สองคุณพ่อซุปตาร์ ที่มีเครดิตเป็น พระเอก ในดวงใจของสาวค่อนประเทศ ติ๊ก-เจษฎาภรณ์ และเคน-ธีรเดช ปกติแค่ยืนเฉยๆ สาวก็ถอนหายใจระรัวแล้ว นี่ยังมาเปิดปากเรื่องเลี้ยงลูกว่าไม่ได้ทำเล่นๆ การันตีว่าอ่านแล้วให้อารมณ์เพ้อครวญ… อยากได้แบบนี้เป็นพ่อของลูกบ้างจัง
เริ่มที่คุณพ่อเคน ที่เจนสังเวียนพ่อกว่าเพราะมีลูกชายสองหน่อวัยหนุ่มน้อย ‘คุน-จุน’ นำร่องไปก่อนคุณพ่อติ๊กหลายปี
“อยูกับลูกเหนื่อยหน่อย แต่เป็นความเหนื่อยแบบสุขๆ เด็กๆ ทําให้เราสดใสแม้บางทีโกรธเขา แต่เดี๋ยวเดียวก็จะมีเรื่องตลกๆ ให้เราได้หัวเราะอีกอย่างเขายังอยู่ในวัยที่ต้องการความสนใจตลอด เวลาเจออะไรก็จะนึกถึงพ่อแม่ ทําอะไรก็อยากให้เราไปอยู่ตรงนั้นด้วย ทําให้ผมคิดถึงสมัยที่ตัวเองเป็นเด็กใกล้ชิดกับพ่อแม่แบบนี้ ได้ไปเที่ยวอยุธยา วังตะไคร้ และอีกหลายที่ในเมืองไทย จนวันหนึ่งที่ผมโตขึ้น ขณะที่พ่อแม่เริ่มทํางานยุ่ง มีช่วงหนึ่งที่สิ่งเหล่านี้ขาดหายไปนิดหนึ่ง จนต่อไม่ค่อยติดในบางเรื่อง พอวันนี้ผมมีลูกจึงอยากสนิทกับเขา ไม่อยากมีเวลาที่ขาดหายไป
“ก่อนหน้านี้ผมเป็นคนเป๊ะ ทุกอย่างต้องเรียบร้อยเป็นระเบียบ หวงความเป็นส่วนตัว ไม่ค่อยอยากให้ใครมาวุ่นวายในชีวิตเรา แต่พอวันหนึ่งมีครอบครัว ทําให้ผมเป็นผู้ใหญ่ขึ้น รู้จักปล่อยวาง ยอมคนอื่นมากกว่าเดิม จากสิ่งที่เคยรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องเป็นแบบนี้เท่านั้น ก็ลดตัวตนในมุมนี้ลง เข้าใจคนอื่นมากขึ้น หรือเมื่อก่อนของในบ้านต้องจัดไว้เป๊ะ พอมีลูก ความที่เขายังเด็กจึงเล่นซนจนบ้านเละ ไม่สะอาดเอี่ยม ผมก็ได้เรียนรู้การมีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากกว่าที่จะอยู่กับความเพอร์เฟ็คท์ตลอดเวลา
“ครอบครัวเรากําลังเติบโตไปด้วยกัน เด็กๆ มีพัฒนาการมากขึ้นทุกวัน เป็นหน้าที่ของผมกับคุณหน่อยที่ต้องดูแลพวกเขา ซึ่งเป็นภาระที่เราภูมิใจ ผมยังเคยคิดเลยว่า ถ้าวันหนึ่งลูกๆ โต ไม่ต้องการพ่อแม่แล้ว คงเศร้า… จึงอยากใช้ช่วงเวลานี้อยู่กับเขา ผมมีธรรมเนียมว่าถ่ายละครเสร็จเรื่องหนึ่งก็จะพากันไปเที่ยว เพราะถือว่าชีวิตมีสองฝั่ง ไม่ได้เน้นงานฝั่งเดียวหรือครอบครัวฝั่งเดียว พยายามพยุงทั้งสองด้านให้บาลานซ์กัน ไม่ใช่ว่างานเด่นแล้วครอบครัวพัง แต่ยอมรับนะว่าผมเป็นคุณพ่อที่ค่อนข้างเข้มงวดกับลูกๆ เพราะรู้สึกว่าการมีระเบียบวินัย และการช่วยเหลือตัวเองได้เป็นสิ่งสําคัญ
“แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่นก็ปล่อยนะ ไม่ว่าเขาจะเล่นอะไรก็ตามใจ บางเรื่องที่ครอบครัวอื่นเขาไม่ปล่อย แต่ผมปล่อย ขณะที่บางเรื่องคนอื่นอาจรู้สึกว่าอนุโลมได้ ผมกลับเข้มงวด อย่างสมัยตอนน้องคุนเด็กๆ เวลาขึ้นรถ ผมจะให้เขานั่งเบาะนั่งนิรภัยสําหรับเด็ก หรือ Child Seat ทุกครั้ง แต่ความเป็นเด็กไม่ชอบนั่งนิ่งๆ นานๆ เขาก็จะงอแง ร้องไห้ ผมก็ไม่ใจอ่อน ใช้วิธีวกรถกลับเข้าบ้านเลย ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น
“แต่พอลูกๆ โตขึ้น ผมก็ไม่ค่อยเข้มงวดเท่าไหร่แล้ว ส่วนหนึ่งเพราะรู้สึกว่าคุนดูเป็นเด็กโตกว่าวัย ผมเคยพาเขาไปเล่นที่สวนสาธารณะ พอไปถึงเห็นคนเยอะมาก จึงบอกเขาว่าวันนี้เราอย่าเพิ่งเล่นได้ไหมครับ คุณพ่อไม่พร้อมถูกถ่ายรูปเลย
ปรากฏน้องคุนเข้าใจทันที ตอบกลับมาเลยว่า… ได้ครับพ่อ เราไปเล่นที่บ้านก็ได้
“คุณครูยังบอกว่า เขาดูเป็นผู้ใหญ่ที่สุดในห้อง คอยช่วยเหลือเพื่อนๆ ค่อนข้างมีเหตุผล แล้วชอบวางแผนล่วงหน้า บางเรื่องยังมาไม่ถึง แต่เขาชอบคิดเยอะ เช่น พอจะพาไปไหน เขาก็จะถามไปที่นั่นแล้ว น้องคุนต้องทําอะไรต่อ ทำให้แอบกังวลว่า เอ๊ะ… หรือที่ผ่านมาเราเข้มงวดกับเขาเกินไป แต่คิดอีกมุม ผมว่าเป็นเรื่องดี เพราะจุนจะได้ทำตามพี่ ไม่ว่าคุนจะเล่น หรือพูดอะไร จุนพูดตามหมด การฝึกคุนไว้เลยทำให้สบาย เป็นผลพลอยได้
“กลายเป็นว่าผมไม่ต้องเข้มงวดกับลูกคนที่สองเท่าลูกคนแรก”
ข้ามมาที่คุณพ่อติ๊ก รายนี้อย่างที่รู้กัน หวงลูก(และภรรยา)สุดชีวิต แต่คุณต้องเข้าใจ เรื่องเลี้ยงลูก ติ๊กไม่ได้มาเล่นๆ
“จริงๆ ผมเคยเลี้ยงน้องชายคนเล็กมาก่อน เคยเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เขาแล้ว พอมาถึงลูกตัวเอง ทบทวนความจำนิดหน่อยก็สบายละ แต่ทักษะใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาคือ ทำให้ผมร้องเพลงแมงมุมลายตัวนั้นได้จบเพลง (หัวเราะ) จริงๆ เคยได้ยินเพลงนี้มานานแล้ว แต่ร้องไม่เป็น ตอนนี้คล่องแล้ว
…แมงมุมลายตัวนั้น ฉันเห็นมันซมซานเหลือทน วันหนึ่งมันถูกฝนไหลลงจากบนหลังคา (ติ๊กร้องเพลงโชว์)
“ผมอาศัยหาเนื้อเพลงจากในยูทูป ซึ่งต้องบอกว่าบังเอิญช่วงนั้นผมทำรายการเนวิเกเตอร์ตอนแมงมุม ช่วงหาข้อมูลเลยคาบเกี่ยวได้ทั้งข้อมูลไปทำงาน กับเพลงไปร้องให้ลูกฟัง ซึ่งพอฟังผมร้องเขาก็หลับนะ ไม่รู้ว่าเพราะง่วงหรือรำคาญ ประมาณว่าขอหลับดีกว่า(หัวเราะ)
“ถามว่าลูกเปลี่ยนอะไรในตัวผมไหม คงไม่ได้เปลี่ยนอะไรนอกจากทำให้ผมมีความสุขขึ้น เด็กมีความน่ารักของเขา เดี๋ยวก็ยิ้ม เดี๋ยวก็หัวเราะ ทำให้ผมรู้สึกว่าทุกครั้งที่กลับบ้านจะได้เจอสิ่งใหม่อยู่ตลอด เพราะในแต่ละวันเขาจะมีความสามารถเพิ่มขึ้น เมื่อวานยังทำไม่เป็น วันนี้เป็นแล้ว อย่างตอนสอนนับนิ้ว 1 2 3 4 ครั้งแรกก็มองเฉยๆ พออีกวันผมนับนิ้วให้ดูเหมือนเดิม หนนี้เขาชี้ตามนิ้วเราได้ มหัศจรรย์มาก
“แล้วถ้าผมใส่อะไรเพิ่มเติมให้ แล้วลูกสามารถเป็นได้อย่างนั้น ผมจะภูมิใจมาก อย่างที่ผ่านมาผมกับภรรยา(คุณพีช-สิตมน) อยากสอนให้ลูกรู้จักการแบ่งปันจึงแทรกเรื่องเหล่านี้ลงในชีวิตประจำวัน เช่น ตอนกินผลไม้ แทนที่เต็นท์จะกินคนเดียว เราก็สอนให้เขาป้อนพ่อ แม่ คุณยายและคุณย่า แล้วมีวันหนึ่งที่เขายื่นผลไม้ให้เราโดยไม่ต้องบอกก่อน พอเห็นแล้วก็
อื้ม… ดีจัง (ยิ้ม)
“มีลูกแล้วสนุกนะครับ แนะนำเลย ถ้าใครยังไม่มีก็ขอให้รีบมี(หัวเราะ) ประเด็นคือเดี๋ยวเราแก่แล้ววิ่งตามลูกไม่ทัน ตอนผมเล่นละครเรื่อง ‘เลือดมังกร’ กับ เคน-ธีรเดช ก็คุยเรื่องลูกกับเขาบ้าง เพราะเคนมีลูก 2 คนแล้ว ฟังเขาเล่าว่า เด็กๆ เติบโตอย่างไร เรียนที่ไหน อยู่ไกลบ้านไหม เดินทางอย่างไร ถือเป็นการแบ่งปันประสบการณ์ของพ่อด้วยกัน และเอามารวมกับประสบการณ์ส่วนตัวว่าเมื่อก่อนผมถูกเลี้ยงดูมาแบบไหน ได้อะไรจากการเลี้ยงดูแบบนั้น ในสิ่งที่ดีก็ปรับมาเลี้ยงเต็นท์เหมือนที่พ่อแม่เลี้ยงผม อย่างการที่ไม่ได้ถูกเลี้ยงมาแบบตามใจ ของเล่นแทบไม่มี ถ้าอยากได้อะไรต้องเก็บเงินซื้อเอง
วิธีนี้ทำให้ผมโตมาโดยเห็นคุณค่าของเงิน
“ผมอยากให้ลูกเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี ไม่ทำปัญหาให้สังคม เคารพในสิทธิของผู้อื่น นี่เป็นเรื่องที่ผมให้ความสำคัญ
เพราะผมก็เคารพกฎเกณฑ์ทุกอย่าง ถ้ารู้ว่าสิ่งไหนที่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น ทำให้ธรรมชาติถูกทำลาย
หรือส่งผลให้สังคมเดือดร้อน ผมไม่ทำแน่นอน
“นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ถ้ามีเวลา ผมจะพาครอบครัวไปในที่ๆ ผมชอบนั่นคือสวนสัตว์ครับ ผมไม่รู้หรอกว่า ลูกชอบหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ คือแม่เขาน่าจะรู้สึกอยากกลับบ้านนะ(หัวเราะ)”
ที่มาข้อมูล : คอลัมน์ ‘สัมภาษณ์’ แพรว ฉ.815 และ 864
ภาพ : IG@kun_jun, IG@littlefoxclub