ฟิล์ม รัฐภูมิ

ฟิล์ม รัฐภูมิ แมว 9 ชีวิต มองเห็นสัจธรรมต่ำสุดจนถึงสูงสุด

account_circle
ฟิล์ม รัฐภูมิ
ฟิล์ม รัฐภูมิ

ฟิล์ม รัฐภูมิ เล่าประสบการณ์แมว 9 ชีวิต มองเห็นสัจธรรมต่ำสุดจนถึงสูงสุด พร้อมเปิดใจครั้งแรกเกือบได้เล่นหนังกับทางฮอลลีวู้ด

ถูกยกให้เป็นแมว 9 ชีวิตในวงการบันเทิง หลังพระเอกดัง ฟิล์ม-รัฐภูมิ โตคงทรัพย์ เจอมรสุมรุมเร้า จนเข้าใจสัจจะธรรมชีวิต มีขึ้น ย่อมมีลง เผยชีวิตตนจากเป็นตัวประกอบกลายมาได้เป็นซุป’ตาร์มีรายได้นับไม่ถ้วน แต่ในวันที่อยู่ในขาลงก็ต้องอยู่ให้ได้ หากคิดว่าตัวเองเป็นซุปตาร์ก็มีแต่รอตาย เพราะความไม่เคยท้อและถอยของ ฟิล์ม ที่มาเล่าประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาแบบทุกซอกทุกมุมในรายการ ต้มยำอมรินทร์ ผลิตโดย CHANGE2561 ช่วงที่ไปอยู่ต่างแดนเกือบจะได้เป็นดาราฮอลลีวู้ดแล้ว แต่ตอนนี้กลับมาอยู่ไทยเจ้าตัวก็ได้สานฝันอีกครั้งสร้างวงดนตรีที่ตัวเองรักขึ้นมาใหม่ในชื่อวง The Circus และปล่อยเพลง โอ้วแม่สาวน้อย ออกมาเป็นที่เรียบร้อย

หายจากวงการเพลงไปนานมาก 5 ปี แต่ดูโตขึ้น ฟิล์ม ดูนิ่งขึ้นเกี่ยวไหมเพราะว่าเราเจออะไรมาเยอะในช่วงชีวิตที่ผ่านมา

ฟิล์ม : จริงๆ อาจจะเกี่ยวเพราะโตตามวัยด้วย แล้วบวกกับว่าประสบการณ์ต่างๆ หนาแน่นขึ้นตามวัย

ช่วงที่มีข่าวเยอะๆ ตอนนั้น เหมือนกับสูงสุดคืนสู่สามัญเลย เพราะต้องบอกว่าตอนนั้น ฟิล์ม เป็นหนึ่งในตัวท็อปเลยนะ รับมือยังไงบ้างในเหตุการณ์ครั้งนั้น

ฟิล์ม รัฐภูมิ

ฟิล์ม : สำหรับผมไม่ได้ผ่านอะไรมาก และยากเลยเพราะทางคุณพ่อ คุณแม่ ครอบครัว ผู้มีพระคุณหรือว่าเฮียฮ้อ เขาก็สอนให้เราเป็นคนธรรมดาอยู่แล้ว ไม่เคยที่จะไปหลงระเริงอะไรเลย แล้วอยู่วันหนึ่งเราไม่มีงานทำเลย เพราะผมถูกต้นสังกัดบอกให้ต้นสังกัดของผมไม่ให้งาน 2  ปี พอกลับมาเป็นคนปกติไม่มีงานทำสองปี คิดถึงแฟนๆ เท่านั้นเองเพราะเคยเจอทุกวัน ร้องเพลงทุกวันเพราะเช้าละคร เย็นคอนเสิร์ตเป็นแบบนี้เกือบ 10 ปี แต่พอมาเป็นแบบนี้เราคิดถึงเขามากกว่า แต่มันก็ทำให้เราได้มีเวลาอยู่กับตัวเอง ทำให้เราค้นพบอะไรบางอย่างว่าเราทำแบบนี้ก็ได้ ช่วงที่ผมหายไปตอนนั้นก็ไปอยู่ต่างประเทศส่วนใหญ่ ที่ไปตอนนั้นด้วยความที่ผมไปบวชมาแล้วไม่มีผม แล้วถูกพักงานด้วย จะไปแอบรับงานก็ไม่ดี

เฮียฮ้อ เลยบอกว่า ฟิล์ม ไปต่างประเทศไหมไปเรียนไหม เราก็โอเค เพราะเป็นอีกหนึ่งความฝันของเราด้วยที่เราอยากไปอยู่ต่างประเทศอยู่แล้ว เลยได้ไปอยู่ พอไปอยู่แล้วก็คำนวณว่าเราจะอยู่กันยังไงเพราะสองปีผมเอาแม่ไปด้วยเพราะ แม่ กับ ผมอยู่ด้วยกันตลอด เพราะปกติที่ผ่านมาผมจะเป็นเสาหลักของครอบครัว แล้วสองปีไม่มีเงินที่เราหามาได้เราต้องใช้เงินเก่าบวกกับเราต้องไปอยู่ เราเลยต้องจัดการเรื่องเงินให้ดี ตอนนั้นก็ไปสมัครเป็นคนล้างจานในร้านอาหารไทยครับ คือ หกเดือนแรกผมล้างจานอย่างเดียวเพราะว่ายังพูดภาษาอังกฤษไม่คล่อง จำเมนูไม่ได้ แต่พอเราได้ใช้เวลาเรียนรู้เราก็ได้เลื่อนขึ้นมาเป็นพนักงานบริการ

ตอนนั้นคนที่เห็นเราก็เริ่มตกใจ ร้านก็ขายดีมากขึ้น แฟนๆ จะคิดถึงเรา มาหาเราแล้วก็ถ่ายรูป ทำให้เราได้เรียนรู้ว่ามันเป็นแบบนี้ เงินมันหายากมากเลยนะ คือ เมื่อก่อนตอนเป็นศิลปินไปยืนไม่นานก็ได้เป็นแสนๆ แล้ว เราก็รู้สึกว่าต้องทำธุรกิจต่อยอดเราต้องทำนั้นทำนี่ต่อยอดนะ แล้วถ้ามันเกิดวิกฤตแบบนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคตผมจะได้ไม่ต้องไปกลัวอะไรที่คนข้างหลังจะลำบาก เพราะผมดันวางแผนชีวิตที่ผิดไปตอนแรกตอนที่เราเข้าวงการใหม่ให้ครอบครัวเราหยุดงานเดี๋ยวเลี้ยงเอง เพราะทั้งชีวิตที่เราเกิดมา เราเห็นแต่น้ำตาของพวกเขาเพราะไม่มีเงิน ทำให้เรารู้สึกว่าเราเห็นพวกเขาลำบากมาทั้งชีวิตแล้ว พอเราทำงานแล้วมีเงินเราเลยบอกให้ทุกคนหยุดไม่ต้องทำอะไรแต่สิ่งที่ได้กลับมาคือ เขาแก่ เขาเบื่อ เพราะไม่ได้ทำอะไร แต่พอเราเจอช่วงวิกฤตในชีวิตเราแทบประคองพวกเขาแทบไม่ไหว เมื่อผ่านตอนนั้นมาได้ ผมเลยเริ่มต้นชีวิตใหม่ ตอนนี้ก็ให้เขาปลูกผัก หากิจกรรมทำกัน

 ตอนนั้นเรามีความรู้สึกอึดอัดลังเลกับการที่เราต้องลงไปล้างจาน หรือ เสิร์ฟ อาหารบ้างไหม

ฟิล์ม รัฐภูมิ

ฟิล์ม : ไม่รู้สึกเลยครับ เพราะตอนที่อยู่ที่บ้านผมเป็นคนที่ล้างจานอยู่แล้ว แต่ผมจะรู้สึกอึดอัดกับคนที่มาดูถูกมากกว่าเพราะในบางครั้งมีผู้ชายมากับผู้หญิง แล้วผู้หญิงมากรี๊ดเราแล้วเราเสิร์ฟเขาก็จะพูดจากับเราไม่ดี อย่างเวลาผมไปร้องเพลงกลางคืน ตอนเสาร์ อาทิตย์ (เพราะตอนนั้นเราต้องหารายได้ทุกช่องทางเท่าที่ทำได้)

ตอนเช้าผมเรียนหนังสือ ตอนเย็นมาเสิร์ฟ ตอนกลางคืนไปร้องเพลง ก็ร้องเพลงไทยทั่วๆ ไป และบางทีผมก็ไปยืนขายตั๋วฟุตบอล เพราะร้านอาหารไทยที่ผมทำเขาอยู่ติดกับสนามฟุตบอลแล้วเขาก็ได้สปอนเซอร์ ได้บัตรฟรีมา (เขาบอกว่าเขาดูจนเบื่อแล้ว) ผมเลยขอบัตรเขามาแล้วเอาไปขายต่อ แล้วบางทีคนไทยเขาไม่เข้าใจไงครับว่าซุป’ตาร์ทำไมมายืนขายตั๋ว แต่เพราะความอยู่รอดของผม ผมเลยไปยืนขายและสิ่งที่ผมได้จากการขายบัตรที่สุด คือ จากคนไทยเพราะเวลาเขาไปแล้วเขาไม่มีตั๋ว ตอนไปยืนขายก็มีคนดูถูกเรานะครับ ว่าทำไมมายืนขายแบบนี้

 พอมีคนดูถูกที่เราไปยืนขายตั๋ว เรามีความลังเลไหมที่จะเลิกขาย

ฟิล์ม : ไม่มีความลังเลนะครับ เพราะแม่ผมมีความสามารถทำคิ้ว ทำผม เขายังนั่งรถเมล์ไปทำคิ้วให้คนไทยบ้าง ไปอยู่กับแวดวงคนไทยบ้าง แล้วผมเห็นแม่ผมซึ่งพูดภาษาอังกฤษไม่เป็นเลย แต่ต้องนั่งรถเมล์ไป พอผมเห็นภาพแบบนั้นผมเลยไม่รู้สึกเหนื่อยด้วยซ้ำในการใช้ชีวิตอยู่

แล้วเคยคิดไหมว่าเราจะเป็น ฟิล์ม รัฐภูมิ แบบนี้ถึงเมื่อไหร่ และเราจะได้กลับไปเป็น ฟิล์ม รัฐภูมิ ที่แค่ยกมือขึ้นคนก็กรี๊ดแล้ว

ฟิล์ม : มันมีสิ่งหนึ่งถ้าเกิดว่าย้อนกลับไปได้ผมจะกลับไปทำ และ ไม่เคยเล่าที่ไหนด้วยผมไปแคส แล้วผมไปติดหนังโฆษณาหนังใหญ่ของฮอลลีวู้ด เรื่อง โรนินแฟลก ตอนนั้นเขาหาคนที่หน้าจีน ญี่ปุ่น ไปเป็น 1 ใน 47 โรนินแฟลกพอดี พี่สาวผมเป็นคนเห็นป้ายประกาศนี้เขาบอกผมว่าไปแคส เราก็จะบ้าเหรอ แต่ใจจริงคือ ไปอยู่แล้ว เพราะเราไม่กลัวอยู่แล้วพวกแบบนี้เลย พอไปแคสเขาก็ให้เราขี่ม้า ร้องไห้ เราทำได้ทุกอย่างจนเขารู้สึกว่าทำไมเราเก่งแบบนี้ เพราะเขาไม่รู้ว่าเราเป็นใคร แต่ในใจเราตอนนั้นไม่ได้หรอก เพราะภาษาเราก็ไม่ได้

พอเรากลับถึงบ้านก็มีอีเมล์มาทันทีเลยว่า โอเคนะ แล้วมาเป็นแพลนเลยว่า 4 ปีนี้ทำอะไรบ้าง คือ เรียนการแสดง 2 ปี ยิงธนูฟันดาบ 2 ปี ถ่ายอีก 2 ปี แต่เขาจะมาตารางมาให้ ปีแรกได้กี่บาท ปีที่สองได้กี่บาท ปีสามได้กี่บาท และปีสุดท้ายได้กี่บาท ทุกปีที่เราเรียน ฝึกคือ เราได้เงิน 4 ปี เป็นเงินสองล้านบาท ก็ตกเดือนละ 3-4 หมื่นบาท ใช้เวลาหนึ่งวัน 5-6 ชั่วโมง แต่มันก็ไม่ใช่ 3-4 หมื่นไปทุกเดือนนะครับ แต่มันก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆแต่ว่าผมมาวิเคราะห์แล้วก็โทรปรึกษาเฮีย ว่าเอาไงดี นี่คือฝันของเลยนะ ผมอยากคว้าสิ่งนี้มา เลยปรึกษากันไปมาเลยตกลงว่าไม่รับ เพราะว่าผมเลี้ยงชีวิตผมไม่ได้ แล้วผมยังมีคนที่ผมยังต้องดูแลอยู่ แล้วพอผมกลับมาประเทศไทย มีงานทำ แล้วผมมองย้อนกลับไปผมก็อยากทำตรงนั้นอยู่ แต่โอกาสนั้นมันไม่สามารถกลับมาได้อีกแล้ว

ถึงจะห่างหายจากวงการบันเทิงไปแต่สิ่งหนึ่งเลยที่ฟิล์ม รัฐภูมิ ไม่เปลี่ยนไปเลยคือ ความหล่อ คงเหมือนเดิมไม่เคยได้ทำศัลยกรรมเพราะเป็นโรคกลัวเข็ม

ฟิล์ม : ก็ต้องบอกว่าไม่มีผ่าตัดไม่มีอะไรเลยเพราะแม่ปั้นมาทรงนี้  คือ ผมไม่ได้กลัวเข็มแต่ผมกลัวเจ็บ เพราะผมเคยไปโบท็อกซ์เมื่อนานๆ มากๆ แล้ว คือ ตอนนั้นผมฉีดแล้วยิ้มไม่ได้ แล้วเจ็บผมเลยรู้สึกว่าทำไมมันน่ากลัวแบบนี้เลยไม่ทำ

กลัวขนาดนี้ ฟิล์ม ปักหมุดเลยไหมว่าชีวิตนี้จะไม่ยุ่งกับการทำศัลยกรรมเลย

ฟิล์ม รัฐภูมิ

ฟิล์ม : ไม่ขนาดนั้นนะครับ ผมไม่ได้ต่อต้าน แต่เราไม่จำเป็นต้องทำ แล้วที่ผ่านมาคือ ผมเล่นแต่ละครตลกไม่จำเป็นต้องหล่ออะไร แต่ละครเรื่องล่าสุดที่มาเล่นกับอมรินทร์ เรื่องตะวันตกดิน ผมก็ช็อคมาก เพราะผมเพิ่งออกมาเป็นอิสระ เพิ่งออกมาจากบ้านเรา เพิ่งมารับละครเรื่องแรกเลย แล้วผมมาเจอกับ พี่ฉอด ครั้งแรกที่เจอกันเลยผมถ่ายภาพนิ่งอยู่ แล้วพี่ฉอด เรียก ฟิล์ม มานี่หน่อยผมก็เดินมา (พี่ฉอดพูดว่าพี่ว่าต้องฉีดนะ เหนียงต้องเก็บ) ผมเลยถามว่าขนาดนั้นเลยเหรอครับ เพราะในบทมีคนรวย มีผู้หญิง ต้องหล่อ เลยเพิ่งไปฉีดมา

ทำไมถึงพูดถึงแต่ละครตลก ไม่ชอบดราม่า

ฟิล์ม : เพราะผมเคยเล่นแล้วมันเครียดเกินไปพอกลับไปที่บ้านเราต้องไปจมอยู่กับความทุกข์ อ่านบทแล้วแบบว่าจะเล่นยังไง ต้องทำการบ้านแบบไหน บทก็ต้องจำให้เป๊ะ !! ที่ผ่านมาเราเจอแบบนั้น ไม่ใช่บทละครไม่ดี แต่เราไม่อยากเล่นแบบนั้น แต่เราขอเล่นแบบ ตลกๆนะ

แต่ทำไมรับเรื่อง ตะวันตกดิน เพราะเรื่องนี้ดราม่าแน่ๆ

ฟิล์ม : เพราะผมชอบละครเรื่องนี้ พออ่านบทแล้วผมรู้สึกว่า เป็นละครเรื่องแรกในชีวิตของผมเลยนะที่รู้สึกเล่นเป็น มนุษย์ เรื่องนี้ คือ มีการอิจฉา ริษยา พยายามให้ได้มา หลงระเริง คือมันคบหมดตามชื่อเลย ตะวันตกดิน คือ มีขึ้นสว่างสดใส แล้วก็ตกมืดไม่มีใครสนใจ เป็นแรกเลยที่ผมรู้สึกว่าน่าเล่นมากๆ เป็นนักร้องเราก็รอเพลงดีๆเหมือนกัน และ เราออกมาเป็นนักแสดงอิสระเราก็อยากได้บทดีๆเหมือนกัน ต้องขอบคุณ พี่ฉอด มากๆนะครับ

ส่วนอีกเรื่องในส่วนตัวของ ฟิล์ม ที่ใครที่ตามติดในอินสตาแกรมส่วนตัวจะเห็นว่า ฟิล์ม สะสมรถเยอะมาก

ฟิล์ม : ปกติชอบรถคลาสสิคอยู่แล้ว แล้วเก็บสะสมมาโดยตลอดอยู่แล้ว ซึ่งคนมารู้ว่าเราวสะสมมากๆ ช่วงโควิด เพราะตอนนั้นคือ เราทำอะไรกันไม่ได้ แล้วเราเปิดบริษัทโปรดักชั่น ผมเลยไลฟ์คุยเรื่องรถที่ผมสะสมปรากฏว่าคนชอบทำให้มีรายได้กลับมา แล้วได้ทำ ได้พูดในสิ่งที่เราชอบด้วย แล้วพอรายการออกไปคือ คนมาขอซื้อรถจากผมเยอะมาก ตอนนี้เลยกลายเป็นธุรกิจขายรถคลาสสิคโดยตรง คือ เอารถเก่าที่แทบจะพังแล้วนำกลับมาทำใหม่ให้ใช้ได้เหมือนเดิม

เรื่องรถประสบความสำเร็จไปแล้ว แล้วเรื่องความรักเป็นยังไงบ้าง

ฟิล์ม : ผมไม่ค่อยมองเรื่องนี้ครับ คือ ไม่ใช่ไม่มีเข้ามาเป็นเราไม่ได้สนใจมากกว่า เพราะผมมองว่าอยากให้น้องๆ แฟนๆ ที่ดูผมเป็นแบบอย่าง คือ ได้เห็นถึงการทำงาน ดูแลคุณพ่อคุณแม่ ส่วนเรื่องมุมความรักของผมไม่ใช่ไม่อยากให้มองนะ แต่มันไม่มีอะไรน่ามองมากกว่า เพราะเดี๋ยวรักๆเลิกๆ มันเลยไม่รู้จะมองมุมไหน ในวันที่มีความสุขใครๆก็รู้สึกดี ใครไม่อยากมีโมเมนต์จับมือ กอดแฟน ลงโซเชียลบ้างแต่ถ้าเลิกกันก็มารุมด่ากันอีก ผมเลยรู้สึกว่ามันไม่จำเป็นเลย แต่สิ่งที่ผมอยากให้ทุกคนเห็นผมคือ สู้ชีวิตทำงาน ไม่เคยท้อ ส่วนเรื่องความรักผมมองว่ามันไม่จำเป็นเลย เราไม่เห็นว่าเราจะเอามุมนี้ไปให้ใครมอง

 แปลว่าถ้า ฟิล์ม มีแฟนคือ จะไม่เปิดเผยแล้ว

ฟิล์ม : ใช่ครับ คือ ผมมองว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เราจะหยิบมาพูดเอาให้มันแน่นอนก่อนดีกว่า แต่ในชีวิตจริงผมให้เกียรติเขา ผมก็รักเขา แล้วผมก็ดูแลเขาดี

ตอนนี้มีใครมาดูแลหัวใจไหม

ฟิล์ม : ตอนนี้ผมก็ยังว่างๆ อยู่ครับ

แล้วเคยมอง อนาคตตัวเองไหมว่าจะเป็น สามี เป็นคุณพ่อ

ฟิล์ม : ผมคิดมาตลอดอยู่แล้วครับ อยากมีมาตบอกอยู่แล้ว เพราะผมเคยเลี้ยงเด็ก ผมว่าคือชีวิตผม ผมอยากจะเติมเต็มอะไรบางอย่างที่ผมไม่มีในวัยเด็กก็จะใส่ไปให้ลูกในอนาคตถ้ามีนะครับ


 

Praew Recommend

keyboard_arrow_up