ณ ตอนนี้ คดี #แพรวา9ศพ ก็ถือเป็นอันสิ้นสุดลงแล้ว หลังจาก น.ส.แพรวา เทพหัสดิน ณ อยุธยา ได้เซ็นมอบอำนาจให้ตัวแทนคือ หนุ่ม – กรรชัย กำเนิดพลอย และเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ นำหลักทรัพย์ เป็นเช็คระบุจำนวนเงิน 41.7 ล้านบาท ไปวางที่ศาลแพ่ง เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม และศาลแพ่งได้โอนเงินเข้าบัญชี 27 ผู้เสียหาย จนครบถ้วนในเช้าวันที่ 9 สิงหาคม ที่ผ่านมา
ย้อนกลับไปในค่ำคืนวันที่ 27 ธันวาคม 2553 เหตุการณ์รถเก๋งชนรถตู้สายหมอชิต-มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รังสิต นับเป็นคดีสะเทือนขวัญที่คร่าชีวิตบุคลากรระดับหัวกะทิไปถึง 9 ศพอย่างน่าเสียดาย…
หนึ่งในนั้นคือ “ดร.เป็ด – ศาสตรา เช้าเที่ยง” นักวิจัย อนาคตไกลของสำนักงานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ความภูมิใจสูงสุดในชีวิตของผู้เป็นแม่ … “แม่หนิง” ถวิล เช้าเที่ยง ที่ยึดอาชีพร้อยพวงมาลัยขายจนส่งลูกเรียนจบปริญญาเอก
“เรายังใช้เวลาอยู่ด้วยกันไม่คุ้มเลย” คือคำพูดที่แม่หนิง แม่ผู้เดียวดายที่เคยฝากไว้กับแพรวหลังเกิดเหตุ #แพรวา9ศพ ไม่นาน
และนี่คือห้วงตอนหนึ่งของการพูดคุยที่แพรวชวนแม่หนิงย้อนเล่าถึงความทรงจำที่มีต่อลูกชายผู้เป็นที่รัก
ดร.เป็ด ตอนเด็กๆ เป็นคนอย่างไรคะ
เป็ดเป็นลูกของหลานสาวค่ะ แม่บอกกับแม่ของเป็ดตอนท้องว่าถ้าเป็นผู้ชาย ขอเลี้ยงเอง เพราะแม่ไม่ได้แต่งงาน ไม่มีลูก เป็ดเลี้ยงง่าย เป็นเด็กดี ขยัน ชอบอ่านหนังสือ ตอนเช้าแม่ไปส่งที่โรงเรียนด้วยรถมอเตอร์ไซค์ พอกลับถึงบ้าน เขาจะรีบวางกระเป๋าแล้วหอบพวงมาลัยไปเร่ขายตามหมู่บ้าน ทำอย่างนี้ทุกวัน
พอเรียนจบชั้นม.ต้นจากโรงเรียนเบญจมราชูทิศ ราชบุรี เขาอยากเรียนต่อที่โรงเรียนเตรียมอุดมฯ พอเขาสอบได้ แม่ก็ดีใจ แต่เขาต้องไปพักอยู่กับญาติในกรุงเทพฯ ปิดเทอมใหญ่ค่อยกลับมาสอนพิเศษวิชาเลขกับวิทยาศาสตร์ให้รุ่นน้องที่โรงเรียนเบญจมฯ พอเรียนถึงชั้น ม.5 เขาสอบเทียบติดคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ขณะเดียวกันก็สอบชิงทุนของกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไว้ด้วย พอได้ทุน จึงสละสิทธิ์ที่ศิริราช เพราะการไปเรียนเมืองนอกเป็นความฝันของเขา
เขาตัดสินใจเอง หรือปรึกษาแม่หนิงก่อนคะ
เขาตัดสินใจเอง ตอนแรกที่แม่รู้ แม่ไม่อยากให้ไป แต่เขาร้องไห้เป็นวัน พยายามอธิบายให้ฟังว่าสิ่งที่เขาจะไปเรียนนั้นดีแค่ไหน แม้ใช้เวลานานถึง 10 ปี แต่คุ้ม เพราะได้เรียนทั้งปริญญาตรี โท เอก สุดท้ายแม่ต้องยอม
ปกติเขาไม่เคยขอเงินพิเศษ ให้เท่าไหร่ใช้เท่านั้น ตอนนั้นเขาขอ 3,000 บาท บอกจะไปเรียนพิเศษภาษาอังกฤษ แม่บอกว่าใช้เงินให้เป็นประโยชน์ เพราะแม่ร้อยพวงมาลัยได้กำไรน้อย พูดแค่นั้น ไม่เคยว่าอะไร เพราะเขาไม่เคยทำอะไรให้ต้องว่าเลย เขาไม่เรื่องมาก อยากเรียนอย่างเดียว
ก่อนไปเมืองนอก แม่พาเขาไปซื้อของที่ห้าง ซื้อไปร้องไห้ไป เพราะไม่เคยต้องห่างกันนานขนาดนี้ คืนนั้นเขากอดแม่ บอกว่า ‘ถึงผมจะไม่ค่อยแสดงออก แต่ผมอยากบอกว่าผมรักแม่’

พอไปเมืองนอกแล้ว คุยกันบ่อยไหมคะ
เมื่อไปถึงอังกฤษ ช่วงแรกเขาโทร.มาหาแม่แล้วร้องไห้ บอกว่าคิดถึง หลังจากนั้นก็โทรคุยกันตกเดือนละ 3 ครั้ง เพราะค่าโทรศัพท์แพง แม่บอกว่า เป็ดต้องอดทนนะลูก เพราะเราเป็น ดร.ที่จนที่สุดในเมืองไทย ไม่มีอะไรพร้อมเหมือนคนอื่น พอปิดเทอม เขากลับมาเยี่ยมแม่ปีละครั้ง แล้วก็มาช่วยขายพวงมาลัยเหมือนเดิม ไม่มีบ่น ไม่มีอาย
พอปี 2549 เป็ดก็จบปริญญาเอกสาขาพันธุวิศวกรรม (จาก Universityof Bermingham ประเทศอังกฤษ) พอกลับมาก็เข้าทำงานที่สวทช. แม่ภูมิใจที่สุดที่ลูกทำสำเร็จ ตอนนั้นถึงจะไม่ได้อยู่ด้วยกัน เพราะเขาต้องทำงานที่กรุงเทพฯ แต่ว่างเมื่อไหร่เขาก็กลับมาหา มากอดมาหอมและบอกรักแม่
เขาบอกให้แม่อดทนอีกนิด จะซื้อบ้านให้ แม่เคยถามเขาว่า ทำไมไม่ซื้อรถก่อน เวลาเดินทางจะได้สะดวก เขาบอกว่าเขานั่งรถเมล์ รถตู้ได้ อยากซื้อบ้านให้แม่มากกว่า จะได้อยู่สบายๆ ไม่ต้องนั่งปวดหลังร้อยพวงมาลัยทั้งวัน แม่ฟังแล้วก็ดีใจ แอบหวังว่าวันที่เราจะได้อยู่ด้วยกันใกล้เข้ามาแล้ว
ตามแผน ดร.เป็ดต้องกลับมาใช้ทุนกี่ปีคะ
(แม่หนิงตอบทั้งน้ำตา) ไม่รู้เหมือนกัน เขาไม่ได้เล่า แต่กลับมาอยู่แค่ 4 ปี เขาก็ตาย (บรรยากาศเงียบกันไปครู่หนึ่ง)
แม่ยังจำได้ คืนนั้น (วันที่ 27 ธันวาคม 2553) ประมาณห้าทุ่ม ตำรวจโทร.หาแม่ บอกว่าลูกแม่เสียแล้ว แม่แทบช็อก ใจหายวูบ
หลังจากนั้นแม่ก็กินไม่ได้ นอนไม่หลับอยู่ 3 วัน 3 คืน คิดว่าทำไมเป็นอย่างนี้ ทำไมลูกเราต้องตาย เสียดายลูก แม่มีลูกคนเดียว แล้วเขาเป็นคนดี ไม่เคยทำอะไรให้เสียใจ ตอนไปขนของจากคอนโดเป็ดกลับมา ทำใจไม่ได้เลย เห็นแล้วร้องไห้ คิดถึงลูก เรามีกันอยู่แค่สองคน พอไม่มีเขาแล้วแม่ก็หมดหวัง ใช้ชีวิตให้ผ่านไปวันๆ เขาเพิ่งกลับมาได้แค่ 4 ปีเท่านั้น เรายังใช้เวลาด้วยกันไม่คุ้มเลยจริงๆ

ที่ผ่านมา แม่หนิงติดตามความคืบหน้าของคดีเองหรือเปล่าคะ
เปล่า ไม่ได้ติดตามเลย ทางมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์กับที่ทำงานของเป็ดช่วยจัดการให้ ถ้ามีอะไรคืบหน้าเขาก็ติดต่อมา แม่ของคนที่ขับรถชนมางานศพ มากราบขอโทษแทนลูกและให้เงินช่วยเหลือ แม่ก็บอกเขาไปว่า ครอบครัวเขายังโชคดีที่ได้อยู่ด้วยกัน ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา แต่แม่ไม่มีโอกาสแบบนั้นอีกแล้ว
หลังจากเป็ดจากไป แม่เคยไปที่ทำงานของเป็ด ทั้งเจ้านายและเพื่อนร่วมงานบอกว่าเป็ดเก่งและมีความสามารถ แม่ฟังแล้วก็ดีใจที่อย่างน้อยลูกเราเป็นที่รักของทุกคน เคยมีคนแม่ถามว่าเลี้ยงลูกอย่างไร เขาถึงเป็นคนดีอย่างนี้ แม่ตอบเขาว่า แค่เลี้ยงตามปกติ ไม่มีอะไรพิเศษ คนจะดีหรือไม่อยู่ที่ตัวเขาเอง ไม่ต้องพูดกันเยอะ
ตอนนี้คดีก็สิ้นสุดแล้ว แม่รู้สึกโล่งขึ้นไหมคะ
โล่งใจ ดีใจ ขอบคุณนักข่าวทุกคนที่มาช่วยเหลือ ขอบคุณทุกคนเลย ไม่ว่าช่องไหนก็แล้วแต่ เงินที่ได้มาก็ตั้งใจจะนำไปทำบุญ กับปลูกบ้าน ที่เหลือก็จะเก็บไว้รักษาตัวเองบ้าง ไว้งานศพตัวเองบ้าง แม่ไม่กลัวตาย วันรดน้ำศพแม่ยังจับมือเป็ดแล้วพูดว่า… ชาติหน้าขอให้เราได้เป็นแม่ลูกกันอีก
แม้จะไม่ร่ำรวย แต่มีลูกดี แม่ก็ภูมิใจที่สุดแล้ว
ขอบคุณที่มาภาพประกอบ : ทุบโต๊ะข่าว Amarin TV 34HD