ไมค์ - ภัทรเดช

ไมค์ – ภัทรเดช… เด็กบ๊วย หลงแสงสี ดาราตัวรอง ที่กลายเป็น ‘พระเอก’ เพราะมีสิ่งนี้

ไมค์ - ภัทรเดช
ไมค์ - ภัทรเดช

เรื่องราวของ ไมค์ – ภัทรเดช สงวนความดี เริ่มต้นขึ้นในบ่ายวันหนึ่ง หลังจากเขาถ่ายโฆษณาที่สตูดิโอย่านลาดพร้าวเสร็จเรียบร้อย

เราคุยกันท่ามกลางความเผ็ดร้อนของเสียงกระทะผัดข้าว ผัดก๋วยเตี๋ยวดังช้งเช้งๆ พร้อมกับกลิ่นหอมของอาหารยั่วน้ำลายสอ แต่นั่นกลับไม่ได้ลดทอนความน่าสนใจในเรื่องราวและประสบการณ์ชีวิตของเขา … ไมค์ – ภัทรเดช พระเอกช่อง 7 คนนี้ได้เลย

วันนี้เขาคือหนึ่งในนักแสดงเบอร์ต้นๆ ของช่อง ที่มีผลงานมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่กว่าจะมายืนอยู่แถวหน้าอย่างนี้ได้ เขาเคยผ่านวันไม่เป็นโล้เป็นพายจนถูกผู้ใหญ่ใจดีส่งตัวกลับบ้านเกิดมาแล้ว

ต้องขอบคุณวรรคทองชีวิต ‘ถ้าตั้งใจทำอะไรแล้ว ผมทำได้แน่นอน’ ซึ่งเป็นดั่งคำสัญญาของ “ลูก” ที่มีต่อ “แม่และป๊า” ที่ทำให้เขา “ฮึด” ขึ้นมาใหม่ จนกระทั่งมีวันนี้

“ผมอยากเป็นนักแสดงมาตั้งแต่เด็กแล้ว” เขาเริ่มเปิดประเด็นกับแพรวเป็นประโยคแรก ก่อนจะไล่เรียงชีวิตของเขาให้ฟังต่อว่า “แต่เสียงในหัวอีกด้านหนึ่ง คอยบอกตัวเองว่าทำไม่ได้หรอก เพราะเราขี้อาย ซึ่งมาจากการขาดความมั่นใจในตัวเอง

“ยิ่งช่วงเรียน ม.3  ทุกคนรอบข้างยิ่งพูดใส่หูเราทุกวันว่า … ‘ต้องเป็นดารานะ’  ปากเราก็ปฏิเสธ ‘ไม่เป็นหรอก เราขี้อาย’ แต่เก็บทุกคำพูดของเขาใส่ไว้ในหัวตลอด (หัวเราะ)”

ไมค์ - ภัทรเดช , พระเอก , พระเอกช่อง 7 , นักแสดงช่อง 7 , แพรว The People

ถ้าอย่างนั้นเรามาเริ่มเรื่องกันเลยดีกว่าว่า ตัวตนไมค์เป็นอย่างไร

บ้านผมอยู่อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น ผมเป็นลูกคนสุดท้อง อายุห่างจากพี่ๆ สามคนเป็นสิบปีเลย คือ เราเป็นลูกหลง แม่ก็เลยเลี้ยงผมตามใจทุกอย่าง ดูแลใส่ใจตั้งแต่เล็กๆ อาบน้ำเสร็จ แม่ทาโลชั่นบำรุงผิวให้ จนเราติดการดูแลตัวเองมาตั้งแต่เด็กจนถึงทุกวันนี้ (ยิ้ม)

ขณะที่เพื่อนๆ ยังไม่เริ่มทาครีมบำรุงหน้าเลย ผมทาแล้ว นั่งอ่านฉลากข้างกล่อง ต้องทาตัวไหนก่อนหลัง จิ้มครีมห้าจุดบนใบหน้า ทาวนไป กว่าจะนอนได้ ใช้เวลาดูแลตัวเองนานทีเดียว

พอ ม.4 ก็เข้าฟิตเนส ออกกำลังกาย ดูแลตัวเองดีมาตลอด จนบางครั้งเวลายืนส่องกระจก ผมมีคำถามกับตัวเองว่า … หรือเราเป็นนักแสดงได้วะ (ยิ้ม) เพราะใจจริงเราก็อยากเป็นนักแสดงนะ แต่ไม่กล้า

คุณพ่อ-คุณแม่มีส่วนช่วยผลักดันเราเข้าสู่วงการฯไหม

ป๊า (มานะ) กับแม่ (อารีย์) ไม่เคยบังคับอะไรเลย ทุกอย่างแล้วแต่ผมตัดสินใจ แต่ผมรู้ว่าแม่อยากให้ผมเป็นนักแสดง ที่บ้านค่อนข้างปล่อยเป็นอิสระ แต่ความจริงเป็นห่วงมาก ที่รู้เพราะผมเข้ามาเรียนมัธยมปลายในตัวเมืองขอนแก่นตั้งแต่ ม.4 อยู่หอพักกับพี่ชาย แม่โทร.หาผมทุกวัน

แต่การอยู่หอฯ ได้ใช้ชีวิตด้วยตัวเองมาตั้งแต่วัยรุ่น ก็ทำให้ผมเริ่มเชื่อมั่นในตัวเองขึ้น อย่างเลือกเรียนคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ เอกภาษาจีนธุรกิจ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ผมก็ตัดสินใจเลือกเอง เพราะผมอยากได้ภาษาจีน ตามหลักสูตรต้องเรียนปี 1 และปี 4 ที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ส่วนปี 2-3 เรียนที่เมืองฉงชิ่ง ประเทศจีน จบแล้วได้รับปริญญาบัตรสองใบทั้งไทยและจีน

ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัยปีแรก เพื่อนสนิทผมเอาใบปลิวประกวดดัชชี่บอย 2006 มาให้ บอกผมว่างานนี้จะประกวดอาทิตย์หน้า พวกเราไปส่งใบสมัครกันไว้เถอะ จึงเป็นเหมือนไฟลท์บังคับที่ทำให้ไปประกวด เพื่อนๆ ไปเชียร์เต็มเลย (หัวเราะ)

ปรากฏว่าเพื่อนที่ชวนได้ที่ 3 ส่วนผมได้ที่ 1 เหตุการณ์ครั้งนั้นจึงเหมือนจุดประกายชีวิตผมเป็นครั้งแรกว่า — จากคนที่ไม่กล้า ไม่เอา ไม่ไป แต่ถ้าเราตั้งใจทำอะไรแล้ว ย่อมทำได้

จากนั้นเริ่มมีผู้จัดการนักแสดง คนวงการบันเทิงเข้ามาหาเรามากมาย ทำให้รู้สึกเหมือนเข้าใกล้ความฝันลึกๆ ในใจที่อยากเป็นนักแสดง มีผู้จัดการคนหนึ่ง (พี่กบ– ปิยฉัตร อุดมทวี) เขาเป็นผู้หญิง บุคลิกดูแมนๆ ขอนัดคุยด้วย แต่เนื่องจากตอนนั้นผมต้องเตรียมตัวไปประเทศจีน จึงไม่ได้คุยอะไรกันมากนัก

ไมค์ - ภัทรเดช , พระเอก , พระเอกช่อง 7 , นักแสดงช่อง 7 , แพรว The People

ชีวิตที่เมืองจีนเป็นอย่างไรบ้าง เล่าให้ฟังหน่อย

ตามหลักสูตร นักศึกษาเลือกหรือไม่เลือกไปเรียนที่จีนก็ได้ มหาวิทยาลัยไม่ได้บังคับ ตอนเรียนที่ขอนแก่น ลำดับการเรียนของผมแทบจะอยู่ท้ายห้องก็ว่าได้ แต่ผมตัดสินใจไปเรียนที่ฉงชิ่ง เพราะคิดว่าถ้าอยากได้ภาษาจีน เราต้องไปใช้ชีวิตที่นั่น

ช่วงที่ไปอยู่แรกๆ มีวันหนึ่งผมเดินไปซื้อของที่ร้าน ที่จริงผมนับเลขภาษาจีน 1-10 ได้ แต่วันนั้นผมกลับฟังเขาพูดไม่รู้เรื่อง จุดนั้นเองทำให้ผมกลับมาฮึดสู้กับตัวเอง จากเด็กที่อยู่บ๊วย กลับกลายมาเป็นเด็กเรียนเก่งลำดับต้นๆ ของห้อง และยังได้ทุนการศึกษามหาวิทยาลัยที่จีน เป็นค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนด้วย โดยไม่ต้องคืนทุน

บอกทริคพลิกชีวิตเป็นเด็กเรียนดีหน่อยค่ะ

วิธีการของผมคือ เพื่อนคนอื่นชอบเล่นเกมคอมพิวเตอร์ออนไลน์จนดึกดื่น ส่วนผมนอนแต่หัวค่ำ ตื่นตีสี่-ตีห้าอ่านหนังสือทุกวัน ทำแบบนี้นานสี่เดือน จนภาษาจีนของผมดีขึ้นเรื่อยๆ

แต่ประสบการณ์ชีวิตผมก็ต้องการ ผมอยากเก็บเกี่ยวทุกอย่างให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะคิดว่าเราคงไม่ได้มาใช้ชีวิตแบบนี้อีกแล้ว ตอนนั้นผมมีมอเตอร์ไซค์หนึ่งคัน ก็ใช้ขี่ออกไปพูดคุยกับผู้คน จนรู้หมดว่าแถวไหนอะไรอร่อย พอภาษาจีนคล่อง ผมก็ออกไปใช้ชีวิตแฮงก์เอาท์กับเพื่อนคนจีน เล่นบาสเก็ตบอลด้วยกัน จนได้ไปแข่งบาสฯระดับประเทศในนามมหาวิทยาลัย

ชีวิตที่บาลานซ์ทั้งการเรียนและการใช้ชีวิตส่งผลดีคือการเรียนก็ไม่ตก เก่งขึ้นอีกต่างหาก สื่อสารกับครูในชั้นเรียนได้ดี ผมรู้ภาษาจีนรอบทิศ ยิ่งกว่าเพื่อนที่วันๆ เอาแต่เรียนหนังสือเสียอีก จนเพื่อนตกใจว่าทำไมผมถึงเปลี่ยนไปขนาดนี้

และนี่คือคือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผมเชื่อว่า ถ้าตั้งใจทำอะไรแล้ว ผมทำได้แน่นอน

แล้วความฝันที่อยากเข้าวงการบันเทิงละ เลือนหายไปไหม

เลือนไปจริงๆ ครับ (หัวเราะ) เพราะตอนกลับมาเรียนต่อปี 4 คิดเลยว่าจะทำธุรกิจ เพราะการที่ผมได้ทุน ถ้ากลับไปทำงานที่จีน มีงานให้ทำแน่ๆ แต่จู่ๆ ผู้จัดการคนแรก (คุณกบ) ที่เคยทาบทามผมสมัยเรียนปี 1 ก็ติดต่อกลับมา ชวนให้ผมทำงานวงการบันเทิง

ผมคิด … ขนาดสองปีผ่านไป พี่เขายังเก็บผมไว้ในใจ บวกกับผมรู้ว่าแม่อยากให้ทำงานวงการบันเทิง จึงตัดสินใจมาฝึกงานบริษัทโมเดลลิ่งของเขา โดยพักอยู่กับครอบครัวเขา ใช้ชีวิตเหมือนเป็นญาติพี่น้องกันไปเลย เพราะเขามีพี่สาวและหลานสาวอยู่ด้วย

ผมเริ่มต้นทำงานด้วยการเป็นนายแบบ มีเพื่อนๆ นางแบบ-นายแบบที่สนิทกันหลายคน และนั่นก็ทำให้ผมเริ่มหลงทาง

ไมค์ - ภัทรเดช , พระเอก , พระเอกช่อง 7 , นักแสดงช่อง 7 , แพรว The People

เกิดอะไรขึ้นคะ

ผมเริ่มติดเพื่อน ติดเที่ยว จนไม่มีวินัย เริ่มโฟกัสงานน้อยลง ผมอาจจะตื่นไปทำงานได้ทุกเช้า แต่แทนที่จะรีบนอนแต่หัวค่ำ ตื่นเช้ามาจะได้สดชื่น เพื่อไปทำงานอย่างมีศักยภาพ หรือเพื่อต่อยอดความสามารถ แต่ผมกลับไม่คิดอย่างนั้น

ผมเริ่มเถียงผู้จัดการว่าผมยังทำงานได้ดี ทั้งที่ผมดูไม่มีออร่าเลย

ผมลืมว่าตัวเองมาอยู่บ้านเขาด้วยความตั้งใจอยากเข้าวงการบันเทิง เขาส่งให้ผมเรียนการแสดงกับครูเงาะ ส่งไปเรียนร้องเพลง แต่พอเริ่มมีงานเข้ามา ผมกลับไม่โฟกัสงานเท่าที่ควรจะเป็น เราทะเลาะกันหนักมาก ทั้งที่จริงๆ เขาไม่จำเป็นต้องทะเลาะกับผมก็ได้ แต่เพราะเขาเป็นห่วงสุขภาพและชีวิต กลัวจะหลงแสงสี

ผมเถียงจนเขาร้องไห้ก็เคยมาแล้ว แต่ผมไม่สน เพราะมีความเป็นตัวของตัวเองสูงมาก ผมดื้อกับเขามากจนที่สุดเขาถึงขั้นถามผมว่า — จะเลือกไปกับใคร ระหว่างเขากับเพื่อน และผมก็เลือกไปกับเพื่อน

ผมไม่รู้ตัวเลยว่าได้บีบให้เขาตัดสินใจโทร.หาแม่ผม  บอก… มารับกลับขอนแก่นที

ตอนเจอหน้าคุณแม่ ท่านรู้สึกผิดหวังในตัวเราไหม

พอกลับถึงบ้านที่ขอนแก่น ผมนั่งคุยกันสองคนแม่ลูก ผมเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟังทั้งหมด แต่แทนที่แม่จะพูดตอกย้ำความรู้สึกที่ทำให้เราเสียใจ แม่กลับดูแลผมดีทุกอย่าง ฟื้นฟูความรู้สึกผมด้วยการมอบความรักให้ ไม่ว่าผมทำผิดอะไร แม่ให้อภัยผมทุกอย่าง ทำให้ผมรู้ว่าสุดท้ายแล้ว ที่ๆ อบอุ่นที่สุดก็คือ ‘บ้าน’

ที่ผ่านมาเราใช้ชีวิตอยู่กับสิ่งแวดล้อมจนลืม ‘แม่’ คนที่รักเราที่สุดไป การกลับมาบ้านจึงทำให้ผมรู้ว่ายังมีคนที่รักและหวังดีกับเราจริงๆ และนั่นทำให้ผมมองเห็นตัวเองชัดเจนขึ้น

การได้รับพลังจากแม่ ทำให้ผมมีความคิดเปลี่ยนไป ผมตัดสินใจเลิกนิสัยเดิม กลับมาทำหน้าที่ดูแลครอบครัวของผม ในฐานะลูกผู้ชายที่ถึงวัยทำงาน ผมอยากประสบความสำเร็จ เพื่อจะได้ดูแลแม่และป๊า ซึ่งเป็นเป้าหมายการเข้ากรุงเทพฯ ของผมตั้งแต่แรก

ผมขอโทษแม่ และขอโทษตัวเองที่ทำเสียเวลาไปเปล่า พร้อมกันก็คิดตั้งหลักใหม่ด้วยการกลับมากรุงเทพฯ อีกครั้ง พร้อมแม่

คราวนี้ไมค์กลับมาเริ่มต้นใหม่อย่างไร และกับใครคะ

ตลอดหนึ่งปีที่เที่ยวเล่นไร้สาระ ผมไม่มีอะไรเพิ่มพูนขึ้นมาเลย โดยเฉพาะในแง่ของรายได้ ผมจึงขอพี่กบ ผู้จัดการคนเดิมว่าจะกลับมาอยู่บ้านเขา ส่วนแม่ไปอยู่บ้านพี่ชายที่พัทยา

การกลับมาครั้งนี้ ทำให้ผมรู้ว่าพี่เขาไม่เคยโกรธผมเลย เขาทำทุกอย่างเพราะรักและหวังดีต่อผม และการที่เขาไม่ใช่คนในครอบครัว ทำให้เขาเชื่อว่าพูดไปก็ไม่ดีเท่ากับให้คนในครอบครัวพูดเอง และการที่เขาส่งผมกลับขอนแก่นก็เพราะเขาต้องการให้แม่เป็นคนสื่อสารกับผม

แต่ผมเองนี่แหละที่ไม่เข้าใจ  เคยคิดถึงขนาดว่าทำไมเขาต้องยุ่งกับชีวิตผมด้วย พอมองย้อนกลับไปถึงได้คิดว่า เขาไม่ได้อะไรเลยจากการพูดเตือนผม เพราะวันนั้นเราทั้งคู่เริ่มต้นจากศูนย์ ต่างคนต่างไม่มีอะไร เขาเองก็อยู่บนพื้นฐานความเชื่อว่า วันหนึ่งทั้งผมและเขาจะเติบโตไปพร้อมกัน

ผมอยู่กับเขา ไม่ได้สร้างอะไรให้เขามากมาย เมื่อมองย้อนกลับไป ใจเขาใหญ่เหมือนกันนะ และเขายังมีความเชื่อมั่นในตัวผมอยู่ อย่างมีช่วงหนึ่งเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในชีวิต แต่เขาไม่เคยดูแลผมน้อยลงเลย เขาเลือกนั่งแท็กซี่ไปทำงาน และให้ผมขับรถของเขาคันเล็กๆ ไปเรียนการแสดงแทน

การกลับมาครั้งนี้ ผมจึงตั้งใจทำทุกอย่างเพื่อตัวผม ป๊า-แม่ และเพื่อเขา

ไมค์ - ภัทรเดช , พระเอก , พระเอกช่อง 7 , นักแสดงช่อง 7 , แพรว The People

เริ่มต้นด้วยการไปแคสติ้งงาน

ครับ ผมเริ่มจากไปแคสติ้งนักแสดงช่อง 7 รอบแรกไม่ได้ รออีกสี่เดือนค่อยไปแคสติ้งใหม่ ถึงได้แสดงละคร 11 โมงเช้า เป็นพระรองทั้งสองเรื่อง ซึ่งห่างไกลกับคำว่าพระเอกมากๆ แต่ถึงบทจะไม่มีอะไร ผมก็ตั้งใจแสดงเต็มที่

สิ่งสำคัญคือ การคุยกับผู้จัดการเพื่อช่วยกันคิดว่า ในเมื่อตอนนี้เรายืนห่างจากเป้าหมายที่ต้องการ เราจะทำอย่างไรให้ได้เป็นพระเอก ผมจึงบอกพี่เขาว่า ขอเรียนแอ็คติ้งเพิ่ม เรียนร้องเพลงด้วย เล่นฟิตเนสด้วย เพื่อเตรียมตัวรับโอกาสที่จะเข้ามา เพื่อให้คนเห็นว่าผมควรได้แสดงเป็นพระเอก

แล้วก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ เพราะเมื่อละครออนแอร์ มีแต่คนพูดถึงผมในเว็บพันทิพว่า ผมพัฒนาตัวเองขึ้นมาก ดันเป็นพระเอกเถอะ หลังจากนั้นปีกว่าๆ ผมจึงได้แสดงเป็นพระเอกละครช่วงเย็นเป็นเรื่องที่สาม ก่อนจะได้แสดงเป็นพระเอกละครหลังข่าวในเวลาต่อมา จนสามารถเก็บเงินดาวน์คอนโดมิเนียม ซื้อรถ และรับแม่มาอยู่ ก่อนขยับขยายมาซื้อบ้านอยู่ด้วยกันจนถึงทุกวันนี้

ไมค์ - ภัทรเดช , พระเอก , พระเอกช่อง 7 , นักแสดงช่อง 7 , แพรว The People
ไมค์กับคุณแม่อารีย์ ผู้เป็นที่รักที่สุดในชีวิต

คุณแม่ช่วยดูแลไมค์อย่างไรบ้าง

ทุกครั้งที่ผมไปกองถ่ายละคร แม่จะไปกับผมตลอด เห็นผมทำงานหนัก ก็จะตื่นแต่เช้า มาชงเครื่องดื่มให้ เห็นผมไม่มีเวลาว่าง ก็ซักผ้าให้ เวลาผมไม่อยู่บ้าน ชอบแอบไปทำความสะอาดห้องให้ ทั้งที่ผมบอกว่าไม่ต้องทำ (ยิ้ม) พยายามดูแลผมทุกอย่างเท่าที่ทำได้ แม่จึงเป็นกำลังใจที่ทำให้ผมรักและทุ่มเทกับการทำงานมาจนถึงวันนี้

ความฝันของผมคือ อยากให้ป๊ากับแม่มีความสุข ผมมีแนวคิดว่า พ่อแม่รักผมมาก อายุ และชีวิตของผมกำลังเดินไปข้างหน้า แต่เวลาและชีวิตพ่อแม่ผมเดินตรงกันข้าม จึงอยากให้ช่วงเวลาที่เขายังมีสุขภาพแข็งแรง มีประสบการณ์ชีวิตที่มีความสุขมากที่สุด เท่าที่ผมจะทำได้

นั่นคือสิ่งที่ทำให้ผมทำงานเหนื่อยแบบมีความสุขในทุกวัน เพราะมีเป้าหมายที่มีความสุขรออยู่

มีใครอีกไหมที่เป็นแรงบันดาลใจให้เราตั้งใจทำงานจนประสบความสำเร็จอย่างทุกวันนี้

ตอนเรียนกับครูเงาะ ผมอาจไม่ค่อยตั้งใจเรียนเท่าไหร่ แต่โชคดีที่ผมจดทุกอย่างที่ครูสอน ทำให้ได้นำสิ่งที่เคยเรียนรู้ มาปรับใช้กับการแสดงเยอะมาก

ส่วนอาหมูดิลก ทองวัฒนา ท่านอาจไม่เคยรู้ว่าผมได้แรงบันดาลใจมาจากท่าน ผมกับอาแสดงด้วยกันเป็นครั้งแรกในเรื่อง ‘ใยกัลยา’ อาแสดงเป็นพ่อผม และยังช่วยวางคาแรคเตอร์ตัวแสดงให้ผมว่าควรแสดงประมาณไหน คนถึงจะชอบ ซึ่งในบทไม่ได้เขียนไว้

อาชอบเรียกผมว่า ‘ไอ้ขี้เก๊ก’ บ่อยๆ จนคนดูเชื่อไปเองว่าผมขี้เก๊ก เพราะเวลาแสดงกับนางเอก ผมต้องแสดงว่าขี้เก๊กมากๆ แต่เวลาที่ผมยิ้ม คนจะรักผม แล้วผมก็ประสบความสำเร็จจริงๆ

คนต่อมาคือ พี่ตั้ว ศรัณยู (วงษ์กระจ่าง) ผู้กำกับฯ ซึ่งคอยสอนผมตลอดเวลาว่า ไม่มีเทคนิคการแสดงอะไรสำคัญเท่ากับความเชื่อ
ปุ๊กลุ๊ก – ฝนทิพย์ เป็นอีกคนที่ผมยกย่อง ตอนแสดงละครด้วยกันครั้งแรก เขาให้คำแนะนำผมเยอะมาก เราเข้าฉากด้วยกัน โดยที่ผมแสดงไม่ได้เลย ตั้งหลายคัตแล้ว ยิ่งเสียเวลาทีมงาน ยิ่งทำให้ผมรู้สึกกดดัน ปรากฏว่าเขาเป็นคนไปขอพี่ตั้วเบรกแป๊บหนึ่ง

หลังจากนั้นเขาถามผมว่า — เธอๆ ชอบการแสดงไหม ผมนึกเอะใจว่าถามทำไม ในเมื่อผมแสดงมาจนถึงวันนี้ ผมก็ต้องชอบสิ แล้วเขาก็บอกว่า — เราขอแนะแนวเธอได้ไหม ปุ๊กลุกบอกผมว่า การที่ตัวละครแต่ละตัวพูดออกมาแต่ละคำ ล้วนมีความหมายทั้งหมด ถ้าเรารู้จักแบ็คกราวนด์ตัวละครแม่น และเราเชื่อในตัวละครนั้นๆ เราจะสามารถแสดงได้แบบฟรีสไตล์ โดยไม่มีอะไรต้องกังวลเลย

วิธีที่ปุ๊กลุกบอกผม ทำให้ผมมีความสุขในการแสดงมากขึ้น ทำให้การแสดงของผมง่ายขึ้น และลื่นไหลเป็นธรรมชาติ เปลี่ยนไปอีกสเต็ปหนึ่งเลย จนเราลืมทุกสายตาในกองถ่าย ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง ตรงนั้น เพราะเรายืนอยู่บนความเชื่อในตัวละครนั่นเอง ซึ่งผมขอบคุณเขามาจนถึงวันนี้ ที่ช่วยจุดประกาย ทำให้ผมมองทุกอย่างชัดกว่าที่เคยเป็น

ไมค์ - ภัทรเดช , พระเอก , พระเอกช่อง 7 , นักแสดงช่อง 7 , แพรว The People

ทุกวันนี้ ไมค์มีหลักในการคัดเลือกบทที่จะแสดงอย่างไร

วิธีการทำงานของผม คือ เลือกทำสิ่งที่รัก และอยากทำ ไม่ใช่ว่าเป็นอาร์ติสท์ แต่เราต้องอ่านเรื่องย่อแล้วรู้สึกรักและอยากเป็นตัวละครนั้นๆ เพราะผมไม่ได้มองว่าละครคืองาน แต่มันคือชีวิต และชีวิตต้องดำเนินไปด้วยความสุข ผลงานจึงจะออกมาดี นี่คือวิธีการทำงานที่ทำให้มีผมทุกวันนี้ และผมเชื่อว่าตัวเองคิดไม่ผิดนะครับ

ฟังดูเป็นคนมีหลักการดำเนินชีวิตอยู่เหมือนกันนะ

ผมเชื่อว่ามนุษย์ทำได้ทุกอย่าง ถ้ามีความตั้งใจทำ และโฟกัสสิ่งนั้น

เหมือนกับที่ผมทำงานวงการบันเทิง ช่วงแสดงละครแรกๆ ผมมองว่าเป็นงานยาก เคยนอนร้องไห้ว่านี่ไม่ใช่ทางของเรา เหนื่อยจังเลย โดนผู้กำกับด่าว่า — ‘ถ้าเปลี่ยนพระเอกได้ เปลี่ยนแล้ว’ ได้ยินแล้วท้อมาก พื้นฐานผมขี้อายด้วย ซึ่งทำให้ผมมีกำแพงของตัวเองอยู่เหมือนกัน

แต่จุดพีคมันอยู่ตรงที่ระหว่างที่เราเสียใจ ช่วงนั้นผมยังอยู่คอนโดฯ กับแม่ วันหนึ่งผมยืนที่ระเบียงคอนโดฯ หันกลับมามองผ่านม่านเล็กๆ เข้าไปในห้อง เห็นแม่ขะมักเขม้นกับการเตรียมของให้เราไปทานในกองถ่ายวันพรุ่งนี้ จึงเป็นจุดเปลี่ยนให้ผมฟื้นฟูใจตัวเองกลับมาทันที

ในเมื่อแม่ซึ่งเป็นกำลังใจของเราอยู่กับเราที่นี่ และที่ผมซื้อคอนโดฯ ได้อย่างทุกวันนี้ ซื้อรถใหม่ได้หนึ่งคัน ก็มาจากสิ่งที่ผมเหน็ดเหนื่อย และไม่อยากทำมัน ทำให้คิดย้อนกลับไปว่า ผมเคยเก่งกว่านี้มาแล้ว ตอนไปเรียนที่จีน ผมตื่นมาอ่านหนังสือทุกตีห้า ยังทำได้เลย แล้วทำไมวันนี้ไม่ตั้งใจทำละ ก็แค่ตั้งใจทำให้เหมือนวันนั้น

พอได้สติ ผมกลับมาตั้งใจทำหน้าที่ของตัวเองทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการอ่านบทให้เข้าใจ การตีความตัวละครทุกบทบาทที่ได้รับ หาแบ็คกราวนด์ของตัวละคร ตีความทุกๆ คำพูดที่เราพูดออกไป ผมจะทำการบ้านฝึกซ้อมพูดการแสดง เป็นการทำการบ้านก่อนทุกครั้ง

กว่าจะมีวันนี้ ผมผ่านเรื่องราวมากมาย แต่ผมเชื่อว่าทุกเหตุการณ์ล้วนเป็นประสบการณ์ที่สอนให้ผมเป็นผม ในแบบที่มีความสุข ขอให้เรื่องราวของผมเป็นแรงบันดาลใจให้ใครหลายๆ คนที่มีความฝัน

มีความรักในสิ่งไหนแล้ว ขอให้หาความฝันความรักนั้นให้เจอ

ผมเชื่อว่า การที่เราทำสิ่งที่เรารักด้วยความตั้งใจ เราจะทำมันออกมาได้ดี ที่สำคัญคือไม่มีสิ่งใดที่เราทำด้วยความรักและความตั้งใจแล้ว จะทำมันไม่ได้… อยู่ที่ว่าคุณพร้อมจะทำไหม พร้อมที่จะก้าวออกมาจากขีดจำกัดที่คุณสร้างขึ้นหรือเปล่า

ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนที่มีความฝันครับ

 

เรียบเรียง : รศนา สุวรรณะชฎ

ภาพ : ไมค์ ภัทรเดช

Praew Recommend

keyboard_arrow_up