติไม่ดี”

หลังจากเรียนที่อังกฤษได้ปีกว่า เธอย้ายมาเรียนต่อที่สิงคโปร์ เป็นโรงเรียนประจำเหมือนกัน มีหอพักหลายตึก แต่ความพีคคือสร้างบนพื้นที่ของสุสานเก่าสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2!

“ในห้องพักของแคทมีนักเรียนนอนทั้งหมด 8 เตียง เตียงที่แคทนอนตั้งอยู่กลางห้องพอดี คืนหนึ่งตอนประมาณตี2  แคทสะดุ้งตื่นขึ้นมาเพราะได้ยินเสียงเด็กๆหัวเราะเหมือนกำลังเล่นอยู่ในสนามเด็กเล่น  คือได้ยินเสียงชัดมาก  นึกแปลกใจว่าใครมาวิ่งเล่นกลางดึกอย่างนี้ พอหันไปมองเพื่อนก็เห็นว่าทุกคนหลับอยู่ แคทจึงลุกเดินออกมาเพื่อตามหาเสียงเหล่านั้น ก็ไม่มีใครวิ่งเล่นอยู่จริงๆ สักพักได้ยินเสียงผู้หญิงพูดเสียงดังขึ้นมาว่า ‘เร็วๆ เอาพวกเด็กๆไปซ่อน…เร็ว’  แล้วก็ได้ยินเสียงกรี๊ดของเด็กๆดังไปทั่วแคทได้ยินชัดมากเหมือนอยู่ใกล้ๆ  จึงรีบกระโดดขึ้นเตียงคลุมโปงเลย  พอตอนเช้าถามเพื่อนๆในห้องก็ไม่มีใครได้ยินอะไร แต่ไม่กล้าเล่ารายละเอียดให้ใครฟัง เพราะเดี๋ยวจะทำให้ทุกคนกลัว

“หลังจากนั้น 2-3 วัน  เพื่อนห้องถัดไปที่นอนเตียงตำแหน่งเดียวกับแคท แต่อยู่อีกห้องหนึ่ง มาเล่าให้แคทฟังว่าได้ยินเสียงเด็กเล่นตอนกลางคืน ซึ่งเหมือนที่แคทได้ยินทุกอย่างเลย จึงคิดกับเพื่อนว่าน่าจะเป็นวิญญาณของเด็กๆที่เสียชีวิตจากสงครามและถูกนำมาฝังที่สุสาน  แล้ววิญญาณยังคงวนเวียนอยู่รอบๆ หอพักแห่งนี้”

อีกหนึ่งประสบการณ์ที่เธอบอกว่าเห็นจังๆแบบต่อหน้าต่อตา  และเป็นกลางวันแสกๆที่โรงเรียนในสิงคโปร์แห่งนี้อีกเช่นกัน

“วันนั้นหลังจากเรียนเสร็จ แคทกลับมาที่หอพักคนเดียวเพื่อเก็บของ ก่อนจะลงไปทานของว่างกับชาที่ทางโรงเรียนจัดไว้ ซึ่งในห้องพักมีกระจกบานใหญ่อยู่ติดกับกำแพงข้างประตูเข้าออก พอเดินเข้าประตูไป ภาพแรกที่เห็นคือผู้หญิงผมยาวใส่ชุดขาวนั่งมองกระจกแล้วหวีผมอยู่ตรงปลายเตียงของแคท เขาค่อยๆหันมามอง แล้วก็หายเข้าไปในกระจก แคทยืนช็อกอยู่แป๊บหนึ่งพยายามถามตัวเองว่าฉันเห็นจริงๆ หรือตาฝาด ครั้งนี้ถือว่าเห็นชัดเจนมาก  จนทำให้ต้องสวดมนต์ก่อนนอนทุกคืน จากนั้นก็โชคดีว่าไม่เคยเห็นหรือได้ยินอะไรอีก”

แม้แต่ช่วงที่เป็นนักร้องแล้วออกทัวร์คอนเสิร์ตตามต่างจังหวัด  เธอก็ยังคง “เห็นอะไรบางอย่าง” จนกลายเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในชีวิต  ไม่รู้สึกกลัวหรือสงสัยเหมือนอย่างวัยเด็ก

“ครั้งหนึ่งไปเล่นคอนเสิร์ตแล้วเข้าพักเพื่อแต่งหน้าทำผมที่โรงแรมเล็กๆแห่งหนึ่ง ระหว่างนั่งแต่งหน้าที่โต๊ะเครื่องแป้ง จู่ๆ ก็เห็นเงาดำผ่านข้างหลังไป  วินาทีนั้นรู้แล้วว่าแคทคงไม่ได้อยู่คนเดียว จึงพูดขึ้นมาลอยๆว่า ‘ขออนุญาตนะคะ วันนี้แคทมาทำงาน ขอใช้ห้องหน่อยนะคะ เดี๋ยวตอนเย็นก็จะออกไปแล้วค่ะ ถ้าพูดอะไรไม่ถูกไม่ควรต้องขมาด้วยค่ะ’  แล้วแคทก็แต่งหน้าต่อ สักพักมีเงาดำผ่านด้านหลังอีกรอบ คราวนี้รู้สึกหงุดหงิดแล้วจึงพูดออกไปด้วยอารมณ์ว่า ‘เมื่อกี้พูดดีๆแล้วนะ ทำไมไม่เข้าใจจะต้องให้แช่งใช่ไหม ก็บอกแล้วไง เลิกยุ่งกับฉันได้แล้ว’ แค่อึดใจเดียวก็ได้ยินเสียงดังข้างๆหู เป็นเสียงผู้หญิงถอนหายใจ ‘เฮ้อ…’ แล้วก็หายไปเลย แล้วแคทก็กลับมาแต่งหน้าต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น  เพราะเขาคงมาทักทายและให้รู้ว่าฉันอยู่ที่นี่นะก็แค่นั้น

“ทุกครั้งที่สามารถสื่อหรือพบเจอพวกเขา แคทไม่ได้รู้สึกหวาดกลัวอะไรแล้ว เพราะผีทำอะไรเราไม่ได้ คนน่ากลัวกว่าเยอะค่ะ”


ที่มา : นิตยสารแพรว

Praew Recommend

keyboard_arrow_up