บอย-ตรัย ภูมิรัตน์ พ่อหมีอารมณ์ดี ต้องมนต์สะกดน้องชื่นใจ จนหวั่นไหวซะแล้ว

บอย-ตรัย ภูมิรัตน์ พ่อหมีอารมณ์ดี ต้องมนต์สะกดน้องชื่นใจ จนหวั่นไหวซะแล้ว

ถ้าพูดถึงศิลปิน นักร้อง นักแต่งเพลง ฝีมืออันดับต้นๆ ของเมืองไทยเรา ชื่อของ บอย – ตรัย ภูมิรัตน ต้องอยู่ในลิสต์นี้ด้วยอย่างแน่นอน แต่นอกจากบทบาทศิลปินที่เราเห็นกันอยู่บ่อยๆ แล้ว ผู้ชายหุ่นหมีท่าทางใจดีคนนี้ยังรับบทเป็นคุณพ่อในชีวิตจริงอีกด้วย

5

วันนี้เราขอให้เขาวางไมค์ วางปากกาที่ใช้แต่งเพลงมาพูดคุยเรื่องพ่อๆ ลูกๆ กับเราสักพัก เพราะได้ข่าวว่าหนังสือเล่มใหม่ล่าสุดที่ได้ศรีภรรยาคนสวยอย่างสาวตุ๊กตามาเขียนเล่าเรื่องราวประสบการณ์การเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศที่มีลูกสาววัย 2 ขวบกว่าอย่างด.ญ. ชื่นใจ ลูกสาวของพวกเราไปด้วยนั่น น่าสนใจมากทีเดียว นอกจากนี้เขายังมาถ่ายทอดเรื่องราวของชีวิตการเป็น “คุณพ่อ” ตามแบบฉบับบอย ตรัย ให้เราฟังอีกด้วย เขาจะเป็นคุณพ่อสายโหดหรืออบอุ่นตามที่เราคิดรึเปล่า ไปฟังพร้อมๆ กันเลย

ขอย้อนไปเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ตอนเห็นหน้าลูกครั้งแรกรู้สึกยังไง

บอย : รู้สึกว่ามันหนักกว่าที่คิดครับ ยิ่งตอนที่เราเห็นหน้าเขาครั้งแรกก็คือ เขาเป็นใครสักคนที่เกิดมาลืมตาดูโลกเพราะเรา เราต้องรับผิดชอบชีวิตของคนๆ นี้ มันมีหลายความรู้สึกมากที่แทรงเข้ามา ทั้งตอนที่เขากำนิ้วเรา ตอนที่เราพาเขาไปอาบน้ำ ก็รู้สึกว่า เห้ย สิ่งมีชีวิตสิ่งนี้คือลูกเราหรอ มันมีหลายความรู้สึกจนพูดออกมาไม่ถูกจริงๆ แต่ว่าในตอนนั้นเมื่อ 2  ปี ที่แล้วกับตอนนี้ความรู้สึกมันต่างกันเลย เพราะตอนที่เขาเกิดเราเพิ่งจะรู้จักกัน มันเหมือนเป็นความรู้สึกรัก แต่ยังไม่ผูกพัน แต่ในตอนนี้เราค่อยๆ เรียนรู้ ทำความรู้จักกันแล้ว มันก็ทั้งรักทั้งผูกพันรู้สึกว่าเขามีตัวตนจริงๆ เป็นสมาชิกคนหนึ่งในบ้าน

1

ทำไมถึงตั้งชื่อลูกว่า “น้องชื่นใจ”

บอย : ก่อนที่เขาจะคลอดก็มีการตั้งชื่อกันหลายชื่อมาก ชื่อ “ชื่นใจ” เป็นชื่อแรกที่คิด แต่ว่าก็คิดชื่ออื่นไปเรื่อยๆ จนถึงวันคลอด ปรากฏว่าชื่อที่ตั้งเป็นชื่อสุดท้าย มันไม่ตรงกับวันที่เขาจะเกิด ก็เลยกลับไปใช้ชื่อแรกเลยก็คือ “ชื่นใจ” แต่พอเอาจริงๆ คุณแม่ของผมท่านก็พูดว่าจะตั้งชื่ออะไรก็ตั้งไปเถอะ เพราะสุดท้ายคุณแม่ผมก็จะตั้งชื่อเรียกของเขาเองเหมือนกันครับ (หัวเราะ) แต่บังเอิญว่าคุณแม่ก็ตั้งชื่อว่า “ชื่นใจ” เหมือนกัน เราเลยรึสึกว่าชื่อนี้คงเป็นชื่อสำหรับเขาจริงๆ

คำแรกที่น้องพูดคือคำว่าอะไร

บอย : จำได้ว่าตอนนั้นจู่ๆ แกก็ลุกขึ้นจากเตียงแล้วก็ชี้ไปที่หน้าประตู แล้วก็พูดขึ้นมาว่า “ไป” ครับ แต่ตอนแรกๆ ผมได้ยินไม่ชัด นึกว่าแกพูดว่า “ไก่” (หัวเราะ) ตอนที่ได้ยินก็รู้สึกตื่นเต้นนะ เพราะเป็นคำแรกที่แกพูดได้ หลังจากนั้นก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้ตื่นเต้นอีกครั้งหนึ่ง ก็คือตอนที่แต่งเพลงให้แกชื่อว่าเพลง “ถึงเวลาหม่ำ” พอถึงท่อนฮุกที่ร้องว่า “ถึงเวลาหม่ำ” แกก็จะร้องตามเราว่า “หม่ำๆ” ถึงจะเป็นคำสั้นๆ แต่ก็ตื่นเต้นมาก ในฐานะของคนแต่งเพลง ก็รู้สึกว่าเขากำลังสื่อสารกับเราด้วยเพลงนี้ ส่วนเวลาเรียกผม แกจะพูดไม่ชัด จากคำว่า “คุณพ่อ” เลยออกมาเป็นคำว่า “กุบบ้อ” แทน

6

ระหว่างภรรยากับพี่บอย ใครดูแลลูกมากกว่ากัน

บอย : ผมว่าผมก็เลี้ยงเยอะพอๆ กันนะ คืองานของผมกับตุ๊กตาเป็นงานที่ไม่ต้องเข้าออฟฟิศก็ได้ คอนเซ็ปต์หลักที่ตกลงกันไว้ในบ้านผมเลยก็คือ “ดูแลแม่ให้โอเครที่สุด เพื่อที่แม่จะได้มีพลังดูแลลูกต่อ” ครับ ถ้าแบ่งหน้าที่กันจริงๆ ก็คือ ผมจะเป็นคนทำอาหาร ทำมื้อเช้าทุกเช้า ให้ทั้งตุ๊กตาและชื่นใจ แล้วก็จะคอยเล่นกับชื่นใจครับ คืองานผมเป็นงานที่ทำที่บ้านได้ แต่งเพลงก็แต่งที่บ้านได้ ผมก็จะมีเวลาเล่นกับเขา ทั้งวาดรูป อ่านนิทานก่อนนอนให้เขาฟัง เล่นปั้นดินน้ำมัน รวมถึงกิจกรรมเสริม เช่น ว่ายน้ำ เรียนดนตรี ผมก็จะทำร่วมกันกับเขาด้วย

เห็นว่าพี่บอยลงมือทำอาหารให้ลูกทานด้วย น้องชอบทานอะไรบ้าง

บอย : เขาจะชอบทาน แพนเค้ก ข้าวผัด เบคอน แล้วมีสิ่งที่เขาชอบเหมือนผมก็คือ แคบหมู (หัวเราะ) แกชอบเคี้ยวอะไรกรอบๆ

2

ใครๆ ที่ได้ฟังเสียง หรือเห็นพี่บอยก็บอกว่าดูเป็นคนใจดี แบบนี้เคยดุลูกบ้างไหม

บอย : ดุมีบ้างครับ เพราะว่าเด็กยิ่งอายุมากขึ้น เขาก็เริ่มโต้ตอบกับเราได้ ตอนนี้แกก็อายุ 2 ขวบ ก็เริ่มจะเป็นตัวของตัวเอง ผมเรียกว่าเป็นบททดสอบระหว่างผมกับเขามากกว่า ว่าใครจะเป็นคนที่ยอมแพ้ก่อน เช่น ถ้าเราบอกว่าอย่าเหยียบหมอน เขาก็จะเหยียบแล้วมองหน้าเรา เหมือนว่าเขาจะทดสอบเราตลอดเวลา แล้วถ้าเราเหนื่อยหน่ายที่จะห้ามปรามเขาในครั้งนี้ เขาก็จะยิ่งดื้อกับเราขึ้นเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นเราต้องหาวิธีห้ามปรามเขา ในบางครั้งก็ต้องดุบ้าง ต้องใช้เสียงที่มีพลังหน่อย แต่จริงๆ ทั้งผมและตุ๊กตาดุเขายังไงก็ไม่ค่อยรู้สึก (หัวเราะ) เพราะเราสองคนคงดูไม่น่ากลัวมั้ง เลยต้องมีมาตรการบางอย่างที่จะสอนเขา เช่น ถ้าเขาดื้อ ไม่ฟังเรา ก็จะให้เข้าไปสำนึกผิดอยู่ในห้องน้ำ คือเราก็เคยอ่านหนังสือเกี่ยวกับการเลี้ยงลูกของคนอื่นมาบ้าง เขาก็แนะนำประมาณว่า ให้ลูกไปอยู่ในห้องน้ำ หรือที่แคบ เช่น เข้ามุมเพื่อสำนึกผิด เราก็เลยลองทำตามบ้าง แต่ปรากฏว่า ชื่นใจไม่ร้อง ไม่อะไรเลย เข้าไปเล่นในห้องน้ำต่ออีก เหมือนเขาคงไม่รู้ว่านี่คือการลงโทษมั้งครับ (หัวเราะ) เลยไม่รู้จะกำราบยังไง

พี่บอยกับพี่ตุ๊กตาใครดุลูกเยอะกว่ากัน

บอย : ถ้าถามผม ผมก็ต้องตอบว่า ตุ๊กตาดุกว่าอยู่แล้วครับ (ยิ้ม)

แสดงว่าบ้านนี้คุณแม่เป็นใหญ่

บอย : แหม เขาเรียกว่าเกรงใจเฉยๆ ครับ (หัวเราะ)

7

ตอนเด็กๆ พี่บอยถูกเลี้ยงดูมาแบบไหน

บอย : ผมเป็นเด็กที่ค่อนข้างขี้อายครับ ถ้าเทียบกับชื่นใจคือจะขี้อายกว่าชื่นใจเยอะ อย่างบางครั้งเจอมาสคอตตอนไปเที่ยวแดนเนรมิตผมจะกลัวร้องไห้เลย แต่อย่างชื่นใจนี่คือไม่กลัวเลย แถมยังชอบเล่นตุ๊กตาก็อตซิลล่าเหมือนเด็กผู้ชายเลย

มีคำสอนไหนบ้างไหม ที่ได้จากคุณพ่อคุณแม่ แล้วพี่บอยนำมาใช้กับน้องชื่นใจ

บอย : ส่วนใหญ่พ่อผมจะปลูกฝังเรื่องวินัย ตอนเด็กๆ พ่อจะชอบใช้คำว่า “ระวังผีร้ายแห่งความเรินเร่อ” คือพ่อจะบอกตลอดว่าไม่มีสมบัติอะไรให้ แต่เขาอยากจะสอนให้เราเป็นคนมีวินัยติดตัวไป เพราะถ้าคนเรามีวินัยเราก็จะสามารถประสบความสำเร็จอะไรก็ได้ ซึ่งตอนนี้คงยังไม่ถึงเวลาที่จะสอนชื่นใจ คงรอให้เขาโตกว่านี้อีกสักนิด ให้แกฟังรู้เรื่องมากกว่านี้

คาดหวังไหมว่าโตมาลูกเราต้องเป็นเด็กยังไง

บอย : ผมไม่ได้คาดหวังว่าแกจะต้องเป็นอะไร ที่คุยกันกับตุ๊กตาก็คือ เราอยากให้เขามีความสุข ไม่ต้องรู้สึกกดดันเหมือนพ่อกับแม่ที่โตมาในยุคที่ต้องเอ็นทรานซ์ให้ติดหรือรู้สึกกดดันจากผู้ใหญ่ คือเราอยากให้เขาทำในสิ่งที่เขาชอบจริงๆ อยากให้แกใช้ชีวิตอย่างมีความสุขมากกว่า ผมเชื่อว่าคนที่เขามีความสุขจากภายใน เขาอยากจะทำอะไรก็สามารถทำได้ดี แต่ถ้าต้องฝืนมันก็ไม่มีความสุขแล้วเขาก็จะทำได้ไม่ดี

3

น้องชื่นใจฉายแววหรือยังว่าชอบอะไร

บอย : ผมว่าเขาชอบฟังเพลงนะ แต่ถ้าถามความรู้สึกผมลึกๆ ก็ไม่อยากให้เขาเป็นศิลปินเหมือนผม (หัวเราะ) เพราะว่ามันลำบากครับ ประเทศเราไม่ซื้อของจริง (หัวเราะ) แต่อย่างที่บอกว่าตอนนี้แกเพิ่งจะ 2 ขวบ คงต้องรอดูกันไปอีกยาว

ชื่นใจเป็นเด็กแบบไหน เหมือนคุณพ่อหรือคุณแม่มากกว่ากัน

บอย : ผมว่าเขาทะเล้นเหมือนผมนะ เขาชอบปล่อยมุก ทำตลกใส่เรา แต่เขาก็จะเหมือนตุ๊กตาตรงที่มีชอบลุย ออกห้าวๆ หน่อย ถึงแม้ตุ๊กตาจะดูผู้หญิงๆ แต่จริงๆ เขาห้าวมาก ตัดสินใจอะไรก็เด็ดขาด และเท่าที่ผมสังเกตคือชื่นใจเป็นเด็กที่จะคิดก่อนแล้วค่อยทำ สมมุติว่าเรายื่นอะไรให้ เขาจะไม่รับทันที เหมือนเขาจะคิดก่อนว่าถ้ารับแล้วจะเป็นยังไง เหมือนสงวนท่าทีนิดหนึ่ง

11

กิจกรรมที่ครอบครัวพี่บอยชอบทำมากเห็นว่าคือการไปเที่ยวต่างประเทศ และน้องก็ยังเล็ก ไม่กลัวหรอ

บอย : ในตอนแรกเริ่มจากความจำเป็นที่ว่าเราทิ้งเขาไว้คนเดียวไม่ได้ เลยต้องพาไปด้วยตั้งแต่แกอายุได้ 3 เดือน จนตอนนี้ 2 ขวบ ก็ไปมาแล้ว 6 -7 ประเทศ ซึ่งในตอนแรกผมไม่ได้คิดหรือคาดหวังว่าแกจะต้องได้อะไรจากการเดินทาง เพราะยังเด็กอยู่มาก แต่พอหลายๆ ทริปผ่านไปก็เริ่มสังเกตว่า เขาต่างจากเด็กคนอื่นๆ ตรงที่ไม่ค่อยกลัวอะไร เห็นคนแปลกหน้าก็ไม่ตื่นคน ไม่ร้อง ไม่กลัว ชอบที่จะเห็นสิ่งแปลกๆ ของแปลกๆ จากตอนแรกที่เราไม่คาดหวังว่าเขาจะได้อะไรจากการท่องเที่ยว แต่เขาก็ได้กลับมาจริงๆ ถึงมันจะเป็นสิ่งเล็กๆ แต่ผมก็คิดว่าสำหรับการเริ่มต้นชีวิตด้วยอายุแค่ 2 ขวบ เขาทำได้ขนาดนี้ก็ดีมากแล้ว คือคนส่วนใหญ่อาจจะคิดว่า “ตอนนี้เขายังเด็ก พาไปเที่ยวไปเจออะไรเขาก็จำไม่ได้หรอก” แต่อย่างน้อยก็เป็นประสบการณ์ที่พ่อแม่ลูกได้ใช้ร่วมกัน และสิ่งเหล่านี้จะซึมซับในตัวเขาไปเอง

พี่บอยคิดว่าน้องชื่นใจชอบประเทศไหนที่สุด

บอย : ผมว่าน่าจะฝรั่งเศส เพราะเป็นประเทศเดียวที่ แกกินอาหารทุกอย่างเลยครับ แบบว่าแกดูเอ็นจอยมาก ชอบกินทุกอย่างเลยครับ (หัวเราะ)

10

แล้วปกติน้องชื่นใจมีปัญหาเรื่องกินยากแบบเด็กคนอื่นบ้างไหม

บอย : ก็มีบ้างครับ อย่างบางจังหวะที่เขากำลังพะวงอยู่กับอะไรบางอย่าง อยากจะทำอย่างอื่น อยากจะเล่นอยู่ เขาก็จะไม่ค่อยกิน สมาธิเขาก็จะไปจดจ่ออยู่กับของเล่น หรือสิ่งที่เขาจะทำมากกว่าอาหาร ผมถึงต้องแต่งเพลง “ถึงเวลาหม่ำ” เอาไว้ดึงดูดความสนใจแก ซึ่งก็ช่วยได้บ้าง ไม่ได้บ้าง (หัวเราะ)

พี่บอยเห่อลูกบ้างไหม

บอย : เห่อมากครับ เห่อระดับที่คิดว่าคงไม่มีใครมาแทนที่ชื่นใจได้

ระหว่างคุณแม่กับคุณลูก พี่บอยรักใครมากกว่ากัน

บอย : หืม…คำถามนี่มันตอบยากจริงๆ (ทำท่าคิด) ถ้าตอนนี้ก็คงต้องตอบว่ารักตุ๊กตามากกว่า เพราะเรารู้จักตุ๊กตามาก่อน แต่ชื่นใจก็อาจจะแซงหน้าตุ๊กตาได้ในวันหนึ่ง จริงๆ ผมก็มีน้อยใจตุ๊กตาบ้างเหมือนกันที่พอมีลูกเขาสนใจแต่ลูก แต่เราก็เข้าใจแหละ

คิดจะมีลูกคนที่ 2 เพิ่มไหม

บอย : ตอนนี้ยังไม่มีในแผนเลยครับ แต่ก็ไม่ได้ปิดว่าจะมีแค่คนเดียวนะ แค่ในตอนนี้เรามีความรู้สึกที่ว่า เรารักใครอีกไม่ได้แล้ว อีกอย่างแค่ลองคิดเล่นๆ ว่าถ้ามีลูกสองคน แล้วเขาต้องทะเลาะกัน ตีกัน ผมคงทนไม่ได้

9

ตั้งแต่มีลูกชีวิตเปลี่ยนไหม

บอย : เปลี่ยนนะ สมัยก่อนคือเราใช้ชีวิตยังไงก็ได้ แต่ทุกวันนี้พอมีลูกแล้วเราก็อยากจะทำทุกอย่างให้มันดี อยากจะเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าเดิม อย่างเมื่อก่อนเราเป็นศิลปิน จะนอนกี่โมงก็ได้ ทำงานตอนที่มีอารมณ์ ส่วนใหญ่แต่งเพลงก็ห้าทุ่ม เที่ยงคืน กว่าจะนอนก็ตีสองตีสาม เดี๋ยวนี้สี่ทุ่มง่วงเลย ต้องตื่นหกโมงทุกเช้าเพื่อมาทำอาหาร เดี๋ยวนี้ก็ย้ายเวลาแต่งเพลง มาแต่งตอนเช้าแล้ว แต่ก็พยายามปรับให้ไปด้วยกันได้ ถ้าถามว่าเหนื่อยไหม ผมว่ามันสนุกดีครับ เราไม่ได้ทำเพราะใครบังคับ มันเป็นความเต็มใจที่เราอยากจะทำให้เขา

แต่งเพลงให้คนอื่นมาเยอะแล้ว มีเพลงอะไรที่แต่งให้เขาอีกไหม

บอย : นอกจากเพลง “ถึงเวลาหม่ำ” ก็มีหลายเพลงมากเลยครับ ในตอนที่เขาคลอดใหม่ๆ ก็แต่งเพลงเป็นชื่อเขา นั่นก็คือเพลง “ชื่นใจ” หลังจากนั้นก็มีตั้งแต่เพลง “ตื่น” เพลง “แปรงฟัน” ร้องตอนที่เข้ากำลังแปรงฟัน เพลง “ออกไปเล่นกัน” เพลง “ก ข ค” ก็คือเพลง ก เอ๋ย ก ไก่ นี่แหละ แต่แต่งทำนองใหม่ในแบบของเรา ซึ่งตอนนี้เขาก็ท่องได้แล้วนะ

การสอนด้วยการใช้เพลงกับน้องชื่นใจเป็นอย่างไรบ้าง

บอย : ตอนแรกๆ ก็ตั้งใจให้เป็นแบบนั้นนะ แต่พอเอาจริงๆ เราก็พบว่าเราบังคับเด็กไม่ได้หรอก แต่ก็ช่วยได้บ้างนะ เพราะในบางครั้งถ้าเขาสนใจเขาจะมาหาเราเอง มาเต้น ทำท่าทางไปด้วย ซึ่งบางครั้งถ้าเราไปบอกให้เขาทำ แต่เขาไม่อยากทำก็คือไม่ทำ ผมไม่รู้ว่าเด็กคนอื่นเป็นแบบนี้ไหม แต่ชื่นใจค่อนข้างจะมีความเป็นตัวเองสูง

8

เห็นบอกว่ามีน้อยใจภรรยาเพราะตั้งแต่มีลูกก็ทุ่มเทให้ลูกมากกว่า มีวิธีเติมความหวานให้กันยังไงบ้าง

บอย : ถ้ามีโอกาสเราก็ขอเดทกันสองคน ดูหนังกันสองคน เราจะรู้ช่วงเวลากันว่าใครยุ่งช่วงไหน อย่างตุ๊กตาเขาเป็นนักเขียนก็จะยุ่งตอนช่วงปิดเล่ม ของผมจะยุ่งตอนปลายปีนี่คือสุดๆ

พี่บอยกับพี่ตุ๊กตามีนิสัยเหมือนกันหรือต่างกันในเรื่องไหนบ้าง

บอย : เหมือนกันก็จะเป็นเรื่องความคิด คือเราคิดเหมือนกันว่าอยากจะเลี้ยงลูกให้เป็นไปยังไง ซึ่งผมว่าเป็นเรื่องที่ยากมากเลยนะที่พ่อแม่จะคิดเหมือนกัน ตั้งแต่เลี้ยงชื่นใจมาเราไม่เคยทะเลาะกันเลย มันคิดไปทางเดียวกันหมด ที่ต่างกันก็คือผมไม่ค่อยมีระเบียบ คือผมว่าผู้ชายส่วนใหญ่ก็คงเป็นแบบนี้เหมือนกันทุกคน ก็เลยต้องยกหน้าที่นี้ให้ตุ๊กตาดูแล เดี๋ยวนี้พอมีคนมาถามตุ๊กตาว่าเมื่อไหร่จะมีลูกอีกคน ตุ๊กตาชอบตอบไปว่า ทุกวันนี้ก็เหมือนมีลูก 2 คนอยู่แล้ว ซึ่งนั่นก็หมายถึงผมเองครับ (หัวเราะ)

วันนึงที่น้องชื่นใจโตเป็นสาวจะหวงไหม

บอย : หวงแน่นอนครับ ยิ่งถ้าเขาโตเป็นสาวแล้วคงหวงมากคือผมปรึกษากับพี่บอย โกสิยพงษ์ตลอด เพราะพี่บอยเขาก็มีลูกสาวเหมือนกัน คือพี่บอยเล่าว่า ลูกสาวแกขอไปเที่ยวเอ็มโพเรียมกับเพื่อน พี่บอยก็ใจสลายแล้วอะ (หัวเราะ) คือเราเห็นพี่บอยแล้วก็นึกว่าถ้าถึงตาเราจะเป็นยังไง ก็คิดอยู่ว่าพยายามให้ภูมิต้านทานกับโลกภายนอกให้กับเขามากที่สุด ให้เขาดูแลตัวเองได้ คือเราทำได้แค่นั้นจริงๆ

 

เรื่อง : สายพิรุณ  สารคำ

ภาพ : วาระ สุทธิวรรณ

 

 

 

Praew Recommend

keyboard_arrow_up