ชลธิชา ลาภผาติกุล

ชลธิชา ลาภผาติกุล หมาใหญ่ใจดี Big Dog Cafè คาเฟ่บำบัด (คน)

account_circle
ชลธิชา ลาภผาติกุล
ชลธิชา ลาภผาติกุล

จากชีวิตที่ราบรื่นของ ชลธิชา ลาภผาติกุล เจ้าของธุรกิจจำหน่ายอุปกรณ์ความงาม Siam Nail และเจ้าของโรงเรียนสอนด้านความงามแบบครบวงจร Nailpro Academy ได้รับ ความรักอย่างอบอุ่นทั้งจากครอบครัวและเพื่อน ๆ แต่วันหนึ่งชีวิตพลิกผันให้ “คุณยุ้ย” กลายมาเป็นผู้ป่วยโรคซึมเศร้า ถึงขั้นเคยกินยาฆ่าตัวตาย

ปัญหาชีวิตที่มองไม่เห็น

“ตอนนั้นมีปัญหาชีวิตคู่จนต้องหย่าร้างกับสามี ด้วยเพราะเราอยู่ห่างกัน เขา ทำธุรกิจโรงแรมที่เกาะพีพี จังหวัดกระบี่ ส่วนยุ้ยทำงานอยู่กรุงเทพฯ ไม่สามารถทิ้ง ชีวิตที่นี่ไปอยู่กับเขาได้ ตอนนั้นรู้สึกเศร้ามาก เก็บตัวอยู่คนเดียว ไม่เคยรู้ตัวว่าตัวเอง เป็นโรคซึมเศร้า พอเครียดมากก็กินยานอนหลับ เริ่มจากวันละ 1 เม็ด พอกินนาน เข้าก็เริ่มติด เม็ดเดียวไม่ค่อยหลับ จึงเพิ่มเป็นครั้งละ 2 เม็ด เพื่อต้องการให้หลับ จะได้ไม่ต้องคิด ตื่นมาก็กินอีก ทำให้ช่วงนั้นแทบไม่ได้ทำงานเลย แต่โชคดีที่งาน รันได้ด้วยตัวเองโดยที่ยุ้ยไม่ต้องเข้าออฟฟิศทุกวัน ส่วนคุณแม่ก็เป็นห่วงมาก แต่ ไม่อยากขัดใจ สิ่งที่ท่านทำได้คืออยู่เป็นเพื่อนเพื่อไม่ให้ลูกเหงา หลังจากพึ่งยานอนหลับ อยู่เกือบ 6 เดือน สภาพจิตเริ่มแย่ลง ถึงขนาดนั่งคุยกับกระจกแบบเป็นเรื่องเป็นราว

“วันหนึ่งโทรศัพท์ไปร้องไห้ฟูมฟายกับเพื่อนว่ากินยานอนหลับเข้าไป 30 เม็ด เพื่อน ๆ ก็รีบพาไปล้างท้องที่โรงพยาบาล แต่คุณหมอบอกว่าไม่มียาอยู่เลย คือ ยุ้ยไม่ได้กิน แต่เข้าใจว่าตัวเองกิน ประมาณว่าเกิดภาพหลอน ทำให้ทะเลาะกับ เพื่อนทั้งกลุ่ม เพราะคิดว่ายุ้ยโกหกเพื่อต้องการเรียกร้องความสนใจ ถึงขั้นเลิกคบ กันไป เรียกว่าตอนนั้นมรสุมชีวิตรุมเร้าทุกด้าน

“อาการยุ้ยยิ่งหนักขึ้น เหมือนคนไร้สติ ถามอย่างตอบอย่าง คิดว่าอาการ ตอนนั้นน่าจะเลยคำว่าซึมเศร้าไปแล้ว จนอดีตสามีต้องรีบมาจากกระบี่แล้วพา ไปโรงพยาบาลมนารมย์เพื่อรักษาอาการทางจิต ประมาณ 15 วัน ตอนนั้นไม่รู้ว่า ตัวเองอยู่ที่ไหน เพราะเป็นห้องผนังปูนโล่ง ๆ ที่มีการล็อกแขนเหมือนในหนังเลย มารู้สึกตัวอีกที 3 วันก่อนจะออกจากโรงพยาบาล เริ่มเดินออกจากห้องมาพูดคุย กับพยาบาล อยากคุยโทรศัพท์”

น้องหมาช่วยบำบัด

“หลังออกจากโรงพยาบาล ระหว่างนอนดูหนังอยู่บ้านเรื่อง ฮาชิ…หัวใจพูดได้ (Hachi : A Dog’s Tale) เป็นเรื่องราวของหมาที่รักและซื่อสัตย์กับเจ้าของมาก พอดูแล้วก็หันมามองเจ้าตัวที่อยู่ข้าง ๆ ชื่อผักบุ้ง พันธุ์ชิสุ ที่เขาอยู่กับยุ้ยตลอด เคยล้มในห้องน้ำตอนตี 3 ผักบุ้งรีบวิ่งไปเห่าและตะกุยที่ห้องแม่บ้านเพื่อให้มาช่วย”

วันนั้นทำให้เธออยากรู้จักหมาสายพันธุ์ต่าง ๆ แล้วเริ่มที่จะหาซื้อมาเลี้ยง เพื่อเติมเต็มความอบอุ่นของชีวิตที่ขาดหาย

“ตอนนั้นสั่งนำเข้ามาหลายสายพันธุ์ อย่างอลาสกัน มาลามิวต์ พันธุ์เก่าแก่ ที่ใช้สำหรับลากเลื่อนในแถบอาร์กติก พันธุ์โคมอนดอร์ของฮังการีที่ตัวใหญ่ที่สุด ในโลก พันธุ์ทิเบต และพันธุ์แอร์เดล เทอร์เรีย ที่ช่วยคลายเครียด สั่งซื้อมา เกือบ 20 ตัว จนเงินในบัญชีเหลือ 0 บาท เพราะแต่ละตัวราคา 2 – 3 แสนบาท

“นับตั้งแต่วันแรกที่มีพวกเขามาอยู่ด้วย ทำให้ยุ้ยเลิกเครียดไปเลย เพราะ กลายเป็นยุ่งมาก (ยิ้ม) ต้องคอยดูแลตลอดเวลา เหมือนเขาฝากชีวิตไว้กับเรา จากนั้น ชีวิตก็ค่อย ๆ ดีขึ้น เริ่มออกไปกินข้าวข้างนอกบ้าน แล้วกลับไปทำงานได้เหมือนเดิม”

ชลธิชา ลาภผาติกุล

พร้อมแบ่งปัน

ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้เปิดร้านคาเฟ่หมาใหญ่ใจดี หรือ Big Dog Cafè จนเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางทั้งในไทยและต่างประเทศ

“ที่สุดยุ้ยตัดสินใจเปิด Big Dog Cafè ขึ้นที่บ้านทาวน์เฮ้าส์ของตัวเอง ด้วย ความตั้งใจอยากช่วยคนอื่นบ้าง เพราะน้องหมาเหล่านี้ทำให้ยุ้ยดีขึ้น ก็อยากให้ พวกเขาได้มีส่วนช่วยเหลือสังคม ช่วยให้คนคลายเครียดและมีความสุขที่ได้สัมผัส และได้กอดพวกเขา ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จ ลูกค้าเข้ามาเยอะมากในแต่ละวัน โดยเฉพาะลูกค้าจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์ มาเลเซีย มาเก๊า หลังจาก เปิดได้ประมาณ 6 เดือนก็ย้ายร้านจากบ้านแถวลาดพร้าวมาเปิดที่ฝั่งตรงข้ามตึก ไทยประกันชีวิต ถนนรัชดาภิเษก

“เมื่อเริ่มมีสื่อมาสัมภาษณ์ ทำให้มีลูกค้าที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้าและโรค ไบโพลาร์ (โรคอารมณ์สองขั้ว) มาเป็นประจำ อย่างคนหนึ่งเป็นโรคไบโพลาร์ เดินเข้ามา ในร้านด้วยท่าทางเหวี่ยงมาก พูดต่อว่าโดยไม่มีเหตุผล แล้วก็กลับมาเป็นพูดจาดี พอชวนให้เขาไปเล่นกับน้องหมา หลังจากนั้นเขามาที่ร้านเกือบทุกวัน เริ่มเห็นความ เปลี่ยนแปลงคือ เขาใจเย็นลง แล้วพูดจาเป็นปกติ จนวันหนึ่งมาบอกว่าคุณหมอ ลดยาให้แล้ว สักพักก็มีแฟน แล้วตอนนี้เขาก็ไม่ต้องมาที่ร้านอีกเลย (หัวเราะ) เชื่อ ว่ามีลูกค้าร้านหมาใหญ่ใจดีหายจากโรคซึมเศร้าและโรคไบโพลาร์ไม่น้อยกว่า 4 คน

“อีกเคสหนึ่งเป็นน้องผู้หญิง อายุประมาณ 16 ปี หน้าตาดี ฐานะทางบ้าน ก็ดี ครอบครัวอบอุ่น แต่มาระบายกับยุ้ยว่า หนูอยากตาย เพราะรู้สึกว่าตัวเอง เป็นตัวถ่วงของพ่อแม่ คิดไปเองว่าพ่อแม่ลำบากที่ต้องมาเลี้ยงเขา น้องคนนี้ มาทุกวัน ประมาณสัปดาห์กว่า จากที่ทีแรกมาคนเดียว เริ่มพาพ่อแม่มาด้วย

จนทุกวันนี้ไม่พูดว่าอยากตายอีกเลย อาจเพราะความไร้เดียงสาและแววตา อันอ่อนโยนของน้องหมา ทำให้ทุกข์ที่หนักหนา เรื่องบางอย่างในใจคลายลง เป็นสิ่งที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูด แต่รู้สึกได้”

นอกจากนี้คุณยุ้ยยังช่วยเหลือน้องหมาที่ถูกทิ้งและตกยากด้วย

“สำหรับยุ้ย จากที่เคยคิดถึงแต่ตัวเอง พอชีวิตได้ใกล้ชิดพวกเขา ก็เปลี่ยน มาอยากช่วยเหลือคนอื่นรวมทั้งสัตว์ต่าง ๆ อย่างที่ร้านบางวันมีคนนำหมามาทิ้ง จน วันนี้ไม่ต่ำกว่า 10 ตัวแล้ว เขาคงคิดว่าที่นี่ช่วยดูแลได้ ซึ่งหมาที่ถูกทิ้งแต่ละตัวเป็น หมาพันธุ์ดี ๆ ด้วยนะคะ ไม่ใช่จรจัด แต่มีบ้างที่ป่วย เราก็ดูแลและรักษาอย่างดี เพื่อให้เขาสบายที่สุดจนกว่าจะถึงวาระสุดท้าย

“ตอนนี้ที่ร้านมีน้องหมาทั้งหมด 55 ตัว ลูกค้าสามารถเข้ามาเล่นด้วยได้ใน ห้องปลอดเชื้อภายในระยะเวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง โดยเราจะเปลี่ยนน้องออกมารับแขก เป็นรอบ รอบละ 20 นาที โดยมีพี่เลี้ยงคอยดูแลและให้ความรู้เรื่องแต่ละสายพันธุ์ และการเล่นกับเขาอย่างถูกวิธี”

เธอยังฝากถึงคนที่กำลังประสบปัญหาชีวิตหรือต่อสู้กับอาการซึมเศร้าเหมือน อย่างเธอที่ได้ก้าวผ่านมาแล้ว

“เวลาเกิดวิกฤติในชีวิต เราต้องคอยเตือนตัวเองไว้เสมอว่า ทุกเรื่องจะผ่าน ไป เราต้องอยู่ได้ แล้วอย่าเก็บตัวคนเดียว ให้หาอะไรที่ชอบทำ โฟกัสกับสิ่งนั้น เพื่อเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจตัวเอง โดยเฉพาะผู้ที่ประสบปัญหาเรื่องความรัก เวลานั้นเราอาจจะรู้สึกว่าปัญหานั้นใหญ่มาก แต่พอสามารถพาตัวเองออกมาได้แล้ว มองย้อนกลับไป ถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมากในชีวิต “แค่ถามตัวเองว่าเราอยากให้ชีวิตเป็นอย่างไร มีความสุขหรือแย่ลง เราเลือกได้ค่ะ”


เรื่อง : กิดานันท์ สุดเสน่หา ภาพ : อิทธิศักดิ์ บุญปราศภัย สไตลิสต์ : up_kamphoo

Praew Recommend

keyboard_arrow_up