คู่แต่งงานชายรักชาย

รักไร้เงื่อนไข! สก็อต-จอช คู่แต่งงานชายรักชาย ต่างชาติ ต่างภาษา แต่หัวใจตรงกัน

Alternative Textaccount_circle
คู่แต่งงานชายรักชาย
คู่แต่งงานชายรักชาย

รักไร้เงื่อนไข! สก็อต-จอช คู่แต่งงานชายรักชาย ต่างชาติ ต่างภาษา แต่หัวใจตรงกัน… ว่ากันว่าความรักไม่เกี่ยวกับสัญชาติ ศาสนา ชนชั้น ถ้ามาถึงปัจจุบันก็คงต้องเติมเรื่องเพศไปด้วย นี่คือเรื่องราวความรักของผู้ชายสองคนที่อยู่กันคนละทวีป แต่มาเจอกันที่เมืองไทย ความจริงเขาทั้งสองคนอาจจะคลาดกันไปแล้ว ถ้าไม่บังเอิญว่าครั้งนั้น แพรว ไปสัมภาษณ์คุณสก็อต เอ. ฮันต์ ถึงประสบการณ์การเข้าพบอองซานซูจี

สก็อต เอ. ฮันต์ เป็นทั้งนักเขียน นักสอนพุทธศาสนา และเจ้าของธุรกิจ ให้คำปรึกษาด้านการบริหาร จบจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และอาศัยอยู่ที่แซนแฟรนซิสโก สหรัฐอเมริกา ส่วนจอช (Yung-Cheng Chang) เป็นอดีตนักแสดงจากไต้หวัน ปัจจุบันทำงานด้านผลิตรายการวิดีโอ พวกเขาพบกันในปี 2011 โดยที่จอชยังสื่อสารภาษาอังกฤษแทบไม่ได้ แต่บางครั้งความรักก็ไม่ได้ต้องการอะไรมาก นอกจากความเข้าใจและจับมือฝ่าฟันไปด้วยกัน จนสุดท้ายทั้งคู่ก็ได้แต่งงานกันในปี 2016 ปัจจุบันพวกเขากำลังทำโปรเจ็กต์บางอย่างด้วยกันและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขที่นิวซีแลนด์

คู่แต่งงานชายรักชาย

เมื่อ แพรว บังเอิญเป็นคิวปิด…

เมื่อให้ย้อนเล่าถึงที่มาของการได้พบเจอกัน สก็อตขอเปิดประเด็นนำมาเลยว่า “ที่เราเจอกัน ต้องบอกว่าส่วนหนึ่งก็เพราะนิตยสาร แพรว เลยนะครับ (ยิ้ม) คือปกติผมมาเมืองไทยบ่อยอยู่แล้ว เพราะชอบที่นี่มาก ทุกครั้งที่มาก็จะอยู่นาน จนมีเพื่อนคนไทยพอสมควร บอกไม่ถูกว่าทำไมจึงชอบ ความรู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน อยากไปไหนก็ไปได้ ครั้งนั้นปี ค.ศ. 2011 ผมเดินทางมาพักผ่อนอยู่ที่เกาะกระดาน จังหวัดตรัง พอใกล้วันจะกลับก็บังเอิญได้รับโทรศัพท์จากคนรู้จักว่านิตยสาร แพรว สนใจสัมภาษณ์ผมเกี่ยวกับประสบการณ์การเดินทางเข้าพบอองซานซูจี สมัยที่เธอโดนกักบริเวณอยู่ในพม่า ผมจึงเลื่อนวันเดินทางกลับแล้วอยู่เมืองไทยต่ออีก 1 สัปดาห์ เพื่อขึ้นมาที่กรุงเทพฯและให้สัมภาษณ์กับ แพรว

“พอทำงานกับ แพรว เสร็จแล้ว ตอนเย็นผมก็ออกไปหาข้าวกินคนเดียว ขากลับทีแรกจะเรียกแท็กซี่ แต่ไม่รู้นึกยังไง ผมกลับตัดสินใจเดินเล่นต่ออีกหน่อย พอเห็นว่ามีบาร์อยู่แถวนั้นก็แวะเข้าไปลองดู อาจเพราะเดินคนเดียว เลยอยากเข้าไปอยู่ในที่ที่คนเยอะๆ หรือไม่ก็โชคชะตากำหนดไว้ (ยิ้ม) แต่พอเข้าไปแล้ว ชั้นแรกคนแน่นเกิน แล้วเสียงก็ดังมาก ผมจึงลองเดินขึ้นไปที่ชั้นสอง ซึ่งคนน้อยหน่อย ผมไปยืนอยู่ที่บาร์แล้วสบตากับหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่ง…แล้วเขาก็ส่งยิ้มให้ผมครับ (หัวเราะ) ซึ่งตอนนั้นผมบอกกับตัวเองเลยว่าไม่! ผมไม่มีทางสนใจคนคนนี้แน่ เพราะเขาดูแบดบอยมาก ต้องหักอกผมแน่ๆ…”

คู่แต่งงานชายรักชาย

จอชยิ้มหวานก่อนจะขอเล่าเวอร์ชั่นตัวเองบ้าง “ผมกับสก็อตเหมือนกันตรงที่เราชอบเมืองไทยมากๆ ทั้งคู่ ครั้งนั้นผมมาเที่ยวกรุงเทพฯกับเพื่อนๆ พอดีเป็นช่วงพักก่อนจะเดินทางไปถ่ายรายการทีวีที่ฮ่องกง เลยแวะเที่ยวที่เมืองไทย คืนนั้นเพื่อนผมพาไปเที่ยวบาร์ กำลังแดนซ์กันสนุก แล้วจู่ๆ ผมก็หันไปเห็นสก็อตยืนอยู่ ตรงเคาน์เตอร์ใต้แสงวิบวับ จำได้ว่าเขาเป็นคนเดียวที่ยืนนิ่งๆ เฉยๆ หล่อๆ ไม่ได้เต้นแร้งเต้นกาหรือดูเมาเหมือนคนอื่น ก็เลยรู้สึกสนใจขึ้นมา แบบคนนี้ต้องได้! เลยเดินเข้าไปทักทายเขาดู โดยลืมไปแล้วว่าตัวเองพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ (หัวเราะ) ตอนนั้นหัวใจเต้นแรงยิ่งกว่าเพลงในบาร์อีกครับ จำได้ว่าผมเดินเข้าไปหาเขาพร้อมกับยกแก้วขึ้นแล้วพูดว่า Cheers! แล้วก็ทักทายว่า Hi! เขาก็ตอบกลับมาว่า Hi ทีนี้ผมก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรต่ออีก แย่ละ…เพิ่งมานึกเสียดายว่าสมัยเรียนไม่น่าโดดเรียนคาบวิชาภาษาอังกฤษเลย”

สก็อต “เหมือนผมจะถามเขาไปว่ามาจากที่ไหน แล้วเขาก็ตอบผมได้แค่มาจากไต้หวัน รู้สึกจะเป็นประโยคเดียวที่เขาพูดได้ หลังจากนั้นก็ได้แต่มองตาและยิ้มให้กันไปมา…สุดท้ายเลยได้ใช้ Google Translate ช่วยในการคุย ก่อนแยกจากกันเพื่อนของเขาก็ขอเบอร์โทรศัพท์มือถือผมไป ซึ่งบอกตามตรงนะ ผมไม่คิดว่าจะเจอเขาอีก แต่คืนวันถัดมาเพื่อนเขาก็โทร.มาชวนไปเที่ยววัดด้วยกัน จำได้ว่าระหว่างทางกลับบนแท็กซี่จอชเอื้อมมาจับมือผม และหลังจากนั้นมา 8 ปี เขาก็ยังจับมือผมอยู่” (ยิ้ม)

คู่แต่งงานชายรักชาย

รักแท้ไม่แพ้พยายาม

แม้จะแยกย้ายกันไป แต่สายใยของทั้งคู่ก็ตัดกันไม่ขาด แม้ไม่เจอหน้า และยังไม่สามารถสื่อสารกันได้ดีนัก แต่ทั้งคู่ก็ยังคงพยายามที่จะติดต่อสื่อสารกันมาโดยตลอด จอชเล่าว่า “หลังจากแยกย้ายกันไป สก็อตก็กลับไปอเมริกา ส่วนผมกลับไต้หวัน แต่เรายังคงคุยกันผ่านเฟซไทม์หรือไม่ก็สไกป์ตลอด ต้องขอบคุณเทคโนโลยีที่ทำให้เราสื่อสารกันได้ ขอบคุณสก็อตด้วยที่อดทนกับผมมาก ความที่ผมพูดภาษาอังกฤษไม่คล่อง ต้องใช้เวลาในการสื่อสารพอสมควร ไหนจะต้องพึ่งแอพแปลอีก แต่เขายังคงยิ้มและรอฟังผมอย่างตั้งใจบังเอิญว่าหนึ่งเดือนหลังจากที่เราเจอกันที่เมืองไทย สก็อตก็เสียคุณแม่ไปอย่างกะทันหัน เขาเสียใจมาก ผมเห็นเขาร้องไห้ เลยคิดว่าน่าจะทำอะไรสักอย่างให้เขารู้สึกดีขึ้น อีกอย่างผมก็คิดถึงเขามากด้วย พอสก็อตถามว่าจะไปเยี่ยมเขาได้ไหม ผมก็ตัดสินใจไปอเมริกาทันที”

สก็อตเล่าต่อ “ซึ่งพอจอชมาก็ช่วยได้มากเลยครับ แม้คุณแม่ผมจะไม่เคยรู้เรื่องจอชมาก่อน แต่ตอนนั้นผมรู้สึกลึกๆ ว่าท่านดีใจที่ผมได้เจอจอช ผมเชื่อว่าถ้าท่านยังอยู่ก็จะรักเขา ครั้งนั้นจอชมาอยู่กับผมได้ประมาณหนึ่งปีก่อนจะกลับไปไต้หวัน ระหว่างนั้นเราก็คุยกันทางออนไลน์เหมือนเดิม และมักจะผล็อยหลับไปด้วยกัน หนนั้นหลังจากกลับไปไต้หวันไม่นาน จอชก็ตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่แซนแฟรนซิสโกกับผม”

คู่แต่งงานชายรักชาย

จอชเปิดใจว่า “ความจริงผมไม่เคยคิดจะย้ายไปอยู่อเมริกาเลยนะครับ ต้องบอกว่าเพราะสก็อตล้วนๆ ส่วนหนึ่งที่ตัดสินใจเพราะที่แซนแฟรนซิสโกมีกลุ่ม LGBT ค่อนข้างใหญ่และเปิดกว้างในเรื่องนี้ เราสามารถใช้ชีวิตและมีความรักแบบอิสระได้มากกว่าที่ไต้หวัน ความจริงผมก็รักไต้หวันนะ แต่ไม่ได้ลำบากใจที่จากมา เพราะผมก็มีความสุขกับชีวิตใหม่ในต่างแดนร่วมกับสก็อต แต่ไม่ใช่ว่าทุกอย่างจะราบรื่นไปเสียหมดนะครับ อย่างตอนย้ายมาอยู่ที่อเมริกาแรกๆ ผมเจอทั้งพวกที่ชอบมาพูดจาหยาบคายและดูถูกเหยียดหยามทางเชื้อชาติ ตอนนั้นผมยังพูดภาษาอังกฤษได้ไม่ดีพอที่จะปกป้องตัวเอง สก็อตก็ได้แต่โมโหแล้วคอยไปไล่หาว่าใครที่ทำไม่ดีกับผม แต่ในขณะเดียวกันผมก็ได้เพื่อนดีๆ จากที่นั่นเยอะเหมือนกัน นั่นทำให้ผมมองข้ามเรื่องร้ายๆ ไปได้”

สก็อตแซวว่า “อุปสรรคไม่ใช่แค่นี้นะครับ จะบอกว่าตอนจอชมาใหม่ๆ เขาค่อนข้างป็อปปูลาร์มาก มีหลายคนพยายามแย่งเขาไปจากผม ผมต้องคอยระวังอยู่เรื่อย (หัวเราะ) เรื่องของเรื่องคือเวลาคุยกันเรื่องความรู้สึกที่ซับซ้อน เราจะมีปัญหาเรื่องกำแพงภาษา ไม่รู้จะสื่อสารหรืออธิบายยังไง ต้องใช้เวลาคุยกันอยู่นาน แล้วไหนจะยังมีเรื่องการขอย้ายถิ่นฐานของเขาอีก เพราะอย่างที่รู้ว่าระบบของอเมริกานั้นไม่ง่ายเลย”

จอชกระซิบว่า “เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้สก็อต โชคดีที่เขาเป็นคนฉลาดแล้วก็คอยช่วยเหลือผมหลายอย่าง โดยเฉพาะการติดต่อประสานงานและดำเนินการเรื่องขอกรีนการ์ดให้มันยุ่งยากมาก แต่เขาก็ทำได้ ตอนนี้กรีนการ์ดผมใกล้หมดอายุแล้ว ต้องสมัครใหม่อีกรอบ แต่หลังจากครั้งนี้ไปผมน่าจะได้เข้าเทสต์ และสมัครเป็น US Citizen แล้วครับ”

จอชเล่าบ้าง “สก็อตจัดการเรื่องงานแต่งงานทุกอย่างเร็วมากครับ ผมแทบไม่ต้องทำอะไรเลย อาจเพราะเป็นงานที่ไม่ใหญ่ มีแค่คุณป้าของสก็อตและคนสนิทอีกแค่ 8 คน ทุกอย่างก็เลยเร็ว แม้กระทั่งแหวนแต่งงาน จำได้ว่าหลังจากตกลงกันว่าจะเปลี่ยนไปแต่งงานที่ฮาวาย รุ่งขึ้นสก็อตก็ถามว่าอยากแลกแหวนแต่งงานในวันแต่งงานไหม พอผมตกลง เราก็เดินเข้าร้าน Tiffany & Co. แล้วซื้อแหวนมา 2 วง”

คู่แต่งงานชายรักชาย

สก็อตเล่าถึงบรรยากาศวันแต่งงานที่เต็มไปด้วยความสุขว่า “ทุกอย่างเป็นไปอย่างเรียบง่ายและสบายๆ ครับ เราเริ่มจากการไปทำบุญถวายสังฆทานและ สวดมนต์กันที่วัดในตอนกลางวัน พอตกเย็นเราก็ไปชายหาดที่ผมเลือกไว้ แขกที่มาร่วมงานสวมชุดสีขาวสบายๆ อากาศวันนั้นก็ดีมาก อย่างเดียวที่ดูผิดที่ผิดทางคือตรงชายหาดที่เราทำพิธีดันมีหนุ่มหล่อคนหนึ่งนั่งวาดรูปโดยไม่ใส่เสื้อ ผมต้องคอยบอกให้แขกที่มาร่วมงานหยุดมองผู้ชายคนนั้น แล้วช่วยให้ความสนใจกับงานแต่งงานของผมด้วย!!” (หัวเราะ)

จอชพูดถึงช่วงเวลานั้นว่า “ความจริงก่อนแต่งงานผมคิดเยอะมากนะว่าการเป็นครอบครัวคืออะไรและเป็นอย่างไร แต่พอถึงช่วงเวลานั้นจริงๆ ผมจำได้แค่ว่าผมไม่ได้ต้องการอะไรมากในชีวิต อย่างเดียวที่ผมจำเป็นต้องมีคือเขา พอถึงตอนกล่าวคำสาบาน ผมปากสั่นไปหมดเลย แล้วจู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาเอง เช่นเดียวกับสก็อต พอมองไปรอบๆ ปรากฏว่าแขกทุกคนร้องไห้กันหมดเลย หนักยิ่งกว่าผมอีก” (หัวเราะ)

สก็อตมองจอชตาเป็นประกาย “พูดตามตรงว่าก่อนหน้านั้นผมรู้สึกทั้งกลัวและสงสัย แต่พอผมมองตาจอชในพิธีแต่งงาน ความรู้สึกเหล่านั้นก็หายไปทันที พอผมเห็นเขาร้องไห้ น้ำตาผมก็ไหลตาม จนถึงวันนี้ผมยังรู้สึกว่างานแต่งงานของเรานั้นช่างสวยงาม กินใจ เรียบง่าย และสงบสุข คือความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิตเลยครับ”

คู่แต่งงานชายรักชาย

The Day We’ve Got Married

หลังจากคบกันมาได้ 5 ปี ทั้งคู่ก็ตัดสินใจแต่งงานกันในเดือนพฤษภาคม 2016 โดยสก็อตเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอแต่งงานก่อน “ผมถามจอชว่าเราแต่งงานกันไหม ตอนอยู่ในงานเทศกาล Burning Man (งานเทศกาลศิลปะและคัลเจอร์ประจำปีที่จัดในทะเลทราย Black Rock รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา) ซึ่งเขาก็ตอบตกลงทันที ที่ผมคิดว่าเราน่าจะแต่งงานกันเพราะเราสามารถอยู่ด้วยกันและเข้าขากันได้ดี เรารักและดูแลกันและกัน ชอบอะไรหลายๆ อย่างเหมือนกัน ผมรู้สึกเหมือนว่าเราเกิดมาเพื่อกันและกัน”

จอชพูดต่อ “สำหรับผม ความรักระหว่างเราทำให้ผมเห็นภาพที่เราจะเติบโตไปด้วยกันได้ และการแต่งงานก็เป็นวิธีหนึ่งในการทำให้ภาพนั้นเป็นจริงขึ้นมา พอเขาเอ่ยปาก ผมจึงตอบรับทันที ส่วนสถานที่แต่งงานนั้น ตอนแรกเรากะว่าจะเป็นที่ซิตี้ฮอลล์ (ศาลาว่าการรัฐ) ในแซนแฟรนซิสโก แต่จู่ๆ สก็อตก็ถามว่าหรือจะไปแต่งงานที่ชายทะเลดี” (ยิ้ม)

สก็อตอธิบายว่า “คือพอกลับมาคิดอีกที ผมอยากแต่งงานที่ชายทะเลในบรรยากาศแบบเมืองร้อนที่เราชอบกันมากกว่า ผมรู้สึกว่าถ้าแต่งงานตรงนั้นเราน่าจะได้พลังจากมหาสมุทรและแสงอาทิตย์ตามธรรมชาติอะไรแบบนี้ด้วย (หัวเราะ) บังเอิญว่าจอชเห็นด้วย เขาบอกว่าเป็นฮวงจุ้ยที่ดี สุดท้ายเราตัดสินใจไปแต่งงานกันที่ชายหาดหนึ่งที่ฮาวาย เป็นชายหาดที่ผมกับคุณแม่มักไปเดินเล่นกันอยู่เสมอในสมัยเด็ก จึงเต็มไปด้วยความทรงจำดีๆ ของผมกับท่าน ผมแค่อยากให้คุณแม่ที่จากไปแล้วได้มีส่วนร่วมในงานแต่งงานของเราด้วย”

คู่แต่งงานชายรักชาย

รักของเรา

เมื่อพูดถึงความรักของชายกับชาย แม้ในโลกปัจจุบันจะเปิดกว้างมากแล้ว แต่ความรักของทั้งคู่ก็ใช่จะไม่มีอุปสรรค โดยเฉพาะจากฝั่งครอบครัวของจอช “ต้องบอกว่าตอนแรกคนในครอบครัวผมยังไม่รู้เรื่องที่ผมเป็นเกย์หรือคบกับสก็อต สมัยคบกันผมเคยพาสก็อตไปเที่ยวไต้หวันและเจอครอบครัวผมที่มีคุณพ่อ คุณแม่ ลูกพี่ลูกน้อง และลุงๆ หนนั้นคุณแม่ดูจะสงสัยสก็อตอยู่หน่อยๆ ส่วนคุณลุงผมก็พยายามมอมสก็อตให้เมา เผื่อจะหลุดพูดอะไรออกมา แต่สก็อตรู้ทันก็เลยจบกันไปแบบตลกๆ

“พอตัดสินใจว่าจะแต่งงาน ผมก็บอกให้คุณแม่ทราบ ซึ่งเป็นไปอย่างที่คาดไว้ว่าท่านรับไม่ได้ ทั้งร้องไห้และตะโกนว่าผมสารพัด เรียกว่าดราม่ากันอยู่พักหนึ่ง พูดง่ายๆ ว่าไม่มีใครสนับสนุนหรือแสดงความยินดีกับการแต่งงานของเรา ซึ่งผมก็ต้องเสียใจอยู่แล้ว แต่สก็อตก็ปลอบว่าครอบครัวยังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร ให้เรามาสร้างครอบครัวและอนาคตของเราเอง แล้วนำความสุขมาให้กันและกัน”

คู่แต่งงานชายรักชาย

สก็อตมองจอชอย่างเห็นใจแล้วพูดว่า “ก็อย่างที่บอกกันว่ารักแท้ฝ่าฟันได้ทุกอุปสรรค เราทั้งคู่ก็แค่ต้องอดทน โชคดีที่ทางครอบครัวผมต้อนรับจอชเป็นอย่างดี แม้ครอบครัวผมจะไม่ใหญ่ มีแค่คุณยายอายุ 90 ปีกับญาติๆ แค่ไม่กี่คน แต่พอผมพาจอชไปแนะนำให้คุณยายรู้จัก ปรากฏว่าคุณยายชอบเขาทันที ทุกครั้งที่จอชเข้ามาในห้อง ท่านมักจะยิ้มให้เขาอย่างสดใส อย่างไรก็ตามผมคิดว่าถ้าเราจับมือกันไว้ สุดท้ายเราก็จะสามารถเดินผ่านทุกเรื่องราวไปด้วยกันได้เหมือนในตอนนี้ครับ”

จอชเห็นด้วย “ผมเห็นด้วยนะครับ อย่างช่วงหลังมานี้คุณแม่ก็เริ่มกลับมาคุยกับผมแล้ว แต่ท่านยังไม่ยอมบอกให้คุณพ่อทราบ ผมแค่รู้สึกว่าอยากให้พ่อแม่ยอมรับและรักลูกในแบบที่เป็น ไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ในกรณีผม ผมก็ยอมรับการตัดสินใจของท่าน”

สก็อตเสริมว่า “ผมว่าทุกคนบนโลกนี้ล้วนกำลังสำรวจและเรียนรู้ที่จะเติบโต คนทุกคนมีเส้นทางที่ต้องเดินเป็นของตัวเอง ซึ่งต้องการได้รับการยอมรับและปกป้อง เราทุกคนไม่ได้เพอร์เฟ็กต์ เราต่างเรียนรู้ที่จะรักและมีเมตตา ความสัมพันธ์ของเราสองคนก็เหมือนกับความสัมพันธ์ทั่วไป ในฐานะมนุษย์เรามีสิทธิ์ที่จะรักและใช้ชีวิตในแบบที่เราต้องการ ที่ผ่านมาผมรู้ตัวมาตลอดว่าผมอยู่คนเดียวได้ แต่ผมไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น ในเมื่อผมมีอีกคนที่จะคอยจับมือและแบกรับภาระในชีวิต รวมถึงแชร์ความสุขและเสียงหัวเราะไปด้วยกัน ผมรู้สึกแค่ว่าอย่างไรเสีย อยู่ด้วยกันก็ดีกว่าอยู่คนเดียว”

คู่แต่งงานชายรักชาย

จอชพูดปิดท้ายว่า “ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองจะได้แต่งงาน แต่พอได้แต่งงานแล้ว ผมรู้สึกได้ถึงความรักที่หนักแน่นจริงจังขึ้น การแต่งงานทำให้ผมเรียนรู้ที่จะแสดงความเป็นตัวเองออกมามากขึ้น เพราะการบอกความรู้สึกของเราให้คนรักรู้เป็นเรื่องสำคัญ เราจะได้เรียนรู้ที่จะเข้าใจตัวเองไปด้วย ผมว่าสก็อตเป็นเหมือนกับกระจกสะท้อนความรู้สึก ความคิด สัญชาตญาณการรับรู้และการมองโลกของผม ชีวิตของเราจึงยอดเยี่ยม เขาทำให้ผมเข้าใจว่าเราไม่ได้แค่ใช้ชีวิต แต่เราต้องดื่มด่ำกับชีวิตด้วย”


 

ที่มา : นิตยสารแพรว ฉบับ 943

Praew Recommend

keyboard_arrow_up