“พร้อม ราชภัทร” ศิลปินอารมณ์ดี…ที่ฝันอยากมีความสุข

“พร้อม ราชภัทร”  ศิลปินอารมณ์ดี ที่ฝันอยากมีความสุข

เรียกเสียงกรี๊ดได้ตั้งแต่ออนแอร์อีพีแรก สำหรับ “หน่าฮ่านเดอะซีรีส์” AIS PLAY ORIGINAL ภายใต้การผลิตของ TV Thunder กับเรื่องราวโรแมนติกคอมเมดี้ สะท้อนสังคมของวัยรุ่นอีสาน ที่ได้หนุ่มเลือดอีสานแท้ “พร้อม – ราชภัทร วรสาร” มารับบท “สิงโต” หนุ่มหล่อ มีเสน่ห์ ขยันทำมาหากิน กตัญญู  พูดเก่ง  มีความคิดเป็นผู้ใหญ่ และตั้งเป้าหมายในชีวิตชัดเจน และตอนนี้ก็มาถึงอีพีสุดท้ายแล้ว

แพรว จึงขอพาไปทำความรู้จักกับพระเอกคนนี้ ถึงตัวตน มุมมอง และชีวิตของเขา

ในเรื่อง“หน่าฮ่านเดอะซีรีส์” บทบาท “สิงโต” เป็นอย่างไรบ้างคะ

“แตกต่างจากเรื่องที่เคยแสดงมาเยอะมากครับ ไม่ว่าจะเป็นภาษาที่ใช้ มุมมองของตัวละคร แนวคิดต่างๆ เพราะ ‘สิงโต’ ค่อนข้างจริงจังกับชีวิต ชีวิตมีการต่อสู้ แต่สิ่งหนึ่งที่ถนัดมากๆ ในเรื่องนี้ก็คือ การได้พูดภาษาอีสาน เป็นเรื่องที่ไม่ต้องกังวลเลยครับ มั่นใจมาก เป็นตัวเองสุดๆ (ยิ้ม) และอีกเรื่องที่ค่อนข้างยากคือ ในเรื่องผมต้องเล่นกีต้าร์ ซึ่งต้องมีการฝึกฝนก่อนแสดงค่อนข้างเยอะ”

 พร้อม ให้คำแนะนำเพื่อนๆ เรื่องพูดสำเนียงอีสานบ้างไหมคะ

“ก็มีบ้างครับ อย่างน้องบางคนเขาพูดได้นะครับ แต่ว่าสำเนียงอาจจะไม่ได้ ก็จะบอกว่า น้องพูดตามพี่นะ” (หัวเราะ)

การรับบทเป็น สิงโต ให้อะไรกับพร้อมบ้างคะ

“เยอะมากครับ แทบจะทุกเรื่องเลยนะ อย่างแรกเลย เราได้มุมมองใหม่ๆ จากตัวละคร เพราะเวลาแสดงเป็นตัวละครสักคนหนึ่ง เหมือนเราได้ใส่ชุดมาสคอตเป็นชุดของเขา ต้องศึกษาความคิดของเขา ว่าทำไมถึงคิดแบบนี้ ทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ ซึ่งทำให้เราเข้าใจและเรียนรู้มุมมองของคนหลายๆ แบบ อย่าง สิงโต เขาจะมีวิธีคิดที่ค่อนข้างจริงจังกับอนาคต การทำงาน หาเงิน ซึ่งผมก็ได้เรียนรู้มุมมองที่โตขึ้น จากสิงโตด้วยครับ”

แล้ว “พร้อม” คิดว่าตัวเองเป็นแบบไหนคะ

“น่าจะ…ร่าเริงมั้งครับ เฟรนด์ลี่ ทำให้คนหัวเราะง่าย แล้วก็ค่อนข้างกวนในระดับนึง (หัวเราะ) บางคนเห็นผมเวลาถ่ายรูป หรือในไอจี จะดูนิ่งๆ แต่จริงๆ พอกดซัตเตอร์ปุ๊ป ก็ขยับแล้วครับ จากนั้นทุกคนก็จะวิ่งหนีผม แล้วพูดว่า หยุดได้แล้ว หยุดพูดเดี๋ยวนี้” (หัวเราะ)

พร้อม ในวัย 23 ปี คิดว่าตัวเองเปลี่ยน หรือโตขึ้นในมุมไหนบ้างคะ

“อย่างแรกคือ ตัวโตขึ้นครับ (หัวเราะ) ล้อเล่นครับๆ น่าจะเป็นความคิดที่เปลี่ยนไป เพราะโตขึ้น เราได้ใช้เวลาชีวิตของเราเพิ่มขึ้น ได้เจอนู่นเจอนี่ บางวันก็เจอเรื่องที่แย่ แบบที่ไม่เคยเจอมาก่อน บางวันเราก็เจอปัญหาที่แก้ไม่ได้ แต่บางวันก็มีความสุขมากๆ ซึ่งทุกอย่างที่เจอทำให้เรามีประสบการณ์ชีวิตเพิ่มขึ้น

“แม้ว่าบางวันที่เจอปัญหา หรือเหนื่อยมากๆ ถ้าเป็นตอนเด็ก คงอยากหนีไปเลย แต่ตอนนี้เราไม่ได้คิดแบบนั้น เพราะเรามีเป้าหมายชีวิต ยังอยากทำงาน ยังอยากเจอเพื่อน อาจจะเพราะตอนเด็ก เราไม่มีอะไรต้องกังวล ตื่นมาไปเรียน เล่นกับเพื่อน แต่ตอนนี้ถ้าไม่ทำงาน จะเอาเงินที่ไหนจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ใช่ไหมครับ”

ช่วงไหนคือ จุดเปลี่ยนความคิดเหล่านี้คะ

“เปลี่ยนจริงๆ ก็ช่วง ม.1 ครับ ถ้าย้อนกลับไปตอนอยู่ประถม ผมเรียนไม่เก่งเลย อยู่ระดับปานกลางค่อนไปทางเกเร แต่อาจเพราะโชคชะตาอะไรบางอย่าง ทำให้ผมสอบติดได้อยู่ ห้องที่รวมเด็กเรียนเก่งที่สุดในชั้น ทำให้จากที่เคยอยู่ระดับกลางๆ กลายเป็นอันดับท้ายๆ ในห้องนั้นเลย

“แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้ผมเปลี่ยนความคิดหลายๆ อย่าง จากเมื่อก่อนที่เป็นคนไม่ตั้งใจเรียน กลับกลายเป็นว่าอยากเรียน อยากพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้นเรื่อยๆ และถือเป็นจุดเปลี่ยนทั้งทางความคิด และการใช้ชีวิตจนถึงตอนนี้”

ตอนเด็ก มีความฝันอยากเป็นอะไรคะ

“เล่าจริงๆ เลยนะ ตอนเด็กผมอยากโตไปเป็น ‘ก้อนหิน’ (ยิ้มเขิน) จำได้ว่า ตอนที่อาจารย์ให้เขียนว่า โตไปอยากเป็นอะไร แล้วผมเขียนว่า ‘ก้อนหิน’ เพราะก้อนหินมันไม่หายไปไหน เราวางไว้ตรงไหน มันก็อยู่ตรงนั้น ไม่ต้องขยับ ไม่ต้องทำอะไรเลย แล้วหลังจากนั้น อาจารย์น้อยหน่าก็บอกว่า ขอเป็นอาชีพนะจ๊ะ”

ถ้าอย่างนั้น ขอถามอีกครั้งตอนนี้อยากเป็นอะไรคะ

“ยังคงเป็นคำตอบเดิมคือ อยากเป็นคนที่มีความสุข (ยิ้ม) ผมไม่อยากไปกำหนดชีวิตตัวเองขนาดนั้นว่า โตขึ้นต้องเป็นอะไร ต้องทำธุรกิจ หรือมีคาเฟ่เป็นของตัวเอง เพราะแต่ถ้าพรุ่งนี้ออกจากบ้านแล้วจู่ๆ เกิดอุบัติเหตุ ทุกอย่างดับหมดเลยนะ จึงรู้สึกว่า อยากปล่อยให้เป็นไปตามสิ่งที่เลือกในปัจจุบัน ไม่อยากกำหนดอะไรเลย เป้าหมายตอนนี้คือ อยากโตไปแล้วความสุขแค่นั้นเองครับ

“ผมรู้สึกว่าความสุขเป็นสิ่งที่หายากที่สุดแล้ว อย่างถ้าเราอยากเป็นตำรวจ เราก็ตั้งใจอ่านหนังสือ ทำข้อสอบ แต่ถ้าเราอยากมีความสุข มันไม่มีข้อสอบให้ทำนะ ควมสุขจึงสิ่งที่หายากที่สุดในชีวิต”

ที่ผ่านมามีเรื่องอะไรที่ทำให้เศร้าหรือเสียใจบ้างไหม

“ไม่ค่อยมีนะครับ ถ้าถามว่าเรื่องไหนเศร้าที่สุดในชีวิต ผมนึกไม่ออกเลย แต่สิ่งที่มันมากกว่าความเศร้าคือ ความเหนื่อย ซึ่งมันไม่เหมือนกันนะ เวลาเศร้า เราอาจจะท้อ แต่ว่าเวลาเหนื่อย เราไม่เคยท้อนะ

“ซึ่งเวลาที่เหนื่อยแบบสุดๆ ผมจะไม่ดึงตัวเองขึ้นมานะ แต่จะปล่อยให้ตัวเองจมลงไป เพื่อจะได้รู้ว่าบ่อน้ำนั้นมันลึกขนาดไหน อยากรู้ลิมิตตัวเองว่า เหนื่อยแค่ไหน…เราถึงจะไม่ไหว แล้วสักพักเราก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม สดใสได้เหมือนเดิมครับ

“ทุกคนบนโลกมีเวลา 24 ชั่วโมงเท่ากัน สมมุติว่าผมกับพี่อกหักพร้อมกันตอนเที่ยง แต่ผมเลิกเศร้า ลุกขึ้นไปคุยกับคนใหม่ ออกไปเที่ยว ทำอย่างอื่น ตั้งแต่ 12:01 นาที แต่พี่ยังนั่งร้องไห้อยู่ 6 ชั่วโมง แสดงว่าผมมีเวลานำพี่ตั้ง 5 ชั่วโมง 59 นาทีนะ คือเศร้าได้นะ แต่อย่าเศร้านานเลยครับ” (ยิ้ม)

 

เรื่อง : Minim

ภาพ : Settaphong Na Buengsai

Praew Recommend

keyboard_arrow_up